ภาค 3 บทที่ 167 นางผู้ร้ายกาจ

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ชมเฉิงกั๋วกง? 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีมองหัวหน้ากองร้อยเจียงทีหนึ่ง 

 

 

“พวกเขาว่าพวกเจ้าเมืองของมณฑลเหอเป่ยซีแล้วยังมณฑลเหอเป่ยตงที่โดนถาม หลายคนล้วนบอกว่าเฉิงกั๋วกงขยันทุ่มเทในหน้าที่” หัวหน้ากองร้อยเจียงมองจดหมายพลางอ่านออกมา “คนอื่นอย่างมากที่สุดก็ไม่พูด ไม่มีคนบอกว่าเฉิงกั๋วกงไม่ดี” 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเป็นความโง่เขลาของพวกเรารึ?” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น 

 

 

คำพูดนี้ไม่มีต้นไม่มีปลาย แต่หัวหน้ากองร้อยเจียงก็เข้าใจความหมายของเขา 

 

 

ข่าวที่องครักษ์เสื้อแพรด้านนั้นส่งมาก่อนหน้านี้ล้วนเป็นพวกขุนนางโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นพวกขุนนางพลเรือน ไม่พอใจกับเฉิงกั๋วกงอย่างที่สุด จนปัญญาด้วยตลอดมาเกรงกลัวในอำนาจบาตรใหญ่ ทั้งยังกังวลกับสถานการณ์โดยรวมของแดนเหนือจึงล้วนอดกกลั้นไม่เอ่ยวาจา 

 

 

วันนี้แดนเหนือถูกบุกโจมตีสองครั้งต่อกัน สำหรับทุกคนแล้วเป็นโอกาสครั้งหนึ่ง องครักษ์เสื้อแพรกับผู้ตรวจการย่อมต้องสะกิดเตือนขุนนางทั้งหลายทางที่แจ้งทางที่ลับว่าครั้งนี้ต้องแสดงอำนาจสร้างบุญคุณกับเฉิงกั๋วกง 

 

 

อำนาจต้องทำให้เฉิงกั๋วกงมีโทษสำเร็จ มีแต่ความผิดถูกยืนยันแน่นอน ฮ่องเต้ถึงแสดงพระกรุณา ถึงแสดงอำนาจได้ 

 

 

นี่ย่อมต้องให้ทุกคนพูดความผิดของเฉิงกั๋วกงเป็นเสียงเดียวกัน อย่างน้อยตอนถูกสอบถามก็ต้องรักษาความเงียบไว้ 

 

 

พวกองครักษ์เสื้อแพรกับผู้ตรวจการไหนแต่ไรไม่กลัวคนเงียบ ความเงียบสำหรับพวกเขาแล้วก็คือยอมรับโดยปริยาย พวกเขาเปลี่ยนความเงียบเป็นหลักฐานต่างนานาได้ 

 

 

แต่ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น? คนที่เงียบมี คนที่เปิดปากก็มี แต่คนที่เปิดปากล้วนเอ่ยชมเฉิงกั๋วกง ความเงียบงันนี้จึงแปรสภาพไม่ได้แล้ว 

 

 

หรือข่าวของพวกเขาผิด? พวกขุนนางแดนเหนือไม่ได้ไม่พอใจเฉิงกั๋วกงสักนิด? 

 

 

องครักษ์เสื้อแพรของแดนเหนือโง่เง่าถึงขั้นนี้แล้วหรือ? นี่ยังเข้าใจผิดได้? 

 

 

“ไม่มีทาง” หัวหน้ากองร้อยเจียงส่ายศีรษะเอ่ย มองจดหมายในมือ “ต้องมีตรงไหนเกิดปัญหาแน่” 

 

 

เขาคิดนิดหนึ่ง 

 

 

“ไม่สู้พวกเราเล่นลูกไม้สักหน่อย?” 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีส่ายศีรษะ 

 

 

“ไม่ใช่เรื่องของพวกเรา” เขาเอ่ย ก้มศีรษะอีกครั้งมองจดหมายในมือ 

 

 

ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สนแล้วรึ? หัวหน้ากองร้อยเจียงมองจดหมายในมือ แม้ตอนนี้ฮ่องเต้ยังต้องพึ่งเฉิงกั๋วกงรักษาความสงบอยู่ ไม่มีทางทำอย่างไรกับเฉิงกั๋วกง แต่อย่างน้อยก็ต้องบั่นทอนโอกาสหนึ่งมือปิดฟ้าที่แดนเหนือของเฉิงกั๋วกงเสีย 

