เงยหน้าขึ้น สายตาของเลอแปงจ้องมองเธอ บนใบหน้าถึงแม้จะมีความอ่อนเยาว์ของวัยรุ่นอยู่ แต่ที่มากกว่านั้นคือความจริงจัง เคร่งขรึม
“ผมโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เป็นธรรมดาที่จะต้องรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ผมไม่ได้ทำเพราะอารมณ์ชั่ววูบ……”
“ทำไมจู่ ๆ ถึงตัดสินใจไปที่อเมริกาล่ะ นายยังไม่จบมัธยมปลายเลย นี่มันการตัดสินใจบ้าบออะไรกัน? นายคิดว่าตัวเองมีสติพอไหม?”
เลอแปงเอ่ยปาก และพูดอย่างเน้นย้ำ: “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานมีส่วนแค่หนึ่งในสี่ที่ทำให้ผมตัดสินใจไปอเมริกา เหตุผลอย่างอื่นนั้นก็คือเพื่อการงานในอนาคตของผม แน่นอน หนึ่งในนั้นยังมีอีกเหตุผลที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือคุณ”
เชอร์รีนตะลึงงัน ยังไม่ทันได้พูดอะไร
เขาก็พูดต่อไปอีกครั้ง น้ำเสียงหนักแน่นเป็นพิเศษ ไม่สามารถทำให้สั่นคลอน:
“ผมชอบคุณ แต่คุณอยู่ในนามพี่สะใภ้ของผม ถ้าหากมองคุณแบบนี้ต่อไป ผมยิ่งจะถลำลึกเข้าไปอีก สุดท้ายก็ไม่สามารถถอนตัวได้ ผมต้องการหาอย่างอื่นมาเบี่ยงเบนความสนใจของผม
ผมไม่เคยมีสติแบบนี้มาก่อน ดังนั้นอย่าขวางผมเลย เพราะว่า การตัดสินใจของผมไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นใคร……”
ถึงแม้เขาจะยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น แต่วินาทีนี้ ความสุขุม และความหนักแน่นบนใบหน้า ทำให้คนไม่อาจสงสัย
เมื่อคำพูดแบบนี้ถูกพูดออกมา เชอร์รีนก็ไม่มีเหตุผลที่จะรั้งเขาเอาไว้
“ความคิดของผมนั้นได้เป็นผู้ใหญ่พอแล้ว นอกจากนี้ ผมได้วางแผนให้กับอนาคตของผมอย่างชัดเจน” วินาทีนี้ เลอแปงดูแล้วไม่เหมือนกับนักเรียนมัธยมปลายเลยสักนิด
เขาสามารถตัดสินใจและมีความมุ่งมั่นแบบนี้ได้นั้นเป็นเรื่องที่หาได้ยากจริง ๆ เธอจะไปขัดขวางได้ยังไง?
“ตัดสินใจตั้งแต่ตอนไหน?”
“คืนเมื่อวาน คิดอยู่คืนหนึ่งเต็ม ๆ” เมื่อเห็นท่าทีของเธออ่อนลง เลอแปงก็กลับมามีท่าทางยิ้มแย้มเหมือนเมื่อก่อน และผลักเค้กก้อนนั้นออกไป: “ลองชิมดู รสผลไม้ สั่งพวกเขาทำเป็นพิเศษ”
เขาเอารูปถ่ายของเธอที่เขามีอยู่เพียงหนึ่งเดียวแผ่นนั้นให้กับร้านเค้ก ให้พวกเขาดูตามภาพ และทำเค้กออกมาให้เหมือนกับภาพถ่าย
เค้กก้อนนี้มีเพียงก้อนเดียวบนโลกใบนี้ มันเป็นของเธอ และเป็นของขวัญวันเกิดที่เขาอยากจะมอบให้เธอมากที่สุด
พูดถึงเรื่องนี้ ที่ทำให้เชอร์รีนรู้สึกแปลกใจมากก็คือ: “เมื่อคืนนายไปอยู่ที่ไหนมาทั้งคืน?”
