“เจ้าเป็นใครกันแน่” จูหลิงจ้องหญิงสาวแน่นิ่ง พร้อมเอ่ยถามอย่างลำบากด้วยเสียงที่แหบแห้งและอิดโรย หญิงสาวชุดขาวยิ้มบางๆ มองเขา และพูดอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย “ข้านามว่าเยี่ยหลี”
เยี่ย...หลี! สองคำนี้เป็นคำที่แสนธรรมดา เป็นชื่อที่เรียบง่าย ทว่า เป็นสองคำที่ได้ยินเข้าหูของจูหลิงแล้วดังกระหึ่มจนหูแทบบอด คล้ายกับถูกสายฟ้าจากห้วงสวรรค์ผ่าลงมา ผ่านไปครู่ใหญ่ จูหลิงถึงจะค่อยๆ ส่งเสียงหัวเราะออกมา “เยี่ยหลี่? เยี่ยหลี…เยี่ยหลีผู้เป็นพระชายาของติ้งอ๋อง…ฮ่าๆ…” ราวกับได้ยินเรื่องน่าขัน เสียงหัวเราะของจูหลิงดังขึ้นอีก จนกระทั่งเสียงหัวเราะสุดท้ายที่เหมือนว่าจะหายใจไม่ออกแล้ว “เจ้าคือพระชายาของติ้งอ๋อง?!”
เยี่ยหลีพยักหน้าเอ่ย “ข้าคือพระชายาติ้งอ๋อง”
“เจ้าหลอกข้า” จูหลิงกัดฟันพูด
เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้าหลอกเจ้า” ภายในดวงตากระจ่างใสมีความรู้สึกเสียใจและจนปัญญาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เสียดายหรือละอาย การที่ทหารทั้งสองฝ่ายทำศึกสงครามต่อกัน ไม่มีถูกไม่มีผิด ไม่มีความปราณีหรือชั่วร้าย มีแต่เพียงจุดยืน ถ้าจุดยืนทั้งสองฝ่ายไม่เหมือนกันก็เป็นศัตรู และเมื่อเผชิญกับศัตรู…ก็ไม่เลือกวิธี นี่เป็นหลักการที่โลกก่อนและโลกนี้ของเยี่ยหลีเห็นด้วยทั้งสิ้น
“พระชายาติ้งอ๋อง…” เสียงพึมพำของจูหลิงทุ้มเบา “ได้ยินว่าปีนั้น ทหารจำนวนหลายแสนของเจิ้นหนานอ๋องเหล่ยเจิ้นถิงถูกโจมตีจนย่อยยับด้วยฝีมือของพระชายาติ้งอ๋อง วันนี้จูหลิงยังพ่ายแพ้ให้แก่ของพระชายาติ้งอ๋องอีก แต่ก็ไม่นับว่าขาดทุนแล้ว ที่ทำให้พระชายาต้องใช้ความพยายามขนาดนี้ เป็นเกียรติของข้าไปถึงสามภพ” เยี่ยหลียิ้มบางๆ อย่างช่วยไม่ได้และพูด “แม้ว่ากองทัพแสนกว่านายของคุณชายจูจะไม่ถือว่าเยอะ แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่ทหารของข้าในตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงขาดแคลน ถ้าจู่ๆ ก็ให้คุณชายมาสังหาร เกรงว่าจะสร้างความลำบากให้แก่ทหารตระกูลม่อไม่น้อย ในเวลาคับขันคงได้แต่เพียงใช้แผนนี้ ถ้าหากว่ามีตรงไหนที่เสียมารยาท คุณชายโปรดอภัยให้ด้วย”
“พวกเจ้าจับตามมองกองทัพรักษาความสงบตั้งแต่แรกแล้วหรือ” จูหลิงถาม
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ และไม่ได้ปฏิเสธ
“แม่ทัพอาวุโสจูซ่อนทหารและม้าหลายแสนนายอยู่ใกล้ๆ เมืองเปี้ยน คิดว่าอย่างไรก็น่าจะต้องมีเสบียงไม่น้อยเช่นกัน พูดตามตรงแล้ว สิ่งที่พวกเราเล็งอยู่หาใช่ทหารและม้าของคุณชายจูไม่ แต่เป็นเสบียงของกลุ่มทหารพวกนี้” ห่างไปไม่ไกล เฟิ่งจือเหยาที่สวมชุดแดงทั้งกายเดินออกมาอย่างช้าๆ ภายในมือถือดาบยาวคว่ำที่มีเลือดสดหยดไหลตามทาง
เยี่ยหลียิ้มอย่างจนปัญญา มองและถามเฟิ่งจือเหยา “เจ้ามาได้อย่างไร”
เฟิ่งจือเหยายิ้มตาหยีพูด “พระชายาเอาตัวเข้าเสี่ยง หากข้าไม่มา กลับไปจะพูดกับท่านอ๋องอย่างไรเล่า”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย มองเฟิ่งจือเหยานิ่งๆ เจ้าไม่บอกเขาก็ได้นี่!
