ตีให้ตายก็ไม่ทำ

ยังจะลงนรกอีกเหรอ? เห็นได้ชัดว่าโดนควบคุมมานานเลยอยากออกไปเที่ยวเล่น แต่ยังดันทุรังพูดจาวางมาดสง่าภูมิฐานแบบนี้อีก

พอได้เห็นนิสัยของเขา เหมียวอี้ก็อยากจะซ้อมสักยก ถ้าพาเจ้าบ้านี่ไปพิภพใหญ่ด้วยจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาก็ได้

ทว่าไต้ซือศีลเจ็ดเอ่ยปากแล้ว เจ้ารองเองก็อยากไป ที่สำคัญที่สุดคือบอกเทพพยากรณ์เอาไว้ อีกฝ่ายรู้ความลับของตนเยอะเกินไป เหมียวอี้ไม่สะดวกจะปฏิเสธ ทำได้เพียงพยักหน้า “งั้นก็เอาตามนี้แล้วกัน”

อาจารย์และลูกศิษย์ประนมมือขอบคุณพร้อมกันทันที ไต้ซือศีลเจ็ดเองก็ไม่ได้อยากจะอยู่ที่นี่นาน อยากจะทิ้งศีลแปดไว้แล้วบอกลาเลย

ขณะกำลังชอบใจที่ได้ออกห่างจากอาจารย์ แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะเอ่ยห้าม “ไต้ซือ ท่านพาลูกศิษย์ของท่านกลับไปด้วยกันดีกว่า”

ไต้ซือศีลเจ็ดแปลกใจ ศีลแปดที่กำลังประนมมือวางมือลงทันที เบิกตาโพลงถามว่า “พี่ใหญ่ ท่านคงไม่กลับคำพูดหรอกใช่มั้น?” ภาพลักษณ์พระสงฆ์ชั้นสูงหายไปหมดแล้ว

เหมียวอี้บิดหูเขาเข้ามา แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ถ้าพวกเราเคลื่อนไหวพร้อมกันจะตกเป็นเป้าที่ใหญ่เกินไป เจ้าไปกับอาจารย์เจ้าก่อน แล้วหลังจากนี้สองเดือน จำไว้ว่าต้องไปซ่อนตัวที่ท่าเรือของถ้ำคล้อยบูรพาที่ข้าเคยไปรับตำแหน่ง ถึงเวลาข้าจะไปหาเจ้าเอง”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ศีลแปดวางใจแล้ว ถ่ายทอดเสียงถามเช่นกันว่า “พี่ใหญ่ ท่านเข้าห้องหอเมื่อคืนนี้ เข้าทีละคนหรือว่าเข้าพร้อมกันเลย?”

เพียะ! โดนเหมียวอี้ใช้ฝ่ามือตบศีรษะโล้นฉาดหนึ่ง ศีลแปดหนีเตลิดทันที รู้ตัวว่าควบคุมปากได้ไม่ดีจึงเผลอพูดผิดไป กลัวว่าจะโดนตอบโต้รุนแรงกว่าเดิม

ศีลเจ็ดรู้จักลูกศิษย์ตัวเองดีมาก เมื่อเห็นเหมียวอี้ทำท่าทางอับอายจนโมโห กอปรกับศีลแปดที่หนีเหมือนเป็นวัวสันหลังหวะ เขาเดาว่าลูกศิษย์ตัวเองคงพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป จึงยิ้มพร้อมประนมมือกล่าวอำลา แล้วเหาะขึ้นฟ้าจากไป…

เมื่อกลับมาบนตึกของปราสาททอง เหมียวอี้ก็มาหาอวิ๋นจือชิวและเล่าเรื่องเมื่อครู่นี้ให้นางฟัง บอกอย่างชัดเจนว่าอีกไม่นานจะกลับไปพิภพใหญ่เพื่อนำตัวเยารั่วเซียนไปส่ง

อวิ๋นจือชิวไม่มีความเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพียงตอบคำเดียวว่า “ถือโอกาสพาข้าไปเปิดหูเปิดตาด้วยสักหน่อยสิ”

