เหลียนเหนียงถูกเถาฮวาดึงผมเจ็บจนชาไปหมด นางร้องไห้ดิ้นรนขัดขืนไปตลอดทาง ถูกลากมาขึ้นเรือสำราญในท้ายที่สุด เสียงคึกครื้นริมฝั่งกลบเสียงร้องไห้จนมิด
จนเกาจ๋างสื่อขึ้นรถไปแล้ว รถม้าหันหัวกลับ เคลื่อนตัวจากไป
ระหว่างทางกลับจากริมแม่น้ำหนานเฉิง อวิ๋นหว่านชิ่นสั่งให้คนรถหันหัวรถแวะไปยังร้านเซียงหยิงซิ่ว
พอถึงถนนจิ้นเป่าเกาจ๋างสื่อก็รออยู่ที่ปากทางกับคนรถ ส่วนอวิ๋นหว่านชิ่นและชูซย่าเดินเข้าไปกันสองคน ห่างจากร้านเซียงหยิงซิ่วไม่ไกลนัก มองเห็นร้านรวงที่คุ้นตา นึกไม่ถึงว่าจะมีคนเบียดเสียดกันทั้งนอกและในมากมายเพียงนี้ เพราะร้านมิได้ใหญ่มาก จึงดูแออัดเป็นพิเศษ
ทั้งคู่สบตากันอย่างไม่เชื่อสายตา คิดว่าคงเพราะเป็นเวลาคึกคักพอดี อีกทั้งปีใหม่เพิ่งจะผ่านพ้นไปได้ไม่นาน จึงคึกคักแค่ช่วงนี้เท่านั้น จ้องมองอยู่นาน ลูกค้าก็ยังเข้าออกอย่างไม่ขาดสาย
ทั้งคู่จึงเข้าไปด้านใน
พอหงเยียนเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นก็ทั้งดีใจทั้งแปลกใจสุดแสน เข้าไปล้อมหน้าล้อมหลังพูดคุยด้วยอยู่นานจึงได้เดินเข้าโถงด้านในไปพร้อมกับนาง ต้มชามากาหนึ่ง ดื่มไปพลาง รายงานสถานการณ์ของกิจการในยามนี้ให้ฟังไปพลาง
อวิ๋นหว่านชิ่นกลับละอายใจอยู่ไม่น้อย หลังจากที่แต่งงานไปก็ทิ้งตำแหน่งผู้ดูแลไปโดยสิ้นเชิง เรื่องราวภายในร้านล้วนเป็นหงเยียน ป้าจู้สี่และอาหลังที่คอยจัดการ โชคดีที่หงเยียนมีความสามารถ ป้าจู้สี่กับอาหลังก็เอาการเอางาน เรื่องราวต่างๆ จึงเป็นระเบียบเรียบร้อย สินค้าและบริการบางชนิดก็เข้าที่เข้าทางเป็นไปตามคาด ดังเช่นน้ำพุร้อนตาแมวที่ก่อนหน้านี้มักจะยอดตกได้ง่าย
สิ่งที่ทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นคาดไม่ถึงก็คือ คนเมืองหลวงดูจะชื่นชอบสิทธิพิเศษประจำเดือน ประจำฤดูกาลและประจำปีกันอยู่ไม่น้อย หลายเดือนมานี้มิได้มาถามไถ่ มีคนเมืองหลวงมาใช้บริการน้ำพุร้อนในระยะยาวมากขึ้นเรื่อยๆ โชคดีที่ก่อนหน้านี้นางได้แบ่งและควบคุมช่วงเวลาเอาไว้ก่อนแล้ว มิฉะนั้นล่ะก็ได้วุ่นวายไปหมดแน่
ทว่าน้ำพุร้อนเป็นเพียงแค่บริการหนึ่งของกิจการเท่านั้น ทั้งยังมิได้อยู่ภายในร้านแห่งนี้ จึงไม่ถึงขนาดที่จะทำให้ร้านคึกคักจนแทบระเบิดเช่นนี้ได้ หงเยียนบอกถึงสาเหตุหลัก อวิ๋นหว่านชิ่นจึงได้รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเครื่องหอมที่ส่งออกไปยังต้าสือ