“ข้างทะเลสาบในโรงเรียน ทิวทัศน์ในตอนกลางคืนไม่เลวเลย แค่หนาวนิดหน่อย แต่ว่า สมองกลับโปร่งใสมาก”
ได้ยินดังนั้น เชอร์รีนก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ได้ก้มหน้าลง ทานเค้กที่อยู่ในมือ เค้กทำมาจากผลไม้ที่สดใหม่ ไม่มีครีม ดังนั้นจึงดูจืดมาก
“บอกพวกเขาแล้วเหรอ?” เชอร์รีนชี้ไปที่คนของบ้านตระกูลสิริไพบูรณ์พวกนั้น
“ยัง รอบอกตอนไป ไม่งั้นคงไปไม่ได้” เลอแปงได้เตรียมพร้อมตั้งแต่แรกแล้ว
เห็นดังนั้น เชอร์รีนก็ไม่ได้พูดรั้งอะไรอีก เพียงแค่กำชับอย่างจริงจัง ระหว่างทางให้เขาระวังตัว เอาใจใส่เรื่องความปลอดภัย มีตรงไหนที่ไม่สบายให้รีบโทรมาทันที
บนใบหน้าของเลอแปงมีรอยยิ้ม เขารับปากทีละอย่าง และพยักหน้า เหมือนกับเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่เรียบร้อยและเชื่อฟัง
รอจนประกาศให้ผู้โดยสารที่จะเดินทางไปยังอเมริกาขึ้นเครื่องดังขึ้น เลอแปงก็ได้กางแขนทั้งสองข้างออก ใบหน้ายิ้มแย้ม: “มา กอดลากับผมหน่อย”
ลุกขึ้น เชอร์รีนกอดกับเขา เลอแปงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ สูดดมกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของเธอ ในแววตาปรากฏความตัดใจไม่ลงปรากฏขึ้นมา
หลับตาเล็กน้อย รอจนลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็ได้ฝืนคืนสู่สภาพปกติ และมองเธออย่างลึกซึ้งอีกครั้ง จากนั้นก็หมุนตัว และเดินจากไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ สิ่งที่เขาให้เธอมีเพียงแผ่นหลัง ไม่ได้หันกลับมาเลยสักครั้ง เพียงแค่หันหลังให้เธอ โบกมือข้างขวา เป็นเชิงบอกว่าลาก่อน
ยืนอยู่ตรงนั้น จนเงาร่างของเขาหายไปจากสายตาโดยสิ้นเชิง เชอร์รีนถึงกะพริบตาที่แสบร้อนเบา ๆ ออกมาจากสนามบิน และกลับไปที่โรงเรียน
เธอไม่ใช่คนที่มีความรู้ลึกซึ้งสักเท่าไหร่ แต่เธอในตอนนี้ดูค่อนข้างมีความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ทำใจไม่ได้
การเรียนการสอนในช่วงบ่ายไม่นานก็จบลง แต่ว่า ในตอนที่สอน เธอก็มักจะมองไปที่ที่นั่งแถวสุดท้ายที่อยู่ติดหน้าต่างอยู่บ่อยครั้งอย่างห้ามตัวเองไม่ได้
เหมือนกับว่าจะมองเห็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา เขากำลังนอนฟุบอยู่บนโต๊ะด้วยความเกียจคร้าน แสงอาทิตย์สาดส่งผ่านหน้าต่างเข้ามา ปกคลุมเขาด้วยแสงอ่อน ๆ ……
หรือแม้กระทั่ง เหมือนได้ยินเสียงหยอกล้อก่อกวนของเด็กหนุ่ม นกกระเรียนขันร้องเรียกหาคู่ อยู่บนเกาะแก่งกลางแม่น้ำ คุณครูผู้แสนดี เป็นที่หมายปองของนักเรียน……
การจากไปของเขา เพื่อที่จะบินให้สูงขึ้น เธอจะหักปีกของเขาได้ยังไงกัน?
ในชั้นเรียนยังมีนักเรียนหญิงหลายคนที่ไหล่ตามถามเธอถึงที่มาที่ไปของเลอแปง เธอตอบไปตามความจริง เขาได้ยื่นใบลาออก และได้ไปที่อเมริกาแล้ว
ได้ยินดังนั้น พวกเธอก็ได้มีสีหน้าผิดหวังอย่างไม่ปกปิด ต่างก็คิดไม่ถึง ว่าเขาจะพักการเรียน!