 

 

สายตาของเขาจับอยู่บนจดหมายที่ลู่อวิ๋นฉีถืออยู่ในมือ 

 

 

หรือว่ามีเรื่องสำคัญยิ่งกว่า? 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีพลันหัวเราะ หัวหน้ากองร้อยเจียงที่จ้องเขาอยู่ตกใจสะดุ้งโหยง 

 

 

“ถูกโจรภูเขาจับไปแล้ว” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย 

 

 

หัวหน้ากองร้อยเจียงตกใจสะดุ้งโหยงอีกครั้ง 

 

 

“ใครขอรับ?” เขาเอ่ยถาม 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีมองเขาทีหนึ่ง หัวหน้ากองร้อยเจียงในสมองฉับพลันฉุกคิดเข้าใจ 

 

 

“คุณหนูจวิน” เขาเอ่ย สีหน้าเคร่งเครียดทั้งโกรธแค้นทันที “จินสือปาเจ้าขยะนี่โจรเขาก็ยังสู้ไม่ได้หรือ? คุณหนูจวินเป็นอย่างไรแล้ว?” 

 

 

“นางเปลี่ยนโจรภูเขาเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตนางแล้ว” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย มุมปากยิ้มบางๆ โยนจดหมายลงบนโต๊ะ 

 

 

ถูกโจรภูเขาจับไปแล้วยังเปลี่ยนโจรภูเขากลายมาเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตอีก? นี่หมายความว่าอย่างไร? หัวหน้ากองร้อยเจียงรู้สึกว่าฟังไม่เข้าใจ เขายื่นมือหยิบจดหมายขึ้นมาอ่านรอบหนึ่ง สีหน้าตกตะลึงไม่คลาย 

 

 

ถึงกับทำเช่นนี้ได้ด้วย? 

 

 

แน่นอน ที่คุณหนูจวินบอกกับทหารทั้งหลายว่าถูกโจรภูเขาจับมาเป็นชาวเขาเหล่านี้ช่วยนางไว้อะไรนี่ คำพูดเลอะเทอะเช่นนี้เขาย่อมไม่เชื่อ 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นคุณหนูจวินผู้นี้ก็ร้ายกาจจริงๆ” เขาเอ่ย “นางใช้วิธีการอะไรซื้อใจโจรภูเขาเหล่านี้?” 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีไม่เอ่ยวาจา 

 

 

หากนางอยากซื้อใจใครสักคนล่ะก็ สุดท้ายมักทำได้เสมอ 

 

 

นาง เคยอยากซื้อใจตนเองไหมนะ? 

 

 

หากนางอยากจะยิ่งเหมือนจิ่วหลิงหรือไม่? 

 

 

มือของลู่อวิ๋นฉีที่วางอยู่บนโต๊ะเกร็ง เส้นเอ็นสีเขียวปูดขึ้นมาบนมือผอมยาว 

 

 

“ใต้เท้า” 

 

 

เสียงของหัวหน้ากองร้อยเจียงดังขึ้นข้างหู ลู่อวิ๋นฉีได้สติกลับมามองไปทางเขา 

 

 

ขอเพียงเกี่ยวพันถึงคุณหนูจวินคนนี้ ใต้เท้ามักจะแลดูแปลกพิกล หัวหน้ากองร้อยเจียงผ่อนลมหายใจ 

 

 

“ในนี้บอกว่าคุณหนูจวินรั้งอยู่ที่หมู่บ้านภูเขานั่น” เขาเอ่ย “จินสือปาก็ตามไปด้วย นี่นับว่าเปิดเผยร่องรอยแล้ว ไม่เช่นนั้นก็อ้างว่าเพื่อปกป้องคุณหนูจวิน ให้พวกเขาพาคุณหนูจวินกลับมา” 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีหัวเราะอีกครั้ง 

 

 

“กระทั่งโจรภูเขานางยังซื้อใจได้ เจ้าคิดว่านางจะให้พวกเขาพานางไปง่ายๆ ได้หรือ?” เขาเอ่ย 

 

 

ใช่แล้ว ดูสิ ได้ยินว่านางถูกโจรภูเขาลักพาตัวไป เมืองชิ่งหยวนก็วุ่นวายอุตลุด หากช้าอีกสักวัน ไม่ต้องให้ทหารทางการออกหน้า ชาวบ้านเมืองชิ่งหยวนก็คงถล่มภูเขาอะไรนั่นให้ราบได้ 