เหมียวอี้ยอมแพ้นางแล้ว  เขาถอนหายใจ “ฮูหยิน! ไม่ต้องรีบไปตอนนี้หรอก ในภายหลังยังมีโอกาส เจ้าเพิ่งได้คุมยอดเขาหยกนครหลวง จัดการงานให้เข้าที่เข้าทางก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

อวิ๋นจือชิวเอามือลูบกระโปรงนั่งบนตักเขาทันที ใช้แขนคล้องคอเขาพร้อมบอกว่า “เจ้าคิดว่าข้าให้เจ้าแต่งงานกับฉินเวยเวยไปทำไม ต่อไปข้าจะให้ฉินเวยเวยรักษาการณ์แทนข้าชั่วคราว หยางชิ่งต้องช่วยลูกสาวตัวเองแสดงความสามารถอย่างเต็มที่แน่นอน วางใจได้ ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอก”

“แล้วตอนไปส่งส่วยที่แดนโพ้นสวรรค์จะทำยังไง? เจ้าคงไม่ให้หยางชิ่งไปแทนเจ้าหรอกใช่มั้ย? พวกเราหายไปพร้อมกันสองคน ถ้าคนอื่นไม่สงสัยก็แปลกแล้ว” เหมียวอี้กล่าว

อวิ๋นจือชิวจึงบอกว่า “ข้าบอกแล้วว่าให้เวยเวยคุมแทนข้าชั่วคราว ก่อนส่งส่วยข้าค่อยรีบกลับมาก็ได้ เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ข้าบริหารจัดการทางหนีทีไล่นี้ได้ดีแน่นอน ข้าแค่ไปรู้จักเส้นทางเอาไว้ เผื่อตอนหลังเจ้าหนีไป แล้วข้าไม่รู้ว่าจะไปตามหาเจ้าที่ไหน ข้าให้เจ้าแต่งงานรับอนุภรรยาสามคนมานอนกอดซ้ายกอดขวาใช้งานยังไงก็ไม่หมด แค่คำขอเล็กน้อยจากข้า เจ้าคงไม่ถึงขั้นเติมเต็มให้ไม่ได้หรอกใช่มั้ย?”

เหมียวอี้พูดไม่ออกสุดๆ คิดในใจว่าถ้าปล่อยให้เจ้าจับได้เรื่องข้ากับหวงฝู่จวินโหรว แล้วข้าจะทำอย่างไร?

อวิ๋นจือชิวยังมีเหตุผลมาอธิบายอีก “แล้วอีกอย่าง เจ้าบอกว่าเทพพยากรณ์นั่นทำให้เจ้ารู้สึกกลัวไม่ใช่เหรอ? ถึงอย่างไรฮูหยินคนนี้ก็มีวรยุทธ์บงกชทองเหมือนกัน ต่อไปพวกเราไม่ต้องไปหาเขาก็ได้ เราไปกลับด้วยตัวเอง จะได้ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างทาง ให้ข้าไปส่งพวกเจ้าก็เหมาะสมพอดีเลย เจ้าว่ามั้ยล่ะ? เอาตามนี้แล้วกัน ข้าจะรีบเตรียมการให้ทัน!” พูดจบก็กอดและใช้ริมฝีปากแดงนุ่มจูบเหมียวอี้เสียงดังทีหนึ่ง แล้วลุกขึ้นเดินออกไปพร้อมพึมพำร้องเพลงเบาๆ  เมื่อเห็นว่ากำลังจะได้ไปเปิดหูเปิดหาที่พิภพใหญ่ นางก็ดูอารมณ์ดีทีเดียว

ช่วงสองสามวันนี้ เหมียวอี้ถูกชะตาลิขิตให้เสพสุขกับวาสนาทางความรัก คืนนี้ต้องไปค้างคืนที่ตำนักคู่แฝด ไปดื่มสุราภายใต้แสงจันทร์กับสองพี่น้องโอวหยางที่ยังมีท่าทางกระดากอาย จนกระทั่งดวงจันทร์เคลื่อนที่ย้ายไปจากตำแหน่งเดิม ทั้งสามก็ลุกขึ้นเดินออกจากวงสุรา โดยมีจือซู จือฮว่ารีบเดินนำทางอยู่ข้างหน้า

