ตอนที่ 3604 : ฉกโอสถเทพ!

 

โอสถทะลวงเทพนั้น ต้วนหลิงเทียนเคยได้ยินวารีเทพชำระโลกาอธิบายลักษณะและรายละเอียดของมันมาก่อน ตั้งแต่ตอนอยู่ในระนาบเทวโลก

 

โอสถชนิดนี้ เป็นโอสถระดับเทพ สามารถหลอมกลั่นได้โดใช้วัตถุดิบสมุนไพรที่อยู่ระนาบเทพเท่านั้น และผู้ที่จะหลอมกลั่นมันก็จำต้องควบแน่นพลังเทพเพื่อจุดเพลิงเทพ ยังต้องมีความสามารถในการควบคุมเพลิงเทพได้อย่างช่ำชอง หาไม่แล้วกากที่จะหลอมโอสถเทพได้

 

เป็นธรรมดาว่า ขอเพียงเป็นผู้หอมโอสถบนระนาบเทพที่ได้รับการรับรองจากสมาคมผู้หลอมโอสถแล้ว ไม่ว่าใครก็สามารถควบคุมเพลิงเทพได้ทั้งสิ้น แต่จะเก่งกาจแค่ไหนก็อยู่ที่ฝีมือกับการฝึกฝน

 

และผู้หลอมโอสถในระนาบเทพนั้น ถึงแม้จะไม่ได้เก่งกฏแห่งไฟ ก็ต้องใช้พลังของกฏแห่งไฟได้ เพราะมีเพียงเทพที่สามารถใช้กฏแห่งไฟได้เท่านั้น ถึงจะสามารถเป็นผู้หลอมโอสถบนระนาบเทพได้

 

และผู้หลอมโอสถบนระนาบเทพ ยังเรียกอีกอย่างได้ว่า ผู้หลอมโอสถเทพ

 

“โอสถทะลวงเทพ ตัวเม็ดยามีสีน้ำตาล แสงพลังโอสถจักหมุนวนรอบเม็ดยาราวพยัคฆ์วายุมังกรเมฆา…และคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของโอสถทะลวงเทพเม็ดนี้คือ เม็ดยาต้องกระแสพลังโอสถคล้ายเส้นไหมพาดผ่านอย่างเป็นธรรมชาติ หากเพิ่มเติมทีหลัง สามารถมองออกได้ทันที”

 

คำพูดของวารีเทพชำระโลกา เสมือนดังขึ้นในหัวต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง

 

และต้วนหลิงเทียนที่มองสำรวจไปยังเม็ดยาภายในกล่องใส ก็พบว่ามันมีคุณลักษณะตรงกับที่วารีเทพชำระโลกากล่าวไว้ทุกประการ

 

เห็นได้ชัดว่าเป็นโอสถทะลวงเทพของจริง

 

ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้ และคิดไว้แต่แรกว่ามันต้องเป็นของจริงแน่นอน

 

เพราะโอสถทะลวงเทพถูกขายโดยตระกูลเมิ่ง 1 ใน 4 ขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองหลินซาน แถมยังเป็นร้านค้าของตัวเองอีก หากนำของปลอมมาขาย ก็นับว่าสร้างความเสียหายให้ตระกูลเมิ่งครั้งยิ่งใหญ่แล้ว

 

เมื่อนำของปลอมมาขาย วันหน้าเกิดมีคนมาซื้อของ ไม่ใช่ต้องกังวลเรื่องโดนหลอกขายของปลอมหรือไร

 

ต่อไปวันหน้าถึงแม้ตระกูลเมิ่งจะไม่นำของปลอมมาขายอีก แต่อีก 3 ขุมกำลังที่เหลือย่อมไม่พลาดโอกาสใส่ร้ายป้ายสีตระกูลเมิ่งเพื่อสร้างปัญหาแน่นอน ยังสามารถส่งคนมาร้านโอสถตระกูลเมิ่งมาซื้อของ แวลอบนำของปลอมออกมาโวยวาย ใส่ร้ายตระกูลเมิ่งอยู่ร่ำไป

