บทที่ 309 ปริมาณข้อมูลมากเกินไป สมองขัดข้องแล้ว

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 309 ปริมาณข้อมูลมากเกินไป สมองขัดข้องแล้ว

ลอกคราบหรือ?!

เมื่อได้ยินคำพูดของไต้ซือเสินซู สวี่ชีอันก็ตกตะลึง และนึกถึงรายละเอียดมากมายขึ้นมาในทันที

จากภาพสลักฝาผนัง เห็นได้ชัดว่าเจ้าของสุสานแห่งนี้เป็นนักบวชเต๋า แต่สิ่งที่โผล่มาจากโลงศพสีทองแดงนั้นกลับกลายเป็นศพมัมมี่ลูกสมุนในชุดสีเหลืองแทน

สวมชุดสีเหลือง…เป็นแค่ข้ารับใช้กล้าใส่ชุดสีเหลืองได้อย่างไร จุดนี้น่าสงสัยมาก

นอกจากนี้ยังมีรอยไหม้จำนวนมากบนร่างมัมมี่ซึ่งสอดคล้องกับประวัติที่เคยถูกฟ้าผ่า

รายละเอียดทั้งหมดข้างต้นได้รับการอธิบายหลังจากที่ไต้ซือเสินซูเปิดเผยตัวตนของมัมมี่

ร่างกายนี้เป็นร่างเก่าของนักบวชลัทธิเต๋าที่ล้มเหลวในการฝ่าทัณฑ์หรือไม่ แล้วเจ้าตัวล่ะ เจ้าของร่างนั้นฝ่าทัณฑ์สำเร็จ และก้าวสู่ระดับหนึ่งไปแล้ว หรือว่าไปยึดร่างอื่นแทน…ความคิดของสวี่ชีอันพุ่งไปยังร่างเดิมของนักบวชลัทธิเต๋าอย่างอดไม่ได้

และแล้วก็นึกถึงจุดที่ไม่ชอบมาพากลขึ้นได้ นักบวชเต๋าจินเหลียนเคยกล่าวว่า ช่วงฝ่าทัณฑ์ของระดับสอง หากสำเร็จก็เสวยสุขไป อา ไม่สิ หากสำเร็จก็ได้บรรลุเป็นเทพเดินดิน

ล้มเหลวและกลายเป็นเถ้าธุลี แต่คนคนนี้กลับคงร่างเดิมไว้ได้ หรือจะใช้วิถีทางใดทางหนึ่งหลีกหนีจากจุดจบของการเป็นเถ้าธุลีมาได้? หรือเป็นเพราะระดับขั้นของนักบวชเต๋าจินเหลียนต่ำเกินไป ความรู้จำกัด จึงใส่ไข่จนทัณฑ์สวรรค์ฟังดูเกินจริง

“เจ้าคิดจะขโมยโชคชะตานายท่านของข้าหรือ” ใบหน้าอัปลักษณ์สยดสยองของมัมมี่แสดงท่าทีดูถูกเหยียดหยาม

ภาษาของมัมมี่นั้นคล้ายกับภาษาราชการของต้าฟ่งมาก แต่ก็มีจุดต่างในการออกเสียงบ้างเล็กๆ น้อยๆ

มนุษย์ได้ยึดครองที่ราบภาคกลางมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล แม้ว่าจะมีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ยังดำรงอยู่ ส่วนการเปลี่ยนแปลงทางภาษาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก

ชายคนนี้จงรักภักดีต่อเจ้าของร่างเดิมของตนมากเลยสินะ…แหงล่ะ อย่างไรก็เป็นเจ้าของร่างเก่ากับเจ้าของร่างใหม่นี่ สวี่ชีอันเอ่ยในใจ

ไต้ซือเสินซูกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “นักบวชเต๋าเอ๋ย ฝึกฝนดาบยังต้องอาศัยโชคในการฝึกฝน ถึงแม้เจ้าจะไม่พูด อาตมาก็สามารถคาดเดาถึงรากเหง้าของนักบวชผู้นั้นได้”

นิกายมนุษย์!

ผู้นำเต๋าผู้นั้นเป็นคนจากนิกายมนุษย์…ถึงว่าล่ะเหตุใดภาพสลักฝาผนังจึงให้ความรู้สึกเดจาวูชัดเจนขนาดนี้ ซึ่งสามารถอธิบายได้อีกว่าเหตุใดลัทธิเต๋าต้องการปลงพระชนม์จักรพรรดิเพื่อชิงบัลลังก์… เฮ้อ น่าเสียดายที่ลั่วอวี้เหิงไม่ใช่ผู้ชาย มิฉะนั้น…อันตราย จักรพรรดิหยวนจิ่ง อันตรายแล้ว!