ทันทีที่สินค้าของร้านเซียงหยิงซิ่วไปถึงต้าสือก็จะทำตามหลักการเดิมที่เคยทำมา จัดส่งกระจายสินค้าออกไปให้แก่ทุกชนชั้น
ต้าสือเป็นดินแดนแห่งเครื่องหอม อันที่จริงมักจะดูถูกเครื่องหอมของแคว้นอื่นอยู่เสมอ มักจะคิดว่าแคว้นอื่นไม่เหมือนต้นตำรับดังแคว้นตน ทว่าครานี้กลับแตกต่างออกไป บรรดาลูกท่านหลานเธอชั้นสูงของต้าสือเอ่ยชมว่าดีงาม เครื่องหอมของเมืองหลวงพิเศษอย่างมาก ซ้ำยังให้คนมาปรับสูตรเลียนแบบ
ชนชั้นสูงทำอย่างไร ชนชั้นล่างก็เอาเยี่ยงอย่าง จนกลายเป็นที่นิยมแก่ชนชั้นล่าง เหล่าชาวบ้านเห็นคนร่ำคนรวยบอกว่าดี ก็ว่าดีตามเขา พริบตาเดียวก็กลายเป็นความนิยมขึ้นมา ใช้เครื่องหอมของคนเมืองหลวงที่เข้ามาจากต้าเซวียนเป็นหน้าเป็นตา
ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก พ่อค้าต้าสือที่มีกิจการของตัวเองมายังเยี่ยจิงเพื่อซื้อน้ำหอมครีมหอมจากร้านเซียงหยิงซิ่วชาวเยี่ยจิงเห็นห่อที่มีตราร้านเซียงหยิงซิ่วเข้าก็รู้สึกคุ้นตา รู้ได้ว่าเป็นสินค้าในเมืองหลวง ก็รู้สึกแปลกใจ พอเอ่ยถามไถ่ดู พ่อค้าต้าสือจึงได้เล่าเรื่องราวภายในแคว้นให้ฟัง
เรื่องนี้ถูกพูดกันปากต่อปากจนแพร่สะพัดออกไป สั่นสะเทือนไปทั้งเมืองหลวง ร้านเซียงหยิงซิ่วสามารถเป็นตัวแทนส่งออกเครื่องหอมของต้าเซวียนได้ อีกทั้งในแคว้นที่ต่างคนต่างแย่งกันทำมาหากินเช่นนี้ สินค้านี้จะย่ำแย่ได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้เอง เมืองหลวงจึงเกิดกระแสนิยมขึ้น หงเยียนบอกว่าไม่กี่วันมานี้ยังนับว่าดีอยู่ หลายวันก่อนประตูร้านแทบจะพังออกมาแล้ว ต้องส่งคนให้ไปเร่งเอาของจากบ้านสวนโย่วเสียนอยู่ทุกวี่ทุกวัน ซ้ำยังต้องไปสมัครหาคนงานระยะสั้นจากพ่อค้านายหน้ามาเพิ่มอีกตั้งหลายคน
ไม่โด่งดังในแคว้นตัวเอง แต่กลับไปได้รับความนิยมอยู่ต่างเมือง จากนั้นแคว้นตนจึงนิยมตาม แล้วถูกมองเป็นของล้ำค่า ก็เรียกได้ว่าปลูกดอกไม้ในบ้านแต่ไปหอมอยู่นอกบ้าน
หงเยียนบอกเล่าด้วยหน้าตาสดใส อวิ๋นหว่านชิ่นแม้จะดีใจมาก แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่ ชนชั้นสูงของต้าสือชื่นชมสินค้าของร้านเซียงหยิงซิ่วอย่างนั้นหรือ แม้จะบอกว่านางมั่นใจในสินค้าของตัวเองก็เถอะ แต่อย่างไรเสียต้าสือก็เป็นเมืองแห่งเครื่องหอม บรรดาชนชั้นสูงของที่นั่นจะไม่ใช่ของดีๆ ของตัวเอง แล้วจู่ๆ ก็มาชื่นชมของที่ไม่โด่งดังว่าดีว่างามอย่างนั้นน่ะหรือ