 

บางครั้งหากเกิดเรื่องขึ้นสักครั้ง ก็ทำให้ผู้คนบังเกิดอุปาทาน จากนั้นก็กลายเป็นระแวงไปหมด ยากที่ตระกูลเมิ่งจะกู้คืนความน่าเชื่อถือได้

 

ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลย ที่ตระกูลเมิ่งจะกล้านำโอสถปลอมมาขาย

 

แค่โอสถอมตะปลอมก็แย่แล้ว นับประสาอะไรกับโอสถเทพ

 

“ที่แท้เจ้าหนุ่มนั่นเป็นใครกันแน่?! จักรพรรดิอมตะ 10 ทิศร่ำรวยแลดูมือเติบถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

 

“สมควรเป็นคนนอก…ในละแวกเมืองหลินซาน ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีใครลักษณะเช่นนี้มาก่อนเลย”

 

“มันมาซื้อโอสถทะลวงเทพแบบนี้…หรือกำลังจะตัดผ่านไปยังขอบเขตเทพแล้ว?”

 

 

ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของผู้คน ต้วนหลิงเทียนก็เพียงยืนรอการมาถึงของผู้หลอมโอสถตระกูลเมิ่งอย่างสงบ

 

ในระหว่างรอ เถ้าแก่ของศาลาสือสุ่ย อาวุโส 5 แห่งตระกูลเมิ่งก็ถามความเป็นมาของต้วนหลิงเทียนอย่างสุภาพ และต้วนหลิงเทียนก็กล่าวตอบออกไปอย่างที่เคยพูดในร้านโอสถตระกูลเฉียน

 

นิกายฟ้าจรัสแสง!

 

แต่เพราะเมิ่งหยวนไม่ได้ถามเซ้าซี้ เขาจึงไม่ได้พูดเรื่องเย่เป่ยหยวนออกมา

 

ยิ่งไปกว่านั้นถึงเขาจะเอ่ยชื่อเย่เป่ยหยวนออกมา ก็เกรงว่าเมิ่งหยวนจะไม่รู้จัก

 

“นิกายฟ้าจรัสแสง!?”

 

“ที่แท้เป็นถึงคนของนิกายฟ้าจรัสแสง!!”

 

 

หลังได้ยินต้วนหลิงเทียนเปิดเผยความเป็นมา คนในศาลาสือสุ่ยก็เริ่มฮือฮาขึ้นทันที และบางคนก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย “เป็นถึงศิษย์ของนิกายฟ้าจรัสแสง ไฉนถึงขาดแคลนโอสถทะลวงเทพได้เล่า?”

 

“เท่าที่ข้าทราบมา นิกายฟ้าจรัสแสงก็เป็นถึงขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพมิใช่หรือไร ศิษย์คนใดที่ทะลวงถึงจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศแล้วก็น่าจะรับโอสถทะลวงเทพได้ทันที…หรือนิกายฟ้าจรัสแสงตระหนี่?”

 

หลายคนยังอดไม่ได้ที่จะสงสัยในเรื่องนี้

 

“บางที…เจ้าหนุ่มนั่นมันออกมาฝึกฝนหาประสบการณ์นอกนิกายหรือไม่? และหังจากบรรลุถึงจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ ก็ยังไม่ได้กลับไปนิกาย?”