ส่วนเหมียวอี้ก็เดินจูงมือที่ขาวเนียนนุ่มของโอวหยางหวนเดินตามไป นางรู้สึกเหมือนมีกวางน้อยกระโดดอยู่ในใจ ตื่นเต้นจนฝ่ามือมีเหงื่อซึมออกมาแล้ว

ในห้องนอนที่ประดับตกแต่งใหม่ หลังจากจือซู จือฮว่าออกไปแล้ว ในช่วงเวลาสำคัญเห็นโอวหยางหวนทำท่าทางงุ่มง่ามเหมือนฉินเวยเวยในคืนนั้น เหมียวอี้ก็หลุดขำ “หวนหวน นึกถึงตอนนั้นที่เจ้าล่วงเกินข้า ทำไมวันนี้กลับตื่นเต้นขนาดนี้ล่ะ?”

“เชอะ” โอวหยางหวนโดนเหมียวอี้ยั่วเย้าจนส่งเสียงกระเง้ากระงอด อับอายจนเป็นฝ่ายมุดศีรษะเข้ามาในอ้อมอกเขาก่อน ย่อมกลายเป็นเนื้อเข้าปากเสืออยู่แล้ว…

ท่านขุนนางเหมียวงานยุ่งมาก วันต่อมาต้องไปอยู่กับโอวหยางหลางอีก การเริงรักของปลาและน้ำเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ หลังจากเสร็จแล้วก็นอนกอดกันบนเตียง สาวงามนอนเปลือยอยู่ในอ้อมกอด แต่เหมียวอี้กลับกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจมากว่า “หลางหลาง พอเจ้ากับน้องสาวเจ้าถอดเสื้อผ้าออกแล้ว ก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่บ้างนะ ข้าสามารถแยกออกได้ แต่พอสวมเสื้อผ้าแล้วเหมือนกันทุกอย่างเลย จะให้ข้าแยกออกยังไงล่ะ?”

โอวหยางหลางเขินจนก้มหน้า แต่สุดท้ายก็ยังปัดผมที่ยุ่งสยายออกเบาๆ แล้วชี้ไปตรงจอนผมข้างหู พลางอธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา “ที่โคนผมของข้ามีปานสีแดงเล็กๆ เม็ดหนึ่ง ถ้าดูให้ละเอียดก็จะแยกออกค่ะ รอให้ท่านสามีอยู่กับพวกเราสองพี่น้องไปนานๆ แล้ว ก็จะแยกออกได้จากอากัปกิริยา แต่ปกติพวกเราสองพี่น้องจะเกล้าผมต่างกันนิดหน่อย จะได้แยกออกได้สะดวก พวกจือฉินมักจะติดตามอยู่ข้างกายพวกเราเสมอ พวกนางแยกออกได้สบายๆ ถ้าท่านสามีแยกไม่ออกจริงๆ คอยดูว่าพวกนางติดตามใครก็จะแยกออกเองค่ะ”

“อ้อ! งั้นก็ดี ไม่อย่างนั้นถ้าขึ้นเตียงผิดเดี๋ยวจะเกิดปัญหา” เหมียวอี้พูดหยอก ที่จริงเขามีความคิดอีกอย่างหนึ่ง เพียงแต่ตอนนี้ไม่สะดวกจะเอ่ยปาก กะว่ารอให้สนิทคุ้นเคยกับสองพี่น้องก่อน แล้วค่อยลองเอ่ยถึงความคิดสกปรกแบบนั้นอีกที

โอวหยางหลางทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ทุบที่หน้าอกเขาเบาๆ หนึ่งที…

ผู้หญิงเป็นสิ่งที่แปลกประหลาด ตอนที่ยังไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน พวกนางมักจะกำหนดระดับความสนิทสนม แต่พอใช้เวลากับทั้งคู่ไปเพียงคืนเดียว ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเยอะมาก สีหน้ากลัดกลุ้มกังวลหายไปแล้ว แทนที่ด้วยความสวยสดใสเย้ายวนใจ ยามสาวงามที่หน้าตาเหมือนกันปรากฏตัวพร้อมกันหรือยืนอยู่ด้วยกัน นั่นเป็นอะไรที่สบายตามาก ทำให้คนไม่น้อยแอบอิจฉาเหมียวอี้อยู่ในใจ