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็เห็นผ้าม่านของโถงด้านในถูกเปิดออก อาหลังเยี่ยมหน้าออกมา “เถ้าแก่หอชุนหม่านร้านข้างๆ ส่งผู้ดูแลร้านมาดูสินค้าร้านเราแล้ว บอกว่าอยู่ถนนสายเดียวกัน ร้านใกล้หลังคาเคียง จึงตั้งใจมาทักทายเป็นพิเศษขอรับ”
หอชุนหม่านหรือ ร้านอันใดกัน เถ้าแก่หอชุนหม่านรู้ได้อย่างไรอีกว่าร้านเซียงหยิงซิ่วมีเถ้าแก่อีกคนอยู่ ซ้ำยังรู้อีกว่านางคือเจ้าของ ในตอนที่อวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่งจะมานั้นก็มิได้สนใจร้านใหม่ข้างๆ นั่นแม้แต่น้อย นางตกใจ
หงเยียนกะพริบตาแล้วกระซิบว่า “เถ้าแก่คือใต้เท้าเฟิ่งเจ้าค่ะ”
ตะ…ใต้เท้าเฟิ่งหรือ มิใช่ว่ากลับต้าสือไปแล้วหรือ เหตุใดจึงมาเป็นเถ้าแก่ที่นี่ได้
หงเยียนรู้ว่านางกำลังสงสัยสิ่งใดจึงเอ่ยบอกอีกว่า “เฟิ่งจิ่วหลังนั่นมิได้กลับไป เขาซื้อบ้านอยู่ที่เมืองหลวง ซ้ำยังเปิดร้านอยู่เยื้องกับร้านเราอีก ข้าว่าเขาคงเห็นว่าท่านมาจึงได้ส่งคนมาทักทายเจ้าค่ะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นยังมิทันจะได้ถามต่อก็เห็นม่านประตูขยับ ผู้ดูแลใบหน้าอวบอ้วนโหงวเฮ้งดีเดินเข้ามาค้อมตัวคำนับ เอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจว่า “บ่าวแซ่วั่น เป็นผู้ดูแลหอชุนหม่านที่อยู่ข้างๆ นี่ ได้รับความตั้งใจสุดพิเศษจากเถ้าแก่ให้มามอบของขวัญแด่เถ้าแก่ร้านเซียงหยิงซิ่วขอรับ”
อวิ๋นหว่านชิ่นอดที่จะถามมิได้ว่า “เถ้าแก่เจ้าเปิดร้านขายอันใดหรือ”
ผู้ดูแลวั่นยิ้มเอ่ยว่า “ขายพวกสินค้าพื้นเมืองต่างถิ่น บางส่วนเป็นเครื่องหอมเหมือนกับเซียงหยิงซิ่ว เนื่องจากเถ้าแก่ข้าเป็นชาวต้าสือ ดังนั้นจึงมีของจากแดนตะวันตกอย่างต้าสือเป็นหลัก นับว่าเป็นร้านค้าประเภทเดียวกันกับเซียงหยิงซิ่ว เวลานี้สินค้าของเซียงหยิงซิ่วมีอิทธิพลมากที่ต้าสือ เถ้าแก่บอกว่าต่อไปเราต้องให้ร้านท่านช่วยชี้แนะอย่างนอบน้อม ต้องทำความรู้จักและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันกับแม่นางไว้”
อวิ๋นหว่านชิ่นหุบยิ้ม “หากข้ามิได้ฟังเจ้าเล่า ก็จะคิดว่าหอชุนหม่านเป็นหอสุรา โรงน้ำชาเสียแล้ว สินค้าที่ข้าขายล้วนแตกต่างจากพวกเจ้า ข้าว่าเถ้าแก่เจ้าคงไม่ถนัดเรื่องตั้งชื่อร้านกระมัง”
ผู้ดูแลวั่นยิ้มสว่างสดใส “มิเป็นไรหรอกขอรับ ชื่อของหอชุนหม่านนี้ เถ้าแก่ข้าบอกว่าเหมาะสมกับ ‘เซียงหยิงซิ่ว’ เป็นอย่างที่สุด เช่นนั้นก็เพียงพอแล้ว”