 

แม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้พูดอะไร ก็มีคนหาข้อแก้ตัวให้เขา และข้อแก้ตัวดังกล่าวก็ฟังขึ้นจริงๆ

 

ไม่นานนักผู้หลอมโอสถเทพของตระกูลเมิ่งก็มาถึง เป็นชายชราในชุดคลุมแดงเพลิง ใบหน้าอ่อนวัยคล้ายทารก พอเข้ามาถึงศาลาสือสุ่ย เมิ่งหยวนก็เร่งประสานมือคารวะทักทายทันที “ท่านลุง 4”

 

ผู้หลอมโอสถเทพคนนี้ของตระกูลเมิ่ง ยังเป็นเทพคนหนึ่งของตระกูลเมิ่ง และเป็นดั่งเสาหลักของตระกูลเมิ่งก็ว่าได้

 

โดยปกติแล้วหากจะขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หลอมโอสถเทพของตระกูลเมิ่งได้ ก็ต้องมีฝีมือดีไม่น้อย เว้นเสียแต่จะเป็นสมาชิกของตระกูลเมิ่ง

 

ทว่าผู้หลอมโอสถเทพคนนี้ ไม่เพียงมีฝีมือดี แต่มันยังเป็นคนของตระกูลเมิ่งอีกด้วย แถมยังอยู่ในสายเดียวกับเมิ่งหยวน และเป็นลุง 4 ของมัน

 

“นั่นมันผู้หลอมโอสถเทพของตระกูลเมิ่ง เมิ่งฉีโหย่ว”

 

“เมิ่งฉีโหย่วผู้นี้มิใช่แค่เป็นผู้หลอมโอสถระดับเทพของตระกูลเมิ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นยอดฝีมือขอบเขตเทพคนสำคัญของตระกูลเมิ่งอีกด้วย”

 

 

การปรากฏตัวของเมิ่งฉีโหย่วย่อมประสบความสำเร็จในการดึงดูดความสนใจของผู้คนไม่น้อย หลายๆคนในศาลาสือสุ่ย ยังมองเมิ่งฉีโหย่วด้วยตาเป็นประกาย

 

ตุบ!

 

ก่อนที่เมิ่งฉีโหย่วจะเดินมาถึงต้วนหลิงเทียน พลันมีร่างหนึ่งกระโดดออกมาจากกลุ่มผู้ชม และไปหยุดคุกเข่าลงระหว่างเมิ่งฉีโหย่วกับต้วนหลิงเทียน มันยังโขกศีรษะลงกับพื้น 3 ครั้งเป็นการคารวะ “อาจารย์เมิ่ง ผู้น้อยยึดถือท่านเป็นแบบอย่างตั้งแต่ยังเยาว์ วันนี้ผู้น้อยซันเซิงยินดีเป็นอยย่างยิ่งที่ได้พบท่าน”

 

“วันนี้ผู้น้อยอยากกราบท่านเป็นอาจารย์ ขออาจารย์เมิ่งรับไว้พิจารณาด้วย”

 

ชายวัยกลางคนที่รุดมาคุกเข่าลงบนพื้น หลังโขกศีรษะลงกับพื้นเสร็จ มันก็เร่งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงนอบน้อม เห็นได้ชัดว่าอยากกราบเมิ่งฉีโหย่วเป็นอาจารย์

 

อยู่ๆบังเกิดฉากดังกล่าวขึ้น ก็เรียกเสียงฮือฮาจากผู้คนโดยรอบไม่น้อย

 

ขอเพียงมีสายตาเฉียบแหลม ไม่ว่าผู้ใดก็บอกได้ทันทีว่าชายวัยกลางคนผู้นี้คิดสานสัมพันธ์กับเมิ่งฉีโหย่วโดยกราบอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ เพราะถ้าทำสำเร็จไม่เพียงแต่จะเสมือนมีร่มโพธิร่มไทรให้พักพิงเท่านั้น วันหน้ายังสามารถเดินกร่างในเมืองหลินซานได้อย่างไม่ต้องกลัวใคร

 

“เหอๆ…ข้าเคยได้ยินมาก่อน ว่าเคยมีผู้คนไปกราบผู้หลอมโอสถระดับเทพของตระกูลเฉียนเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ แต่กลับถูกปฏิเสธอย่างไร้ความปราณี…ข้าคิดว่าเรื่องพรรค์นี้เป็นแค่ข่าวลือหรือเรื่องขำขันในวงสุราเสียอีก ไม่คิดเลยว่าจะมีคนเช่นนี้อยู่จริงๆ”

