บทที่ 335 จิตคิดร้ายของเฉินอวิ๋นเอ๋อร์

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 335 จิตคิดร้ายของเฉินอวิ๋นเอ๋อร์
แผลของเฉินอวิ๋นเจี๋ยต้องเย็บและแผลก็เริ่มอักเสบแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าหนานกงเย่ต้องการสร้างปัญหาใหญ่ให้กับนาง ตอนนี้นางกำลังตั้งครรภ์อยู่ แล้วยังต้องวุ่นไปวุ่นมาอยู่ทุกวันซึ่งก็จนปัญญาซะแล้ว!

บาดแผลถูกเย็บเรียบร้อย จากนั้นก็ลดการอักเสบให้กับเฉินอวิ๋นเจี๋ยแล้ว ตอนนี้ก็เวลาบ่ายแล้วฉีเฟยอวิ๋นนั้นเหนื่อยซะจนเหงื่อท่วมร่าง

นั่งลงแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็เช็ดเหงื่อตรงใบหน้า อย่างไรก็ตามร่างกายของเจ้าของร่างเดิมนั้นย่ำแย่ยิ่งนัก

“พระชายาเย่แล้วอวิ๋นเจี๋ยหล่ะ?” เสนาบดีเฉินถามฉีเฟยอวิ๋นอย่างไม่วางใจ

“ยังไม่สามารถรับรองได้ ลักษณะเช่นนี้ของเขานั้นข้าก็ทำสิ่งใดได้ไม่มาก ทำได้เพียงแค่รอให้เขาตื่นมา ตอนนี้แผลของเขาเริ่มอักเสบแล้ว จะหายหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเขาแล้ว ตอนนี้ข้าไม่ได้มียาสมุนไพรที่ให้เขาใช้ได้มากนัก เขาได้รับบาดเจ็บแล้วยังถูกทำให้ล่าช้าเป็นเวลานาน” ฉีเฟยอวิ๋นลำบากใจเล็กน้อยจึงไม่อยากกล่าวสิ่งใดมาก นี่เป็นอาการบาดเจ็บไม่ใช่ยาพิษ หากถูกพิษยังดีได้ทว่าได้รับบาดเจ็บนั้นจัดการได้ยาก

เมื่อเสนาบดีเฉินได้ยินเช่นนั้นใบหน้านั้นซีดเผือด มองดูฉีเฟยอวิ๋นเป็นเวลานานจึงได้เปิดปาก พอเปิดปากขึ้นมาก็เป็นการวิงวอน

“กระหม่อมผู้ต่ำต้อยขอร้องพระชายาเย่แล้ว ช่วยชีวิตลูกชายของข้าด้วยเถอะ” ในชีวิตนี้ผู้ที่เสนาบดีเฉินรักมากที่สุดก็เฉินอวิ๋นเจี๋ย แม้ว่าบางครั้งลูกชายนั้นจะไม่เชื่อฟังราวกับว่าไม่ได้เกิดมาจากเขา แต่ในสายตาของเขานั้นในบรรดาบุตรชายบุตรสาวทั้งสี่คนก็เป็นเฉินอวิ๋นเจี๋ยที่ได้ดั่งใจที่สุด

ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บโดยไม่ทราบสาเหตุแล้วถูกส่งตัวกลับมา เขาไม่ได้ต้องการที่จะโกรธเคืองผู้ใดเป็นเพราะตระกูลเฉินนั้นทำเกินไปแล้วจริงๆ

ในเมื่อเป็นข้าราชบริพารก็ควรน้อมรับฟังคำสั่งของฝ่าบาท หากไม่ได้ทำให้ฝ่าบาททรงขุ่นเคืองแล้วจะเกิดเรื่องราวเช่นในวันนี้ได้เช่นไร

เขายังไม่กล้าถามเลยว่าเรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่

ตอนนี้ในจวนยังไม่มีผู้ใดรู้ ไม่เพียงแต่ลูกชายนั้นได้รับบาดเจ็บ อันที่จริงแล้วยังมีเรื่องที่ลูกสาวถูกส่งไปยังวัดฉือหนิงอีกด้วย

แต่ว่าทางที่ดีในตอนนี้นั้นในใจเสนาบดีเฉินต้องการให้เฉินอวิ๋นเจี๋ยปลอดภัยเท่านั้น เพียงแค่ไม่เป็นไรทุกอย่างก็พูดง่าย