สวี่ชีอันนึกคิดอย่างเสียใจ

มัมมี่เงียบไปครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ปฏิเสธ “ดูจากสถานะเช่นเจ้าแล้ว ก็คงจะมองออกได้ไม่ยาก”

ไต้ซือเสินซูพยักหน้า “เจ้าไม่อยากรู้ว่านายท่านของเจ้าอยู่ที่ใดหรือ พวกเราสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้นะ”

คราวนี้มัมมี่ไม่ลังเล “ได้!”

ทักษะในการเจรจา คือเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ ตราบใดที่มีความต้องการ ก็มีที่ว่างสำหรับการเจรจา…ในขณะที่สวี่ชีอันกำลังวาดฉากละครจิตวิทยาของตนไปพลาง ก็ฟังบทสนทนาของลูกพี่ทั้งสองไปพลาง

“เขามาจากยุคไหน” ไต้ซือเสินซูถาม

“ราชวงศ์ต้าเหลียง”

“ราชวงศ์ต้าเหลียง…เจ้ารู้จักหรือไม่”

พระเสินซูขมวดคิ้ว ประโยคสุดท้ายนั้นเอ่ยถามสวี่ชีอัน

จากนั้น เขาก็ถามเองตอบเอง เป็นเสียงของสวี่ชีอันที่ออกมาจากปาก “ไต้ซือ ข้าเป็นเพียงทหารชั้นต่ำ หาใช่ศิษย์สำนักขงจื๊อ ข้าไม่เคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ของต้าฟ่งเสียด้วยซ้ำ…”

ข้าเป็นแค่ทหาร ท่านอย่าเอาข้ามาแบกรับความกดดันที่ไม่ควรจะมีของระบบนี่สิ…สวี่ชีอันประชดประชันอย่างนึกขัน

“ดูจากท่าทางของเจ้า ข้าคงหลับใหลนานเกินไปหน่อย” เสียงแหบแห้งที่ออกมาจากลำคอของมัมมี่ ทำให้คนฟังรู้สึกว่าเสียงของเขานั้นเน่าเสียไปแล้ว

“ราชวงศ์ต้าเหลียง คือช่วงหมื่นปีหลังจากสูญสิ้นเทพอสูร ในขณะนั้นแว่นแคว้นต่างๆ เข้ายึดครองที่ราบภาคกลาง ทายาทของเทพอสูรยังคงสร้างความหายนะไปทั่วดินแดนจิ่วโจว แต่อย่างไรก็ตามพวกมันก็มีแค่พลังที่ถูกทำลายไปแล้ว ไม่อาจกลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ได้

“นอกจากเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว ก็ไม่ควรสบประมาทพลังของเผ่าปีศาจ แต่เมื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์กรีธาทัพเข้ายึดครองแผ่นดิน เผ่าพันธุ์ปีศาจก็ยึดถือเผ่าพันธุ์และหมู่คณะเป็นหัวใจหลัก แม้ว่าพวกมันจะร่วมมือกัน แต่ปกติมักจะต่างคนต่างอยู่ เมื่อใดเกิดสงครามกับมนุษย์ขึ้นมา เผ่าพันธุ์ปีศาจก็จะรวมกันเป็นหนึ่ง”

หลังจากเทพอสูร เผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจก็แย่งชิงอำนาจ…ประวัติศาสตร์นี้กินเวลานานเท่าไร ข้ารู้สึกว่าเหตุใดประวัติศาสตร์ของโลกนี้ช่างยุ่งเหยิง มีอดีตที่ตรวจสอบไม่ได้มากมายเหลือเกิน

ขนาดบัณฑิตจอหงวนอย่างฉู่หยวนเจิ่นยังไม่รู้จักเครื่องแต่งกายที่สลักบนฝาผนังเลย

โลกนี้ต้องการคนอย่างซือหม่าเชียน[1]สักคน…สวี่ชีอันพึมพำในใจ

“แล้วเทพอสูรตายได้อย่างไร” สวี่ชีอันพยายามแทรกเข้ามาในบทสนทนา และช่วงชิงกรรมสิทธิ์ ‘บัญชีผู้ใช้’ คืนมาชั่วคราว