 

บางคนเริ่มกล่าวล้อเลียนออกมา

 

“ฮ่าๆๆ ถึงมันจะแลดูน่าขัน แต่เกิดมันทำสำเร็จเล่า? ไม่ใช่ชีวิตเปลี่ยนเลยรึ! กระทั่งไม่ใช่แค่ชีวิตมันที่จะเปลี่ยน ตระกูลของมันก็เสมือนก้าวเดียวถึงฟ้า!”

 

หลายคนที่เห็นการกระทำหน้าไม่อายของชายวัยกลางคน อดไม่ได้ที่จะกล่าวล้อกันออกมาอย่างสนุกสนาน

 

เมิ่งหยวนขมวดคิ้วย่นเป็นปมทันใด แต่ในขณะที่มันกำลังจะลงมือ เมิ่งฉีโหย่วก็ยกมือขึ้นปรามเสียก่อน จากนั้นก็หันไปมองกล่าวกับชายวัยกลางคนที่คุกเข่าเบื้องหน้าด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “อายุกระดูกเจ้าก็เกินหมื่นปีไปแล้ว แต่ด่านพลังยังไม่แม้แต่จะบรรลุถึงจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ…”

 

“อาศัยเจ้า ยังคิดจะกราบข้าเป็นอาจารย์อีกรึ?”

 

“ตัวโง่งมเพ้อฝัน!”

 

เสียงกล่าวประโยคท้ายของเมิ่งฉีโหย่วแฝงไว้ด้วความดูแคลนถึงขีดสุด จากนั้นมันก็เริ่มคลี่ยิ้มเยียบเย็น “รีบไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าผู้เฒ่าเสีย…หาไม่แล้วอย่าได้โทษว่าเท้าข้าผู้เฒ่าอำมหิต!”

 

พอกล่าวจบคำ เมิ่งฉีโหย่วก็เริ่มเคลื่อนไหว

 

“ขออาจารย์เมิ่งโปรดพิจารณาข้าน้อยด้วยเถอะ”

 

ชายวัยกลางคนยังคงคุกเข่าเอาหัวจรดพื้นอยู่ มันย่อมไม่เห็นความเคลื่อนไหวของเมิ่งฉีโหย่ว ไม่ได้รู้ด้วยซ้ำว่าหายนะกำลังจะมาเยือน เพราะคิดว่าเมิ่งฉีโหย่วเพียงกล่าวเล่นไปอย่างนั้น

 

ทว่าแทบจะพร้อมๆกันกับที่เสียงชายวัยกลางคนดังจบคำ

 

ในที่สุดเมิ่งฉีโหย่วก็หวดเตะออกมา

 

ปงงงง!!

 

ขณะที่เมิ่งฉีโหย่วหวดเตะออกมา พลังไฟอันน่ากลัวขุมหนึ่งก็ควบแน่นไว้ที่ปลายเท้า จากนั้นก็ปะทุออกมาปกคลุมร่างชายวัยกลางคนที่คุกเข่าบนพื้นเบื้องหน้าทันที

 

“อ๊า—!”

 

เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นสั้นๆ…

 

จากนั้นเมื่อเพลิงที่ปะทุระเบิดออกมาจากลูกเตะของเมิ่งฉีโหย่วดับลง ชายวัยกลางคนก็อันตรธานหายไปจากสายตาผู้คน คงเหลือเพียงกลิ่นเนื้อไหม้คละคลุ้งในศาลาสือสุ่ย…

 

ทั้งศาลาสือสุ่ยกลายเป็นเงียบสงัดลงทันใด

 