เมื่อฉีเฟยอวิ๋นกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา ใจของเสนาบดีเฉินกำลังจะตายซะแล้ว แม้ว่าเขาจะต้องขอร้องและคุกเข่าให้กับฉีเฟยอวิ๋นเพียงแค่เฉินอวิ๋นเจี๋ยสามารถฟื้นขึ้นมาได้เขาก็เต็มใจทั้งสิ้น

ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกลำบากใจอยู่บ้างจากนั้นเหลือบมองยังเฉินอวิ๋นเจี๋ย: “ท่านเสนาบดีไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ แม่ทัพน้อยมีบุญคุณต่อข้าและข้าก็จะช่วยเหลือแม่ทัพน้อยอย่างสุดความสามารถ เพียงแต่ว่าข้าก็มีขีดจำกัดความสามารถ การรักษาอาการบาดเจ็บของเขานั้นต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งรวมทั้งโชคด้วย ตอนนี้ในมือของข้าไม่มียาสมุนไพรที่ได้ผลอันมากมาย ต้องสกัดจากตัวยาบางอย่างและต้องใช้เวลา”

ฉีเฟยอวิ๋นจนปัญญาอยู่บ้าง หากสามารถทำน้ำกลั่นได้ก็จะดีมากเช่นนั้นจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นเท่าตัวเลย

แต่ว่าตอนนี้นางไม่มีความสามารถ

เสนาบดีเฉินใจแตกสลาย ส่วนฉีเฟยอวิ๋นนั้นเดินไปนั่งลงโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใด

นางจ้องมองไปยังเฉินอวิ๋นเจี๋ยอย่างเหม่อลอย จะตายไปเช่นนี้ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก

หากว่านางไม่มัวแต่เสียเวลาแล้วมาเร็วกว่านี้ ไม่แน่อาจจะไม่เป็นเช่นไรแล้ว

แต่ว่าตอนนี้เป็นเช่นนี้แล้วนางก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี

หากไม่มียาสมุนไพรบาดแผลของเขาจะติดเชื้อ ตับก็จะได้รับผลไปด้วย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจำต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย

หนานกงเย่ท่านคิดสิ่งใดอยู่ ท่านก็ไม่ใช่เด็กอายุสามขวบแล้วหรือคิดว่านางสามารถรักษาทุกอย่างให้หายได้หรือ?

หรือว่าท่านมีใจอิจฉาริษยาตั้งแต่แรกอยู่แล้วจึงต้องการเอาให้ถึงตายเลย?

คิดถึงว่าเจ้าของร่างเดิมยังคงมีความรู้สึกต่อเฉินอวิ๋นเจี๋ยอยู่ ฉีเฟยอวิ๋นจึงรู้สึกกังวลอยู่บ้างจริงๆว่าหนานกงเย่จะล้างแค้นเป็นการส่วนตัว

นั่งอยู่ครู่หนึ่งฉีเฟยอวิ๋นก็นั่งสัปหงก

ก็ไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นนางเริ่มรู้สึกง่วง และง่วงมากจนไม่ไหวซะแล้ว นั่งๆอยู่เปลือกตาของนางก็เริ่มหย่อน ทั้งยังรู้สึกว่าไม่นอนไม่ได้แล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นลูบศีรษะแล้วกำลังจะลุกยืนขึ้น ร่างกายเอนเอียงจนทั้งคนกำลังจะล้มลง

ทำให้เสนาบดีเฉินและฮูหยินเสนาบดีตกใจกลัวไม่น้อยเช่นกัน

ตอนนี้จวนเสนาบดีถูกพายุพัดโหมกระหน่ำซะแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าคงต้องถูกตัดหัวทั้งตระกูลซะแล้ว

มู่เหมียนมือเร็วตาไวจึงได้ช่วยพยุงฉีเฟยอวิ๋นไว้อย่างรวดเร็ว ครั้งนี้มองไปยังฉีเฟยอวิ๋นอย่างเป็นกังวลอยู่บ้างเพียงแต่ว่าน้ำเสียงยังคงไม่สุภาพเช่นนั้น: “อยู่ดีๆเหตุใดท่านถึงง่วงนอนได้? ไม่ใช่นอนจนถึงกลางวันจึงได้ลุกขึ้นมาหรือ?”

ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้น นี่ไม่ใช่เวลาที่จะถือสาเอาความกับมู่เหมียน นางก็รู้สึกเคยชินกับคำพูดอันบาดใจของมู่เหมียนซะแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจเบาๆด้วยความโล่งอก: “ข้าอยากนอนพักสักหน่อยท่านเฝ้าดูข้าเอาไว้ อาอวี่เจ้ารีบกลับจวนไปเชิญท่านอ๋อง บอกเขาว่าข้าหลับไปแล้วและโรคเก่าก็กำเริบเขาก็จะรู้แล้ว”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่ามีพละกำลังหนึ่งกำลังดึงร่างของนางไปและไม่ยอมปล่อยให้นางอยู่ต่อ นางต้องการต่อต้านแต่ไม่สามารถต้านทานไว้ได้เลยจริงๆ

นางถึงกับหยิบเข็มเงินออกมาแล้วปักเข้าไปยังจุดหูโขว่เพื่อหวังว่าจะสามารถทนได้จนถึงหนานกงเย่มา

อาอวี่หันหลังกลับแล้วเดินจากไปราวลมพัดแรงและสายฟ้าฟาด

สีหน้ามู่เหมียนหมองลงไม่กล้าชะล่าใจเลย

“พวกเจ้ายังมัวแต่ดูสิ่งใดกันอยู่ หลีกทางหน่อยแล้วไปนำเก้าอี้กุ้ยเฟยมา” มู่เหมียนรู้สึกถึงความผิดปกติ มือไม้ของฉีเฟยอวิ๋นอ่อนแรงไม่ใช่อาการของผู้ที่ง่วงนอนเหมือนถูกพิษมากกว่า

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองไปยังมู่เหมียนครั้งหนึ่ง และเชื่อในความสามารถของมู่เหมียนเป็นอย่างมาก

แม้ว่านางจะไม่ชอบชื่อเสียงจอมปลอม แต่นางมีชื่อเสียงอยู่ในเมืองหลวงมากกว่าชื่อเสียงของพี่น้องเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ นั่นหมายความถึงสิ่งใด?

เฉลียวฉลาด เทียบกันแล้วไม่มีสิ่งใดด้อยกว่ามีแต่จะเหนือกว่า

เสนาบดีเฉินวุ่นอยู่กับการให้คนนำเก้าอี้ไท่ซือมา ในจวนของเขาไม่ได้มีเก้าอี้กุ้ยเฟยใดๆ และของสิ่งนั้นก็ไม่ใช่ว่าทุกๆคนจะมีได้

พยุงฉีเฟยอวิ๋นให้นั่งลงแล้วมู่เหมียนก็เหลือบมองเข็มเงินในจุดหูโขว่ของฉีเฟยอวิ๋นและกล่าวอย่างเป็นกังวลว่า: “ท่านเป็นเช่นไรบ้าง?”

“รู้สึกง่วงยิ่งนักและกำลังจะหลับ ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่เป็นไร ท่านเพียงแค่ต้องคอยเฝ้าดูแลข้าก็พอ หากอาอวี่มาจะพาหมอในจวนมาด้วย สายน้ำเกลือหมอในจวนใช้งานเป็นและอยู่รอข้าชั่วคราวด้วย”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกไม่สบายตัวแต่นางยังคงเป็นห่วงเฉินอวิ๋นเจี๋ย นางมองไปยังเฉินอวิ๋นเจี๋ยครู่หนึ่งแล้วมองไปยังหน้าประตูทางโน้น นางต้องการรอหนานกงเย่มาแต่นางรู้ว่านางไม่สามารถอยู่รอได้

เปลือกตาค่อยๆปิดลง นิสัยอันไม่ดีของฉีเฟยอวิ๋นก่นด่าอย่างลับๆคำหนึ่งแล้วนางก็หลับตาลงไป

มือของมู่เหมียนนั้นคลายลงครู่หนึ่ง นางรีบจับมือฉีเฟยอวิ๋นไว้ทันทีแล้วนางก็กล่าวขึ้นมาว่า: “ที่นี่ไม่ต้องการคนมากนักให้เหลืออยู่แค่สองสามคนก็พอแล้ว ท่านเสนาบดีและฮูหยินเสนาบดีก็ดูเหมือนจะเหนื่อยแล้วเช่นกัน ถอยออกไปก่อนเถอะ”