มัมมี่ส่ายหัว

เอาเถอะ ประวัติศาสตร์มีจุดบกพร่องอยู่มากเกินไป อีกทั้งไม่มีระบบการศึกษาใดที่สมบูรณ์แบบ เรื่องราวเล็กน้อยเช่นนี้คงจะไม่มีวันปรากฏขึ้นอีก อืม เว้นแต่จะไปถามเทพเจ้ากู่ในหุบเหวลึกทางซินเจียงตอนใต้เอง…สวี่ชีอันถามต่อ

“เทพอสูรอยู่ในระดับใด”

“ระดับหรือ” มัมมี่ถามกลับ

โอ๊ะโอ ระดับที่เก้าถึงระดับที่หนึ่งในตอนนี้เป็นแนวคิดที่เสนอโดยปราชญ์ขงจื๊อ และยังแบ่งระดับด้วยตัวเองอีก เจ้าของสุสานนี้อยู่ในยุคก่อนหน้านั้นนี่หว่า…สวี่ชีอันตกตะลึง และรีบเปลี่ยนคำพูด

“มีพลังอะไรบ้าง”

“คำถามของเจ้านั้นคลุมเครือเกินกว่าข้าจะตอบได้ เทพอสูรแต่ละตนมีพลังการต่อสู้ที่แตกต่างกัน จะมาพูดรวมๆ ไม่ได้ เทพอสูรที่ทรงพลังที่สุด เป็นอมตะ แข็งแกร่งพอที่จะทำลายโลกได้เชียว” มัมมี่ส่ายหน้า

เช่นนั้นข้าขอทึกทักเอาว่าเทพอสูรที่ทรงพลังที่สุดนั้นแข็งแกร่งเหนือกว่าระดับสูงสุดได้หรือไม่ สวี่ชีอันตกอยู่ในห้วงความคิด ไม่ได้กล่าวอะไร

ไต้ซือเสินซูรับช่วงต่อ ‘บัญชีผู้ใช้’ แล้วถามว่า “ในยุคที่เจ้ามีชีวิตอยู่ มีเทพอสูรที่แข็งแกร่งระดับจุดสูงสุดกี่มากน้อย”

“หลังจากที่เทพอสูรสูญสิ้นไปแล้ว ก็ไม่มีใครไปถึงจุดสูงสุดของเทพอสูรได้ เทพเจ้ากู่ผู้รอดพ้นจากความตายเพียงตนเดียวคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเวลานั้น” มัมมี่ตอบ

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สวี่ชีอันก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ จากมุมมองนี้ สาเหตุของการสูญสิ้นเทพอสูรนั้นเป็นดั่งหลุมขนาดใหญ่ เผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่ได้ทำลายเทพอสูร

นอกจากนี้ ลัทธิเต๋ายังมีบุคคลที่แข็งแกร่งเหนือระดับสูงสุด ที่มีดำรงชีวิตอยู่ในช่วง ‘ยุคที่ขาดหายไป’

ไต้ซือเสินซูขมวดคิ้ว “ปรมาจารย์เต๋าล่ะ”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ สวี่ชีอันก็ตระหนักได้ในทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ เหตุใดจึงไม่มีบุคคลผู้อยู่เหนือระดับสูงสุดอีกล่ะ มัมมี่ไม่รู้จักสำนักพุทธ บ่งบอกว่าในช่วงที่เขามีชีวิตอยู่ พระพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ ทำนองเดียวกันกับโหร

แต่ถึงอย่างไรก็มีปรมาจารย์เต๋าผู้โค่นบัลลังก์แล้ว เช่นนั้นก็ต้องเกิดขึ้นหลังจากช่วงของปรมาจารย์เต๋าแน่นอน อย่างไรก็ต้องรู้ว่าปรมาจารย์เต๋าคือผู้ก่อตั้งลัทธิเต๋า

แสดงว่าปรมาจารย์เต๋าก็เป็นบุคคลผู้อยู่เหนือระดับสูงสุดเหมือนกันไม่ใช่หรือ เช่นนั้นจะมีแต่เทพเจ้ากู่ที่อยู่เหนือระดับสูงสุดเพียงตนเดียวได้อย่างไร

“ปรมาจารย์เต๋าคืออะไร” น้ำเสียงของมัมมี่มึนงง

“ก็…” สวี่ชีอันพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง จิตใจของเขาตกอยู่ในภาวะสับสน

เขาไม่รู้จักปรมาจารย์เต๋า เขาไม่รู้จักปรมาจารย์เต๋างั้นหรือ?!