ผู้คนส่วนใหญ่ยังรู้สึกเสียวซ่านที่หนังศีรษะ “ข้าได้ยินว่าผู้หลอมโอสถระดับเทพของตระกูลเมิ่ง เมิ่งฉีโหย่วผู้นี้ ตอนยังหนุ่มเคยขึ้นชื่อเรื่องความเด็ดขาดและโหดเหี้ยมไม่น้อย แต่พอเดินเข้าสู่หนทางของผู้หลอมโอสถเทพ ชื่อเสียงเหล่านั้นก็เริ่มหายไป…มาวันนี้ได้เห็นกับตา ดูเหมือนยังคงดุดันไม่แปรเปลี่ยน”

 

“ดูเหมือนกาลเวลายังไม่อาจลบเลือนความดุร้ายของมันได้…”

 

หลายๆคนถึงกับลืมไปว่าตอนนี้เมิ่งฉีโหย่วเป็นผู้หลอมโอสถระดับเทพแล้ว เพียงนึกถึงสมัยที่อีกฝ่ายเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังเพราะการลงมือดุดันเด็ดขาดเรียกว่าสุดจัดในรุ่นขึ้นมา

 

ถึงแม้หลายๆคนจะคิดว่าการกระทำของชายวัยกลางคนนั้นไร้ยางอาย แต่แค่สั่งสอนบทเรียนให้อีกฝ่ายก็พอ เพราะสุดท้ายก็แค่อยากฝากตัวเป็นศิษย์ไม่ได้มีโทษถึงตายอะไร…แต่จังหวะนี้ใครเล่าจะกล้าพูด

 

ทว่าต้วนหลิงเทียนเพียงมองดูเรื่องราวด้วยความเฉยเมย

 

ทว่าไม่ต้องกล่าวถึงว่าในปัจจุบันเขายังไม่บรรลุถึงขอบเขตเทพ จึงไม่มีพลังพอที่จะหยุดการลงมือของอีกฝ่าย

 

ต่อให้เขามีความสามารถ เขาก็ไม่คิดสอดมือ

 

เพราะการกระทำของชายวัยกลางคนก็ทำให้เขาขยะแขยงเช่นกัน หากเขาเป็นเมิ่งฉีโหย่ว ถึงแม้อาจจะไม่ได้ลงมือเข่นฆ่าโดยตรง แต่ก็จะสั่งสอนบทเรียนให้อีกฝ่ายจำขึ้นใจ ไม่กล้าทำอะไรเลอะเทอะเช่นนี้อีกในภายภาคหน้า

 

“สหายน้อยหลิงเทียน”

 

เมิ่งฉีโหย่วก้าวเดินต่อมาถึงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน ก่อนจะกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เมิ่งหยวนได้กล่าวบอกตัวตนของท่านแล้ว ข้าคือผู้หลอมโอสถระดับเทพของตระกูลเมิ่ง เมิ่งฉีโหย่ว”

 

“รบกวนผู้เฒ่าเมิ่งฉีโหย่วด้วย”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยถามออกมาตรงๆ “ว่าแต่หินเทพ 3,000 ตำลึง ข้าต้องให้ผู้เฒ่าเมิ่งเลยหรือไม่?”

 

“ให้ข้าได้เลย”

 

เมิ่งฉีโหย่วพยักหน้าพลางยิ้ม “ดูเหมือนสหายน้อยหลิงเทียนกำลังรีบ”

 

พอกล่าวจบคำ เมิ่งฉีโหย่วก็สะบัดมือเบาๆเพื่อคลายยผนึกให้กล่องใส จากนั้นก็ใช้พลังดูดรั้งโอสถทะลวงเทพมา และใช้พลังไร้สภาพหอบหิ้วส่งมาให้ต้วนหลิงเทียน

 

ทว่าในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะเอื้อมมือออกไปรับโอสถทะลวงเทพนั้นเอง เขาสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวขุมหนึ่งกำลังแผ่พุ่งมาแต่ไกล และเป้าหมายก็คือโอสถทะลวงเทพที่เมิ่งฉีโหย่วใช้พลังหอบหิ้วส่งมา…