เฟิ่งจื่อเหยาเลิกคิ้ว แล้วพระชายาคิดว่าจะปิดบังได้หรือ
เห็นแววตาระหว่างสองคนที่กำลังสื่อสารกันตรงหน้า สีหน้าของจูหลิงก็ตึงเครียด และทอดถอนหายใจเบาๆ มองหญิงสาวชุดขาวตรงหน้าอย่างนิ่งสงบ “พระชายาจะเอาอย่างไร”
เยี่ยหลีเงียบไปชั่วขณะ และพูดเรียบๆ “คุณชายกลับไปกับพวกเราเถิด”
จูหลิงเงียบ หลังจากนั้นครู่หนึ่งถึงจะเงยหน้าหัวเราะขึ้นฟ้า ชี้เยี่ยหลีและพูดเสียงก้องกังวาล “ตั้งแต่เกิดมาจูหลิงอย่างข้าไม่เคยทำอะไรสำเร็จสักอย่าง แต่เพราะมีสถานะเป็นลูกหลานของตระกูลจู ก็จะไม่ยอมถูกจับกุมอย่างตกต่ำถึงขั้นนั้น ยิ่งไม่ยอมให้พวกเจ้าได้โอกาสข่มขู่ท่านปู่ของข้า!” เยี่ยหลีถอนหายใจเบาๆ อย่างเสียดาย “เช่นนั้น คุณชายจะเอาอย่างไร”
จูหลิงดึงดาบยาวบนมือของทหารองครักษ์ที่อยู่ข้างกาย ชี้ไปที่เฟิ่งจือเหยาที่อยู่ไม่ไกลด้านหลังของนาง แล้วพูดด้วยเสียงขรึม “ข้าขอสู้จนตัวตาย!”
ใบหน้ายิ้มแย้มของเฟิ่งจือเหยาค่อยๆ จางลง กลายเป็นสีหน้าที่จริงจัง แท้จริงแล้ว ในสายตาของเขา จูหลิงที่อยู่ตรงหน้ายังดูเด็กอยู่มาก หากรออีกไม่กี่ปี ความสำเร็จของเขาจะต้องอยู่เหนือกว่าตัวเองอย่างแน่นอน แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นแม่ทัพของฝ่ายที่แพ้ แต่ในฐานะที่เป็นแม่ทัพเหมือนกัน เขาก็ชื่นชมและยินยอมที่จะให้ดังหวัง จึงจับเสื้อด้านหนึ่งขึ้นมาตัดออกและเช็ดคราบเลือดบนดาบจนสะอาด จากนั้นเฟิ่งจือเหยาพยักหน้าพลางเอ่ย “เชิญคุณชายจู”
“ช้าก่อน” เสียงของเยี่ยหลีดังจากด้านข้าง เฟิ่งจือเหยาเลิ่กคิ้ว เก็บดาบยาว และมองไปทางเยี่ยหลี เยี่ยหลีชูมือขึ้นห้ามหลินหันที่อยู่ด้านหลัง แล้วเดินหน้าเข้าไป พลางจับจ้องชายหนุ่มตรงหน้าที่เปรอะเปื้อนด้วยรอยเลือดบนเสื้อผ้าโดยไม่ละสายตา ก่อนจะเปล่งเสียงเบาทว่าก้องดังชัดเจน “ข้าต้องการสู้กับคุณชาย”
“พระชายา!” เฟิ่งจือเหยาและคนอื่นล้วนตื่นตระหนก ก่อนจะรีบเอ่ยปากห้าม แม้ว่ากองทัพใหญ่ของจูหลิงตอนนี้จะพ่ายแพ้แล้ว แต่จูหลิงเองก็เป็นคนที่มีฝีมือขั้นสูง เลือดที่เปื้อนบนกายเขาในเวลานี้ก็หาใช่ของเขาเองไม่ อันที่จริงแล้ว คืนนี้จูหลิงแทบไม่ได้ลงมือเองจริงๆ เลย เยี่ยหลีโบกมือห้ามเฟิ่งจือเหยาและคนอื่นที่อยากจะพูดอ้อนวอน แล้วย่างกรายเข้าไปใกล้เบื้องหน้าของจูหลิงอย่างช้าๆ “ข้าต้องการสู้กับคุณชาย ไม่ทราบว่าจะได้หรือไม่”
“ได้ยินว่าพระชายาติ้งอ๋องก็เป็นฝีมือดีแห่งแผ่นดิน ช่างเป็นโชคอันดียิ่งของข้าน้อย เชิญ!”