เป็นนักบวชเต๋าแต่ไม่รู้จักปรมาจารย์เต๋า เป็นไปได้อย่างไร

“เจ้าไม่รู้จักผู้ก่อตั้งลัทธิเต๋าหรอกหรือ” สวี่ชีอันถามคำถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“ลัทธิเต๋า?” มัมมี่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน คงเป็นพลังที่ปรากฏขึ้นหลังจากยุคต้าเหลียงสินะ”

ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับลัทธิเต๋า แต่ภาพนักบวชเต๋าบนภาพสลักฝาผนังนั่นมีตัวตนอยู่จริง…กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มีความเป็นไปได้มากว่าแนวคิดของลัทธิเต๋ายังไม่ปรากฏขึ้นในช่วงนั้น

แต่กระทั่งปรมาจารย์เต๋าก็ไม่เคยได้ยินชื่อ ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

สวี่ชีอันนึกถึงคำอธิบายของเว่ยเยวียนเกี่ยวกับระบบทหาร ซึ่งมันไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เริ่มต้นจากเหล่าทหารที่ฝึกกำลัง อาศัยสติปัญญาและพรสวรรค์ของตัวเอง สำรวจและสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง และหลังจากนั้นอีกหลายขวบปี จึงก่อร่างสร้างตัวเป็นระบบทหารอย่างที่มีอยู่ในปัจจุบัน

เป็นไปได้หรือไม่ที่ปรมาจารย์เต๋าไม่ใช่ผู้ก่อตั้งลัทธิเต๋า ตอนนั้นมีแค่ระบบทั่วๆ ไป ซึ่งทุกคนต่างเดินทางสายนี้ และในที่สุดก็มาถึงยุคที่ปรมาจารย์เต๋าผู้ประสมประสานความคิด ก้าวสู่ขั้นเหนือสูงสุดได้สำเร็จ และกลายเป็นอมตะ

หลังจากนั้นถึงจะมีลัทธิเต๋าเกิดขึ้น

ข้าจำได้ว่าตอนที่สืบค้นข้อมูลของสามนิกายแห่งลัทธิเต๋าที่คลังเอกสาร บันทึกไว้ข้างต้นว่า วันเกิดของปรมาจารย์เต๋าไม่ชัดเจน และไม่สามารถตรวจสอบได้…ซึ่งสอดคล้องกับปรากฏการณ์จุดบกพร่องทางประวัติศาสตร์

น่าเสียดายที่ไม่มีลัทธิขงจื๊อในเวลานั้นและไม่มีใครสามารถจดบันทึกได้ สมมติฐานเกี่ยวกับปรมาจารย์ลัทธิเต๋าก็เป็นสิ่งที่ตรวจสอบได้ยาก… สวี่ชีอันนึกเสียใจ ได้ยินไต้ซือเสินซูกล่าวว่า

“เล่าเรื่องของตัวเจ้าหน่อยสิ”

“หลังจากที่นายท่านล้มเหลวในการฝ่าทัณฑ์ พลังหยางก็เลือนหายไปจากร่างเก่าของท่าน ท่านบำรุงวิญญาณที่เหลืออยู่ในร่างเก่า โดยการรวบรวมดวงวิญญาณที่เดินทางไปมาในโลก เพื่อชดเชยวิญญาณที่ยังหลงเหลืออยู่ ข้าจึงถือกำเนิดขึ้นมา

“ต่อมาท่านก็ได้บูรณะสุสานแห่งนี้และมอบผลึกหยกที่แสดงถึงโชคลาภของต้าเหลียงให้กับข้า ให้ข้าดูแลมันอย่างดี แล้วสักวันหนึ่งท่านจะกลับมารับมัน แต่เมื่อเวลาล่วงเลยเนิ่นนาน ท่านก็ไม่เคยกลับมา จนกระทั่งพวกเจ้าเข้ามาในสุสานแห่งนี้”

มัมมี่มองไปที่สวี่ชีอันด้วยความโกรธเคืองเล็กน้อยที่ถูกหลอก “โชคชะตาของเจ้าเหมือนกับของนายท่านในเวลานั้น ข้าจึงคิดว่าเจ้าเป็นท่าน”