 

 

หัวหน้ากองร้อยเจียงมองจดหมายก็ยิ้ม 

 

 

“คุณหนูจวิน ช่าง ร้ายกาจเอาการจริงๆ” เขาเอ่ย 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเก็บรอยยิ้มที่มุมปากไป ลุกขึ้นยืน 

 

 

“ข้าจะไปมณฑลเหอเป่ยซี” เขาเอ่ย 

 

 

หัวหน้ากองร้อยเจียงตะลึง 

 

 

“ใต้เท้า นี่ นี่ไม่ได้นะขอรับ” เขาเอ่ย 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีมองไปทางเขา 

 

 

เรื่องที่หัวหน้ากองพันลู่ต้องการทำ ไหนเลยมีไม่ได้ 

 

 

“ไม่ใช่ขอรับ ข้าจะบอกว่านี่อันตรายเกินไป” หัวหน้ากองร้อยเจียงรีบร้อนเปลี่ยนคำพูด 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีอยู่ที่เมืองหลวงยังแทบกลางวันซุ่มซ่อนกลางคืนปรากฏกายอยู่แล้ว ไม่เคยเคลื่อนไหวลำพัง นี่หากออกจากเมืองหลวง เดินทางไกลขนาดนั้นไปแดนเหนือซึ่งไม่สงบนัก นั่นย่อมอันตรายเกินไปแล้วจริงๆ นอกจากนี้ไม่ต้องพูดถึงองครักษ์เสื้อแพรทั้งหมดคงตามไปไม่ได้ ต่อให้องครักษ์เสื้อแพรทั้งหมดตามไป ใครก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะไม่เกิดเรื่องผิดพลาด 

 

 

อย่างไรคนที่อยากให้ลู่อวิ๋นฉีตายก็มากเหลือเกิน ออกจากเมืองหลวงปุบต้องเหมือนตั๊กแตนกระโดดเข้ามาแน่ 

 

 

ลู่อวิ๋นฉียิ้ม เดินก้าวยาวไปข้างนอก 

 

 

นี่คือไม่ยอมฟังแล้ว หัวหน้ากองร้อยเจียงไล่ตามไป 

 

 

“นอกจากนี้ฝ่าบาทไม่มีทางเห็นด้วย” เขารีบร้อนเอ่ยอีก “ท่านเป็นผู้แบ่งเบาภาระของฝ่าบาท ไม่อาจห่างข้างกายฝ่าบาทได้” 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีประหนึ่งพระเนตรและพระหัตถ์ของฮ่องเต้ มองสถานที่ซึ่งพระองค์มองไม่เห็นแทนพระองค์ ลงมือในสถานที่ซึ่งพระองค์ลงมือไม่ได้แทนพระองค์ 

 

 

มือกับดวงตาจะปล่อยให้ไปไกลได้อย่างไร 

 

 

“เจ้าพูดถูก ข้าเป็นผู้แบ่งเบาภาระของฝ่าบาท” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย “ตอนนี้เฉิงกั๋วกงได้คำชื่นชมเพิ่ม ข้าไม่ควรไปดูแทนฝ่าบาทหน่อยหรือว่าที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” 

 

 

นี่ก็พอได้ หัวหน้ากองร้อยเจียงตะลึงนิดหนึ่ง แต่… 

 

 

“ใต้เท้า ให้ผู้น้อยไปเถิด ผู้น้อยต้องพาคุณหนูจวินกลับมาได้แน่” เขาไล่ตามอีกครั้งเอ่ยขึ้น 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีไม่เอ่ยวาจาอีก แล้วก็ไม่ได้สนใจ ตรงดิ่งไปข้างหน้า 

 

 

………………………………………. 

 

 

ในโรงเลี้ยงม้าชานเมืองหลวง คนที่ส่งหญ้าเลี้ยงม้า คนที่มารับม้าล้วนถูกไล่ไปแล้ว จูจั้นกำลังพิงหลักผูกม้าอ่านจดหมายฉบับหนึ่งอยู่ 

 

 

“ท่านลุงว่าอย่างไร?” จางเป่าถังอดไม่ได้เร่งถาม “ถูกทำให้ลำบากหรือไม่?” 