เฉินอวิ๋นเอ๋อร์นั้นยืนอยู่ตรงหน้าประตู เมื่อได้ยินมู่เหมียนออกคำสั่งเช่นนี้ก็อารมณ์เสียเป็นธรรมดาจนสีหน้านั้นดูไม่ได้เลย

ไม่รอให้เสนาบดีเฉินกล่าวเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ก็เดินเข้าประตูมาแล้ว

เรื่องเมื่อครู่นั้นนางถือสาเอาความอยู่แล้ว ตอนนี้คิดหาวิธีจัดการกับฉีเฟยอวิ๋นได้พอดี

แม้ว่านางจะอยู่ในจวนเสนาบดีแต่นางหมดสติไปเอง หากมีเรื่องมีราวเกิดขึ้นก็ไม่เกี่ยวอันใดกับจวนเสนาบดีของพวกเขา

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ที่นี่ให้ลูกดูแลเถอะ พวกท่านก็เหนื่อยมากแล้วเช่นกันกลับไปพักผ่อนกันก่อน รอท่านอ๋องเย่มาถึงจะได้มารอต้อนรับได้”

เฉินอวิ๋นเอ๋อร์เป็นผู้ช่างคิดเช่นนี้ เสนาบดีและฮูหยินเสนาบดีก็รู้สึกปลื้มใจยิ่งนัก ทั้งสองคนก็เหนื่อยแล้วเช่นกันมองดูลูกชายอีกครั้งและไม่มีแก่ใจอยู่ต่อแล้ว จึงได้ฝากคำพูดไว้สองคำแล้วจากไป

เมื่อเสนาบดีเฉินและฮูหยินเสนาบดีออกประตูไปแล้วเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ก็เข้าไปทักทายมู่เหมียนอย่างสุภาพว่า: “จวิ้นจู่ไม่ต้องเป็นกังวลไปพระชายาเย่นั้นคนดีผีคุ้ม ต้องไม่เป็นไร”

มู่เหมียนเหลือบมองเฉินอวิ๋นเอ๋อร์: “ดูแลพี่ชายของเจ้าให้ดีเถอะ ส่วนพวกข้าเจ้าไม่ต้องสนใจ”

เห็นว่าเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ไม่เข้าตามู่เหมียนก็ไม่สุภาพเช่นกัน

ใช่ว่านางจะมองไม่ออกว่าเฉินอวิ๋นเอ๋อร์เป็นผู้ที่ปิดบังเจตนาชั่วร้ายเอาไว้อีกทั้งยังไม่มีน้ำใจ

เฉินอวิ๋นเจี๋ยเป็นพี่ชายของนาง นอนเจียนจะตายอยู่ตรงนั้นแล้วนางยังสามารถเพิกเฉย ไม่เพียงแต่ไม่โศกเศร้ายังคิดแต่จะจัดการกับฉีเฟยอวิ๋นผู้ที่เป็นหมอมารักษาโรคถึงยังในจวนอีกด้วย

เฉินอวิ๋นเอ๋อร์เป็นเช่นไรมู่เหมียนนั้นรู้อยู่แก่ใจดี

เช่นนี้แล้วจึงเป็นธรรมดาที่สีหน้าจะไม่ดี

เฉินอวิ๋นเอ๋อร์นั้นรู้สึกไม่พอใจซะแล้ว นางคิดว่ามู่เหมียนอยู่ฝั่งนางทางนี้ แต่ตอนนี้มู่เหมียนกลับยืนอยู่ฝั่งฉีเฟยอวิ๋นทางโน้น

เช่นนั้นนางก็ไม่เกรงใจแล้ว หรือไม่ก็ฆ่าฉีเฟยอวิ๋นแล้วโยนความผิดให้กับมู่เหมียน เช่นนี้นางก็ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว กลายเป็นผู้ที่จะถูกรับเลือกให้เป็นพระชายาเย่แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น

หมายเหตุ

จุดหูโขว่ จุดฝังเข็มหนึ่งที่มือระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้มีประโยชน์

ในการหยุดความเจ็บปวด

เก้าอี้กุ้ยเฟย เก้าอี้นอนยาวที่ยาวพอที่จะรองรับขาได้