“จักรพรรดิทุกคนเกิดมาพร้อมกับโชคชะตาไม่ใช่หรือ” สวี่ชีอันถาม

มัมมี่หัวเราะเสียงเย็น “ถ้าข้ารู้ ข้าไม่มีทางจำผิดแน่”

สวี่ชีอันกล่าวด้วยเสียงของไต้ซือเสินซู “จักรพรรดิเป็นผู้แบกรับโชคชะตา แต่โชคชะตาหาได้เป็นของพระองค์ไม่ แต่เป็นของราชวงศ์ เพราะฉะนั้นจึงสามารถเปลี่ยนตัวจักรพรรดิได้

“แต่เจ้าไม่เหมือนกัน สิ่งที่เจ้าแบกรับคือโชคชะตาที่ผ่านการขัดเกลา เป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว นักบวชเต๋าผู้นั้นก็คงเป็นเช่นเดียวกันกับเจ้า และนั่นเป็นเหตุผลว่าเหตุใดเขาจึงคิดว่าเจ้าเป็นนักบวชเต๋า”

โชคชะตาที่ผ่านการขัดเกลา…หัวใจของสวี่ชีอันหนักอึ้ง

หลังจากตอบคำถามของสวี่ชีอันแล้ว ไต้ซือเสินซูก็พูดต่อไปว่า “รากเหง้าของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในปัจจุบันคือราชวงศ์ต้าฟ่ง ซึ่งอาจเป็นเวลากว่าหมื่นปีนับจากยุคของเจ้า

“สำหรับที่อยู่ของนายท่านของเจ้า อาตมาสามารถบอกเจ้าได้เพียงว่าหลังจากยุคต้าเหลียง มีบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ระดับเทพอสูร มีเทพเจ้ากู่ พ่อมด พระพุทธเจ้า ปรมาจารย์เต๋า และนักปราชญ์ขงจื๊อ

“ในหมู่พวกเขานักปราชญ์ขงจื๊อล่วงลับไปแล้ว ปรมาจารย์เต๋าก็หายตัวไปหลังจากเปลี่ยนเป็นสามมหาเทพ [2]ส่วนคนอื่นๆ เอ่อ ล้วนเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับพวกเขา”

นี่เป็นอีกจุดที่ข้ายังไม่เข้าใจ เหตุใดลัทธิขงจื๊อถึงมีอายุแค่แปดสิบสองปีล่ะ นอกจากนี้ อะไรที่เรียกว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับคนอื่นๆ

ประโยคนี้ช่างฟังดูน่ากลัวไม่น้อย…สวี่ชีอันรู้สึกว่าสมองของเขาเกินขีดจำกัดแล้ว ข้อมูลที่เขาซึมซับนั้นมากเกินไป ซับซ้อนเกินไป และเป็นข้อมูลขั้นสูงเกินไปแล้ว ต้องอาศัยการคิดวิเคราะห์อย่างหนักหน่วงจนปวดขมับไปหมด

“ในบรรดาคนเหล่านี้มีนายท่านของเจ้าหรือไม่ เจ้าก็ลองนึกตรองดู หากไม่มี เขาอาจจะสิ้นชีพไปแล้ว หรืออาจจะกำลังสะสมพลังอยู่ หากใช่ เหตุใดเขาไม่กลับมาหาเจ้า เอ่อ เรื่องนี้อาตมาก็ไม่ทราบเช่นกัน”

มัมมี่จ้องมาที่เขาและถามว่า “ในหมู่พวกเขา ไม่มีเจ้าหรือ”

ไต้ซือเสินซูสั่นศีรษะและกล่าวว่า “อาตมาให้ทางเลือกแก่เจ้าสองทาง หนึ่ง อาตมาจะทำลายเจ้าเดี๋ยวนี้ หรือสอง เจ้าจะต้องอยู่ในสุสานและรอคอยต่อไป แต่คราวนี้เจ้าจะไม่ได้หลับใหลอีก และจะต้องอดทนต่อความอ้างว้างโดดเดี่ยวอันไร้ที่สิ้นสุด”

“ข้า…ข้าขอเลือกที่จะรอต่อไป นี่คือภารกิจของข้า” มัมมี่ตอบเสียงอ่อย

“และมันยังเป็นความหมายในการมีตัวตนอยู่ของข้า”

เป็นผู้รับใช้ที่ดีจริงๆ… สวี่ชีอันรู้สึกสงสารเล็กน้อย ได้ยินไต้ซือเสินซูพูดว่า “อีกสิบปี เขาจะกลับมาให้โชคแก่เจ้า”