ช่วงบ่ายหลังจากเลิกงาน เธอก็ไปสอนพิเศษต่อ ช่วยเด็กชายทบทวนบทเรียน
ความจริงแล้ว ค่าตอบแทนก็ถือว่าไม่เลว สอนเสริมวันละหนึ่งชั่วโมง หนึ่งเดือนจะให้ค่าสอนพิเศษเดือนละหนึ่งหมื่น
ส่วนเงินเดือนที่ทางโรงเรียนจ่ายนั้นแค่เดือนละหนึ่งหมื่นห้าพัน รวมกันแล้วก็จะเป็นสองหมื่นห้าพันตัดค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในทุก ๆ เดือนออกไป ก็จะเหลือหนึ่งหมื่นสองพันห้าร้อย
เธอตั้งเป้าหมายให้ตัวเองหนึ่งอย่าง ในหนึ่งปีคืนเงินให้ยู่ยี่หนึ่งแสนห้าหมื่น ต้องมีสักวันที่จะใช้หมด
วันนี้สอนภาษาอังกฤษ เห็นได้ชัดว่าภาษาอังกฤษของเด็กชายนั้นไม่ดีมาก ไวยากรณ์ผิดทั้งหมด และจำคำศัพท์ไม่ได้เลย
ดังนั้น จึงต้องใช้เวลาหน่อย รอจนสิ้นสุดลง ก็ผ่านไปเกือบจะสองชั่วโมง ตอนนี้สามทุ่มแล้ว
คุณพ่อคุณแม่ของเด็กชายยังคงเป็นกันเองเหมือนเดิม รั้งให้เธออยู่ทานอาหารค่ำ เธอปฏิเสธ บอกว่าไม่ต้องติด ๆ กัน ก็จะขับรถส่งเธอกลับไป ยังคงถูกเธอปฏิเสธอย่างอ้อมค้อมเหมือนเดิม เวลานี้ยังมีรถเมล์อยู่
และก็เป็นรถเมล์เที่ยวสุดท้ายจริง ๆ ไม่ได้แออัดเหมือนกับตอนกลางวัน มีเพียงความเงียบสงบ นับรวมเธอ บนรถมีเพียงห้าคนเท่านั้น
สิบว่านาที รถได้จดลงที่ป้ายรถเมล์ เธอลงจากรถ สายลมอันเหน็บหนาวที่พัดผ่านมาทำให้เธอตัวสั่นอย่างอดไม่ได้
ช่วงเวลาค่ำคืนของฤดูหนาวในเดือนสิบสองเป็นธรรมดาที่จะเทียบไม่ได้กับฤดูร้อน บนถนนนอกจากรถราแล้ว ไม่มีผู้คนเดินอยู่
เดินผ่านถนน เธอเดินเข้าสู่เส้นทางที่จำเป็นต้องเดินผ่านเพื่อกลับคอนโด ที่ทั้งมืดทั้งยาว
ถึงแม้จะได้บอกกับเจ้าของตึกแล้ว แต่ไฟถนนตรงนี้ก็ยังไม่ได้เปลี่ยน ทางเดินทอดยาว และคับแคบ มันมืดมาก
เดินอยู่ไปข้างหน้า ไม่รู้ว่าทำไมในใจเธอถึงรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย รอบ ๆ ทั้งดำทั้งมืด แถมยังเงียบสงบแบบนั้น
ทันใดนั้น ในตอนนี้เอง เสียงฝีเท้าก็ได้ดังมาจากด้านหลัง เสียงฝีเท้าที่ชัดเจนมาก เธอไม่ได้หูฝาดปอย่างแน่นอน
ดังนั้น เธอจึงเดินเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ฝีเท้าก้าวใหญ่ ๆ ขึ้นมา หางตาเอียงเล็กน้อย เหลือบมองไปที่ด้านหลัง กลัวว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่น
“เธอมาคนเดียว รีบขวางเธอเอาไว้เร็ว!” ที่ด้านหลังมีเสียงหยาบกระด้างของผู้ชายดังลอยมา
ใจที่สงบเต้นตูมตามขึ้นมาทันที เชอร์รีนกัดฟัน และรีบวิ่งไปด้านหน้าทันที ได้ยินเพียงเสียงลมพัดผ่านไปที่ข้างหู
แต่ทว่า เห็นได้ชัดว่าคนกลุ่มนั้นมีการวางแผนมาก่อน เสียงของชายคนนั้นพึ่งจะพูดจบ ที่ด้านหน้าของเธอก็มีผู้ชายท่าทางอันธพาลปรากฏตัวขึ้นมา
ทำได้เพียงหยุดฝีเท้าลง เธอกัดฟันกรอด ร่างถูกบีบให้ถอยหลังติดต่อกัน ฝ่ามือที่เหน็บหนาวในเมื่อสักครู่ตอนนี้ได้ถูกบีบจนเหงื่อไหลออกมา