ความโชคร้ายอย่างเดียวของเหมียวอี้ ก็คือทุกครั้งออกจากคฤหาสน์ของสองพี่น้องนั่น อวิ๋นจือชิวก็จะเตะขาเขาแรงๆ หนึ่งทีโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งยังไม่ให้คำอธิบายด้วย

อันหรูอวี้และโอวหยางกวงพักอยู่ที่ยอดเขาหยกนครหลวงชั่วคราว ความเปลี่ยนแปลงของลูกสาวย่อมอยู่ในสายตาพวกเขาอยู่แล้ว เมื่อเห็นลูกสาวที่ไร้ใบหน้ายิ้มมาหลายปีมาคารวะด้วยใบหน้าอมยิ้มเหนียมอาย อันหรูอวี้ก็เรียกได้ว่าปลาบปลื้มจากใจจริงๆ ในที่สุดปมที่ติดอยู่ในใจมาหลายปีก็คลายออกแล้ว

ในใจโอวหยางกวงกลับเอือมระอาไม่หาย ลูกสาวทั้งคู่ของเขา ลูกสาวฝาแฝดที่แต่งงานกับผู้ชายคนเดียวกัน ในใจเขาเรียกได้ว่าสับสนวุ่นวายไปหมด บนใบหน้าเขามองไม่เห็นรอยยิ้มอะไรทั้งนั้น

บางครั้งผู้ชายคนนี้ก็ทำตัวประหลาดเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ ตอนที่เหมียวอี้ไม่ไปเข้าห้องหอกับลูกสาวทั้งคู่ของเขา เขาก็โมโหแทบทนไม่ไหว ด่าเหมียวอี้ว่ารังแกกันเกินไป แต่พอได้ร่วมหอกับลูกสาวของเขาอย่างเป็นทางการแล้ว ในใจเขากลับไม่สบอารมณ์ สรุปก็คือการที่ลูกสาวสองคนแต่งงานกับผู้ชายคนเดียวกัน ทำให้เขาไม่สบอารมณ์ ความป่วยใจแบบนี้แก้ไม่หาย มันจะอยู่กับเขาไปทั้งชีวิต ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่เป็นอนุภรรยา!

ในจุดนี้ กลับเป็นอันหรูอวี้ที่ปล่อยวางได้ บนโลกนี้มีพี่น้องที่แต่งงานกับผู้ชายคนเดียวกันตั้งเยอะ ไม่ได้มีแค่ครอบครัวนางเสียเมื่อไร ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ ขอแค่ลูกสาวตัวเองใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็พอแล้ว อาจเป็นเพราะอยู่ภายใต้สังคมที่มีค่านิยมชายเป็นใหญ่ เดิมทีสภาพจิตใจของผู้หญิงและผู้ชายก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว

อยู่ที่ยอดเขาหยกนครหลวงอีกไม่กี่วัน หลังจากวางใจได้แล้ว อันหรูอวี้กับโอวหยางดวงก็ออกไปจากที่นี่

ยังเสพสุขชีวิตคู่รักใหม่กับเหมียวอี้ได้ไม่กี่วัน ฉินเวยเวยกับสองพี่น้องโอวหยางก็ถูกอวิ๋นจือชิวดึงตัวมาคอยเรียกใช้อยู่ข้างกายแล้ว ให้อนุภรรยาทั้งสามมาทำงานด้วยกันกับนาง ให้ทั้งสามเข้ามามีส่วนร่วมด้วยตัวเอง แบ่งงานบางอย่างให้ทั้งสามไปทำ

ตอนกลางคืนก็ให้เหมียวอี้สลับไปค้างคืนกับทั้งสามอีก ให้ทำเรื่องระหว่างชายหญิงทุกวันแบบนี้ เหมียวอี้ก็เริ่มเบื่อหน่ายแล้วเหมือนกัน เขาไม่ใช่คนหมกมุ่นเลย ไม่ได้ชื่นชอบด้านกามตัณหา แต่อวิ๋นจือชิวก็พูดถูก เพิ่งแต่งงานกันก็จะออกไปข้างนอกอีกแล้ว ดังนั้นช่วงนี้จึงควรไปอยู่กับพวกนางมากๆ หน่อย เขาก็เลยต้องฝืนใจยอมรับ

สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้ยิ่งพูดไม่ออกก็คือ อวิ๋นจือชิวถึงขั้นให้เหมียวอี้รีบนอนกับหญิงรับใช้ของฉินเวยเวยกับสองพี่น้องโอวหยางให้ครบก่อนไปพิภพใหญ่

ต่อให้ตีให้ตาย เหมียวอี้ก็ไม่ทำเรื่องนี้ เจ้าเห็นข้าเป็นพ่อพันธุ์หมูไปแล้วรึไง?

แต่อวิ๋นจือชิวกลับบอกเขาด้วยท่าทางจริงจังว่า สำหรับผู้หญิงแล้ว มีเพียงการนอนกับนางเท่านั้น ถึงจะนับว่านางเป็นคนของตัวเองอย่างแท้จริงได้ ถ้าเจ้านอนกับหญิงรับใช้พวกนั้นแล้ว หัวใจของพวกนางถึงจะเอนเอียงไปหาเจ้า ไม่อย่างนั้นแล้ว ถ้าให้กลุ่มคนที่ไม่รู้เส้นสนกลในชัดเจนมาอยู่ภายในศูนย์กลางของพวกเรา พวกเราก็จะออกไปข้างนอกอย่างมีห่วง โดยเฉพาะคนที่อยู่ข้างกายสองพี่น้องโอวหยางนั่น ถ้าแดนโพ้นสวรรค์ส่งพวกนางมาคอยเป็นหูเป็นตาให้จะทำอย่างไรล่ะ? มีแต่ต้องทำให้พวกนางกลายเป็นผู้หญิงของเจ้าเท่านั้น ถึงจะเหมาะสมที่สุด

เหมียวอี้ยังคงดึงดันไม่ตอบตกลง เรื่องนี้ใช่ว่าเขาจะทำไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าจะไม่ใช่ผู้ชาย ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าเขาเป็นผู้ชายทั้งแท่ง เพียงแต่เรื่องแบบนี้เหลวไหลเกินไป คนเราต้องพิถีพิถันเรื่องอารมณ์ความรู้สึกสิ จะให้ฝืนทำเหมือนเป็นภารกิจ แบบนั้นมันใช่เรื่องที่ไหน? มิหนำซ้ำ จู่ๆ จะให้นอนด้วยทีละคนต่อเนื่องกัน พวกนางก็เป็นมนุษย์เหมือนกันนะ ทำแบบนี้จะให้พวกนางคิดอย่างไร?

เขาดึงดันจะเอาไว้จัดการทีหลัง จึงถูกอวิ๋นจือชิวพูดหยามเหยียดไปยกหนึ่ง ด่าว่าเขาเป็นพวกผู้ชายไร้ประโยชน์ แต่เหมียวอี้ก็ยังไม่ยอมทำอยู่ดี ไม่เคยเห็นเมียที่ไหนทำตัวพิลึกพิลั่นขนาดนี้เลย

หลังจากนั้นหนึ่งเดือน อวิ๋นจือชิวกับเหมียวอี้ก็ได้รับแผ่นหยกที่อันหรูอวี้สั่งให้คนส่งมา หลังจากอ่านเนื้อหาแล้วทั้งสองก็ทอดถอนใจ

ไม่นานข่าวก็แพร่ออกไป ประกาศว่าเรื่องการตายของท่านทูตสี่คนของแดนเซียน อันหรูอวี้คือตัวการใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบ จึงโดนปราชญ์เซียนมู่ฝานจวินลงโทษอย่างหนัก ส่งเข้าไปยืนสำนึกผิดที่เขตต้องห้าม ส่วนโอวหยางกวงก็ถูกถอดจากตำแหน่งท่านทูตสายชวดแล้วเช่นกัน

มู่ฝานจวินไม่ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ตอนแรก ความจริงลงโทษได้โหดร้ายกว่านั้น ทำให้แผนที่อันหรูอวี้กับโอวหยางกวงกำหนดไว้ล่วงหน้าวุ่นวายไปหมดในรวดเดียว