 

 

ซื่อเฟิ่งถองเขาให้หนึ่งที 

 

 

“ท่านลุงเป็นคนที่แจ้งข่าวดีไม่แจ้งข่าวร้ายประเภทนั้น” เขาเอ่ยเสียงเบา “นอกจากนี้นี่ไม่ใช่เรื่องที่เห็นชัดมากหรือ? ตอนนี้ขุนนางพลเรือนด้านนั้นของแดนเหนือยังจะพูดชมท่านลุงได้รึ? ก่อนหน้านี้ในที่แจ้งในที่ลับล้วนว่าร้าย ครั้งนี้ไหนเลยจะไม่ยิ่งฉวยโอกาส” 

 

 

จางเป่าถังยกมือทุบหลักไม้ทีหนึ่ง สีหน้าชิงชัง 

 

 

จูจั้นเงยหน้าขึ้นสีหน้าประหลาดพิกลอยู่บ้าง 

 

 

“แต่ ท่านพ่อคราวนี้เป็นข่าวดีจริงๆ”เขาเอ่ย 

 

 

ซื่อเฟิ่งกับจางเป่าถังอึ้งไปแล้ว ได้ยินจูจั้นเล่าผลการสอบถามของผู้ตรวจการ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นแปลกพิกลเหมือนกัน 

 

 

“ถึงกับเป็นเช่นนี้หรือ?” พวกเขาเอ่ย มองจูจั้น “ท่านลุงทำหรือ?” 

 

 

จูจั้นส่ายศีรษะ เอามือรองไว้หลังศีรษะ 

 

 

“ท่านพ่อบอกว่าเขาไม่ได้ทำอะไร เพราะจริงๆ ก็ไม่มีเวลาสนใจ” เขาเอ่ย “เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมขุนนางเหล่านี้พูดเช่นนี้ออกมา” 

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มเยาะหยัน 

 

 

“คงเป็นบ้าไปแล้วกระมัง” 

 

 

“ถูกโจรจินทำให้กลัวจนเป็นบ้าไปแล้วกระมัง อย่างไรหากท่านลุงเกิดเรื่อง แดนเหนือเกิดเรื่อง พวกเขาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร” จางเป่าถังหัวเราะหึหึเอ่ย 

 

 

น่าจะไม่ง่ายดายเช่นนั้น ซื่อเฟิ่งส่ายศีรษะ 

 

 

“แต่นี่อย่างไรก็เป็นเรื่องดี” เขายิ้มเอ่ย “อย่าเพิ่งคิดเรื่องเหล่านี้เลย ข้างหลังมั่นคงก็ดี รอชายแดนสงบค่อยสืบ” 

 

 

ก็ได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว จูจั้นขานอืมทีหนึ่ง มองท้องฟ้าเหม่อลอยเงียบๆ 

 

 

แม้เฉิงกั๋วกงแจ้งข่าวดี แต่ในใจจูจั้นไม่เบิกบานแน่นอน 

 

 

อย่างไรสงครามที่แดนเหนือก็ใกล้จะปะทุ เขากลับได้แต่อยู่ที่เมืองหลวงรอข่าว 

 

 

ซื่อเฟิ่งกระแอมเบาๆทีหนึ่ง 

 

 

“ยังมีเรื่องประหลาดอีกเรื่องหนึ่งนะ” เขาเอ่ย “คุณหนูจวินอยู่ที่เมืองชิ่งหยวนถูกโจรภูเขาลักพาตัวไป หลังจากนั้นก็ได้ชาวเขากลุ่มหนึ่งช่วยไว้” 

 

 

จางเป่าถังเห็นชัดยิ่งว่าเพิ่งได้ข่าว สีหน้าตกตะลึงทั้งยังกังวล 

 

 

“มีโจรภูเขาได้อย่างไร โจรภูเขาถึงกับร้ายกาจปานนี้…” เขารีบร้อนเอ่ย 

 

 

คำพูดของเขาเอ่ยยังไม่ทันจบก็ถูกจูจั้นขัดแล้ว 

 

 

“ร้ายกาจอะไรกันเล่า ร้ายกาจอีกเท่าไรก็ไม่ใช่ยังถูกผู้หญิงคนนี้หลอกแล้วรึ” เขาแค่นเสียงเอ่ย “โจรภูเขากลุ่มนี้ฆ่าตัวเองตาย ไม่มีตาลักพาตัวนางไปทำอะไร คราวนี้ดีแล้ว โจรภูเขาดีๆ เป็นไม่ได้แล้ว ถูกคนหลอกมาเป็นชาวบ้านคนดี”