ทันใดนั้นในใจอวิ๋นหว่านชิ่นพลันกระตุก เฟิ่งจิ่วหลังมีสัมพันธ์อันดีต่อเหล่าชนชั้นสูงในแต่ละแคว้น กับชนชั้นสูงในแคว้นต้าสือย่อมสนิทสนมอยู่แล้ว หรือว่าเขาจะช่วยนาง ให้เหล่าชนชั้นสูงพวกนั้นเอ่ยชมเครื่องหอมนาง
ผู้ดูแลวั่นทักทายเสร็จเรียบร้อยก็หันหลังกำลังจะกลับ แต่ถูกแม่นางคนงามด้านหลังเรียกไว้เสียก่อน “เดี๋ยวก่อน เถ้าแก่เจ้าเล่า ในเมื่อเขาส่งผู้ดูแลมา ข้าก็ไม่ควรเสียมารยาท ควรไปกล่าวทักทาย มอบของขวัญให้เขาเสียหน่อย”
ผู้ดูแลหันกลับมา คราวนี้รอยยิ้มเขากลับเหมือนแตงกวา หัวเราะขมขื่นเอ่ยว่า “แม่นางมีน้ำใจนัก แต่ว่าอย่าเพิ่งเลยขอรับ เถ้าแก่ข้ามิได้มาที่ร้านหลายวันแล้ว ตอนนี้มีแต่ข้ากับคนงานไม่กี่คนช่วยกันดูแลจัดการ”
เอ๋ อวิ๋นหว่านชิ่นฉงน “เกิดอันใดขึ้นหรือ”
ผู้ดูแลวั่นตอบไปตามตรงว่า “เรียนแม่นางตามตรงว่า ไม่กี่วันก่อนมีคนกลุ่มหนึ่งมาที่ร้าน ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็มาทุบร้าน ตอนนั้นเถ้าแก่อยู่พอดี ไม่ทันระวังจึงถูกตีจนได้รับบาดเจ็บ แม้ว่าจะไม่หนักหนาสาหัสอันใด แต่ยามนี้ยังคงนอนพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านอยู่เลยขอรับ”
อวิ๋นหว่านชิ่นเดือดดาลขึ้น “มีอย่างนี้ด้วยหรือ ในเมืองหลวงแท้ๆ เป็นผู้ใดกันที่กล้าไม่สนใจกฎหมายบ้านเมืองมาพังร้านเช่นนี้ พวกเจ้าฟ้องศาลหรือยัง ได้ตัวคนทำแล้วหรือ”
เหมือนว่าผู้ดูแลวั่นพยายามจะนึกย้อนกลับไปอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยตอบว่า “ไม่ทราบขอรับ แต่งเนื้อแต่งตัวเหมือนผู้ลากมากดีอยู่หรอก แต่ละคนคล่องแคล่วว่องไว เหมือนกับคนมีวรยุทธ์ พอเข้ามาก็ทุบโต๊ะทุ่มเก้าอี้ ก่อนจะไปยังทิ้งข้อความชวนงงไว้ให้พวกเราอีก”
“ว่าอย่างไรหรือ”
“บอกว่า หากคิดจะยืนด้วยลำแข้งในต่างแคว้นล่ะก็ ต้องรู้จักเป็นพลเมืองที่ดีเคารพกฎหมายบ้านเมือง สงบเสงี่ยมเจียมตัว อย่าคิดจะอยากได้ของของคนอื่น มิฉะนั้นก็ไสหัวกลับต้าสือไปเสีย นี่มันใส่ร้ายกันชัดๆ ขอรับ เถ้าแก่ข้าเปิดร้านมาไม่นาน จะไปคิดอยากได้ของของผู้ใดได้ เรื่องราวต่อจากนั้น พวกเราก็ไปแจ้งความกับคุกเมืองหลวง ใต้เท้าผู้ดูแลลงบันทึกไว้ให้เรา แต่กลับไม่ดำเนินการต่อให้เสียที ข้าไปถามมาตั้งหลายครา เขาก็ทำอย่างขอไปทีทุกครา บอกว่ากำลังตรวจสอบ แล้วก็บอกว่าเรื่องในหมู่ร้านค้าของเมืองหลวงเทือกๆ นี้มีเยอะแยะจนล้นมือ ต่อให้หาคนกระทำผิดเจอ ก็เกรงว่าจะหาหลักฐานมัดตัวได้ยาก เขาต้องการบอกเป็นนัยว่าจะไปสืบหาให้ต่อไปแล้ว” ผู้ดูแลวั่นพูดเสียหน้าดำหน้าแดง เดือดดาลเป็นอย่างมาก