หลังจากโอวหยางกวงถูกปลด ก็ไม่ได้ถูกแต่งตั้งให้ไปรับตำแหน่งที่ทะเลทรายม่านเมฆา แม้แต่อันเจิ้งเฟิงก็ลำบากไปด้วย ถูกปลดจากตำแหน่งผู้จัดการร้านทะเลทรายม่านเมฆา ทั้งสองไปรับโทษที่แดนโพ้นสวรรค์ด้วยกัน คนหนึ่งไปทำสวน อีกคนไปเป็นคนเลี้ยงม้าเลี้ยงวิหคเทพ ส่วนตำแหน่งว่างของทั้งสองคน ก็ถูกแทนที่ด้วยลูกน้องเก่าของมู่ฝานจวินที่โยกย้ายมาจากสมาคมร้านค้าแดนเซียน เป็นนักพรตบงกชทองเช่นกัน

ว่ากันว่านี่เป็นแผนของฮูเหยียนไท่เป่า คุณชายใหญ่ของแดนโพ้นสวรรค์ ที่จริงแล้วฮูเหยียนไท่เป่ากำลังอาศัยโอกาสนี้ล้างบางลูกน้องคนสนิทของอันหรูอวี้ โอวหยางกวงและอันเจิ้งเฟิง

แต่หลังจากหยางชิ่งวิเคราะห์แล้วกลับบอกว่า น่าจะไม่ใช่ความคิดของฮูเหยียนไท่เป่า ถ้าไม่มีมู่ฝานจวินชี้แนะ ฮูเหยียนไท่เป่าก็ไม่กล้าทำอย่างนี้เหมือนกัน คงจะยืมมือของฮูเหยียนไท่เป่ามากำจัดอำนาจเบ็ดเสร็จที่ลูกศิษย์บริหารมาหลายปี เรื่องที่ขัดหูขัดตามู่ฝานจวินจะได้ไม่เกิดขึ้นอีก ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเพื่อให้มู่ฝานจวินปกครองแดนเซียนได้สะดวก ที่ให้ฮูเหยียนไท่เป่าออกจากเขตต้องห้ามล่วงหน้า ก็เพื่อให้มาเป็นแพะรับบาปเท่านั้น  ถือว่าเป็นการลงโทษเพื่อตบตาประเภทหนึ่งก็แล้วกัน

เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวก็รู้สึกว่าหยางชิ่งวิเคราะห์ได้มีเหตุผล แต่ฟังแล้วก็ทอดถอนใจไม่หาย มู่ฝานจวินให้ลูกสาวของอันหรูอวี้แต่งงานเข้ามาที่นี่ ก็นับว่าไม่ใจร้ายจนเกินไปแล้ว ถ้าจะให้ลูกสาวของอันหรูอวี้ติดร่างแกไปด้วยจริงๆ อันหรูอวี้กับสามีคงแปรพักตร์แน่นอน แบบนั้นไมตรีของลูกศิษย์มู่ฝานจวินก็นับว่าจบลงอย่างเป็นทางการ แต่พอเป็นแบบนี้ วันไหนที่ปล่อยอันหรูอวี้ออกมา ก็จะสามารถใช้งานนางต่อไปได้ ไม่ว่าจะเลือกทางไหนอันหรูอวี้กับสามีก็ต้องขอบคุณมู่ฝานจวิน พร่ำบนไม่ได้ ฝนตกฟ้าผ่าล้วนแฝงความเมตตาจากท่านปราชญ์จริงๆ!

แต่อวิ๋นจือชิวก็ยังหันมาสั่งให้เหมียวอี้เรียนรู้จากมู่ฝานจวินให้มากๆ บอกว่านี่คือจุดด้อยของเหมียวอี้ วิธีการใช้งานคนของมู่ฝานจวินต่างหากที่เป็นกลยุทธ์ของราชันอย่างแท้จริง วิธีการที่เจ้าจับตัวตงกัวหลี่กับลูกศิษย์มาทำงานให้นั้นไม่ยั่งยืนถาวร เจ้าคงจับคนทั้งใต้หล้ามาหมดทุกคนไม่ได้อยู่แล้วล่ะ ใช่มั้ย?

…………………………