 

‘ขอบเขตเทพ…’

 

ต้วนหลิงเทียนก็ชะงักมือทันที จากนั้นก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ไม่กล้าสอดมือทำอะไร

 

เพราะในขณะที่สัมผัสได้ถึงพลังอันน่ากลัวขุมหนึ่งพุ่งมา ทั้งได้ยินเสียงอัสนีคำรน ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นเทพที่เชี่ยวชาญกฏสายฟ้าคนหนึ่ง แถมยังเพ่งเล็งลงมือไปยังโอสะทะลวงเทพอีกด้วย

 

โอสถทะลวงเทพนั้นมีมูลค่าหินเทพถึง 3,000 ตำลึง มากพอจะให้เทพขั้นต่ำเสี่ยงลงมือช่วงชิงแล้ว

 

“หึ!”

 

เมิ่งฉีโหย่วสบถคำเสียงเย็น จากนั้นก็ใช้พลังดูดรั้งโอสถทะลวงเทพกับมาฉับไว ก่อนจะพลิกฝ่ามือตบฟาดออกไปอย่างเกรี้ยวกราด!

 

ปงงง!!

 

เปรี๊ยงงงง!!

 

 

พลังอันน่าสะพรึงกลัวกำจาออกมาปานมรสุม พาลให้ศาลาสือสุ่ยปั่นป่วนไม่น้อย อย่างไรก็ตามคลื่นกระแทกเพียงปรากฏได้ไม่ทันไร ก็บังเกิดแสงพลังอาคมสลายทิ้งในบัดดล เห็นได้ชัดว่าค่ายกลป้องกันในศาลาสือสุ่ยได้สำแดงอานุภาพ

 

ในสถานที่อยย่างศาลาสือสุ่ยที่มีโอสถวางจำหน่ายเอาไว้เป็นจำนวนมากแบบนี้ ย่อมมีค่ายกลปกป้องเป็นธรรมดา เพราะตระกูลเมิ่งเองก็ไม่คิดเสี่ยงให้สินค้าเสียหาย จึงจัดตั้งค่ายกลเอาไว้อย่างแน่นหนา

 

อาศัยคลื่นกระแทกจากการปะทะกันของพลังขอบเขตเทพ ค่ายกลยังสามารถป้องกันได้ไม่ยาก

 

“สารเลวเจ้ากำแหงถึงขั้นลงมือปล้นชิงในร้านของตระกูลเมิ่งข้า! ช่างกล้านัก!!”

 

เมิ่งฉีโหย่วกล่าวเย้ยหยันเสียงเย็น จากนั้นมันก็ระเบิดพลังซัดใส่ผู้ลงมือจนปลิวกระเด็นออกนอกศาลาสือสุ่ย ก่อนจะวูบร่างตามไปทันที

 

จากนั้นผู้คนในศาลาสือสุ่ยไม่เว้นต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงปะทะกันนอกศาลาสือสุ่ย และเสียงดุร้ายของเมิ่งฉีโหย่วก็ดังลั่นขึ้นมาอีกครั้ง

 

พอได้ยินเสียงของเมิ่งฉีโหย่ว ผู้คนในศาลาสือสุ่ยที่ได้สติ หลายคนก็เร่งรุดตามออกไปชมดูเรื่องสนุกสนานทันที

 

ต้วนหลิงเทียนเองก็ตามไปชมดูเช่นกัน

 

โอสถทะลวงเทพในมือเมิ่งฉีโหย่ว เขาต้องได้มันมา!

 

ด้วยพลังของโอสถทะลวงเทพ และพลังบ่มเพาะของเขาตอนนี้ เขามีความมั่นใจกว่า 7 ส่วน ที่จะทะลวงถึงขอบเขตเทพ!