ภายในป่าเขาที่ไม่ถือว่ากว้างใหญ่ เลือดจากศพทั่วทั้งป่าไหลนองเป็นดั่งสายธารโลหิต
บนสนามรบที่กระจัดกระจายไปด้วยศพของทหารซีหลิง ชายหนุ่มชุดขาวนวลจันทร์กับหญิงสาวชุดขาวยืนประจัญหน้ากันอย่างสงบนิ่ง ถ้าหากมิได้มีดาบยาวที่เปื้อนเลือดกับศพที่เรียงรายทั่วทั้งป่านั้น นี่จะต้องเป็นฉากที่งดงามอย่างแน่นอน และห่างออกไปไม่ไกลก็คือฝูงชนที่จ้องมองพวกเขาเงียบๆ
ทันทีที่ดาบยาวภายในมือของจูหลิงสะบัดออก ตวัดกระบวนท่าเพลงดาบบุปผาสีเงิน เยี่ยหลียิ้มให้เขาเรียบๆ ปลายแหลมของกริชมีแสงขาวหิมะสว่างวาบ ราวกับหยุดแค่เพียงชั่วพริบตาเดียว เงาของทั้งสองก็บุกเข้าหากันอย่างรวดเร็ว เงาร่างทั้งคู่สลับผ่านกันอย่างพร้อมเพรียง แล้วก็กลับมาฟาดฟันกัน ดาบยาวภายในมือของจูหลิงกวัดแกว่งตามใจไม่หยุดยั้ง ส่วนกริชในมือของเยี่ยหลีก็ส่องประกายสังหารอันเยือกเย็น
ไม่นาน จูหลิงก็พบว่า เมื่อเผชิญหน้าต่อสู้กับหญิงสาวคนนี้ในระยะใกล้ เขาไม่สามารถเอาเปรียบอะไรได้เลย แม้กระทั่งบังคับการกวัดแกว่งเพลงดาบอย่างเต็มที่แล้ว ดังนั้นเขาจึงถอยระยะห่างออกจากเยี่ยหลีอย่างรวดเร็วอีกครั้ง แต่เยี่ยหลีจะให้โอกาสนี้แก่เขาได้อย่างไร กริชที่แฝงความหนาวเหน็บแทงผ่านเสื้อผ้าที่แนบตัวเขาราวกับหนอนแมลงที่ไชชอนเข้ากระดูกครั้งแล้วครั้งเล่า เนื้อหนังภายใต้เสื้อผ้าก็รู้สึกเย็นวาบขึ้น
ครั้นดาบยาวกับดาบสั้นพบเจอกัน มือของเยี่ยหลีที่กุมกริชอยู่เกิดความไหวสั่นเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรพละกำลังของผู้หญิงกับผู้ชายก็ยากจะเทียบกันได้ จึงขมวดคิ้วแน่น แล้วสะบัดกริชเข้าประชิดข้อมือของจูหลิงที่กำลังแทงดาบตรงเข้ามา จูหลิงก็รีบเอาข้อมือหลบออกทันใด
“พระชายาติ้งอ๋องฝีมือดีเหลือเกิน!”
“คุณชายจูชมเกินไปแล้ว”
ด้านนอกสนามรบ เฟิ่งจือเหยาจับจ้องการปะทะทั้งสองคนและขมวดคิ้วตลอดเวลา แต่กลับต้องยอมรับว่าในหลายปีมานี้สามารถบอกได้ว่าพระชายาพัฒนาก้าวกระโดดอย่างมาก แม้ว่าจะประจัญหน้ากับจูหลิงที่นับว่าฝีมือดีเช่นนี้ ก็ไม่ได้เสียเปรียบแม้แต่น้อย หลินหันที่ไม่รู้ว่ามาข้างกายเขาตั้งแต่เมื่อใด ก็เพ่งมองการต่อสู้ของทั้งสองโดยไม่ละสายตาไปไหนเช่นกัน พลางถามขึ้น “คุณชายเฟิ่งซานมาได้อย่างไร ทางแม่ทัพจาง…” เฟิ่งจือเหยาพูด “มีแค่ฉินเฟิงอยู่ตรงนั้นก็พอแล้ว หรือแม้จะไม่พอ ก็สามารถยื้อเวลาจนพวกเรากลับไปได้ ถ้าพระชายามาเสี่ยงคนเดียว ข้าก็ไม่วางใจ แต่เจ้า ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม”
หลินหันลูบหลังของตัวเองและส่ายหน้า รอยแผลจากดาบนั้น ดูไปแล้วเหมือนว่าจะรุนแรงถึงขีดอันตราย แต่คนลงมือคำนวณให้ห่างจากจุดสำคัญพอดี จึงนับได้ว่าเป็นเพียงบาดแผลภายนอก
เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วพลางยิ้ม “ข้าก็คิดว่าน่าจะไม่เป็นไรเช่นกัน นั่นเป็นข้าเองที่ลงมือ ข้าคำนวณได้ไม่เลวใช่ไหมล่ะ”
“ขอบคุณคุณชายเฟิ่งซานที่ลงมืออย่างปราณี” หลินหันกัดฟันพูด แม้ว่าเขาจะอาสาเอง แต่การถูกฟันอย่างไร้เหตุผลเช่นนั้น ใครจะมีกระจิตใจไปอารมณ์ดีได้ ยิ่งกว่านั้น ต้นเหตุที่สร้างบาดแผลยังชื่นชมผลงานตัวเองอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ทำให้หลินหันรู้สึกลึกๆ ว่าคุณชายเฟิ่งซานท่านนี้ควรจะโดนสั่งสอนบ้างเสียแล้ว