“อืม” มัมมี่พยักหน้า

…คุณครับ ทำอะไรของคุณครับ? ใบหน้าของสวี่ชีอันแข็งทื่อทันที

ในตอนนี้เอง หูของเขาก็ขยับ ได้ยินเสียงฝีเท้าแปลกๆ ฝีเท้านั้นลงน้ำหนักเท้าไม่เท่ากัน คนที่เข้ามาดูเหมือนจะเป็นคนขาเป๋

“มีคนกำลังมา” ไต้ซือเสินซูขมวดคิ้วและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าต้องหลับต่อแล้ว มิฉะนั้นข้าจะไม่สามารถควบคุมความหิวกระหายของข้าได้

“ไม่ต้องห่วงข้า ยิ่งเจ้าได้รับโชคชะตามากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อตัวข้า”

เสียงนั้นค่อยๆ แผ่วลงและเงียบหายไปในที่สุด

เสียงฝีเท้าเบาสลับหนักเข้ามาใกล้ ตรงทางเข้าหลักของสุสานซึ่งกลายเป็นซากปรักหักพังไปนานแล้ว ก็ปรากฏหัวที่กระเซอะกระเซิงโผล่ออกมา มองเข้ามาข้างในอย่างระแวดระวัง

“มองอะไร!” สวี่ชีอันตะโกนเสียงดัง

นางพลันสะดุ้งโหยง หัวของนางผลุบหายไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่กี่วินาทีก็เยี่ยมหน้าออกมาอีกครั้งอย่างระแวดระวัง

คราวนี้สวี่ชีอันมาอยู่ตรงหน้านางแล้ว

จงหลีตกใจจนทรุดนั่งลงกับพื้น

สวี่ชีอันรู้ว่านางไม่กล้าใช้วิชามองปราณสอดแนม ดังนั้นจึงจงใจแกล้งให้นางกลัว แสร้งกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “กำลังหิวพอดี แม่สาวน้อยเนื้อนุ่ม หึๆๆ…”

จงหลีตัวสั่นงันงก นางลากขาข้างหนึ่งแล้วคลานกลับไป ราวกับกระต่ายน้อยที่กำลังเสียขวัญ

“เกิดอะไรขึ้นกับขาของเจ้า” สวี่ชีอันขมวดคิ้วและถามด้วยน้ำเสียงปกติ

จงหลีเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่ซ่อนอยู่ใต้เรือนผมของนางจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้า เจ้ายังไม่ตาย เจ้ายังไม่ถูกชิงวิญญาณไป…”

ในน้ำเสียงนั้นแฝงด้วยความตื่นเต้น

“ข้ามีโชคชะตาอันยิ่งใหญ่คุ้มครอง ไม่ตายหรอกน่า” สวี่ชีอันจ้องที่ขาของนาง “เจ้ากลับมาทำอะไรที่นี่”

“กลับมาตามหาเจ้า” หลังจากจงหลีพูดจบ ก็ก้มศีรษะลง “ระหว่างทางโดนก้อนหินตกลงมาใส่ขาหักน่ะ”

แล้วข้าจะพูดอะไรได้อีก นี่มันคือการฝึกขั้นพื้นฐานของศาสดาพยากรณ์นี่หว่า!

หลังจากเงียบไปไม่กี่วินาที สวี่ชีอันก็พูดว่า “เอาล่ะ พวกเรากลับกันเถิด”

จงหลีถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะไม่โดนดุ

นางเดินกะเผลกๆ ตามหลังสวี่ชีอันกลับไป ขาของนางบิดเล็กน้อย เลือดสดๆ ไหลรินย้อมขากางเกงจนแดงฉาน

เพื่อจะไล่ตามสวี่ชีอันให้ทัน นางทำได้เพียงพยายามกระโดดเหย็งๆ ซึ่งทำให้อาการบาดเจ็บรุนแรงกว่าเดิม

สวี่ชีอันที่เดินนำหน้าหยุดลงกะทันหันและถามว่า “เจ็บหรือไม่”

“อืม…” นางตอบอย่างแผ่วเบา

“นั่นแหละราคาที่ต้องจ่ายของคนไม่มีสมอง” สวี่ชีอันต่อว่า จากนั้นก็หันหลังและนั่งยองๆ กับพื้น “ข้าจะแบกเจ้าออกไป”

จงหลีเขยิบเข้าไป กางแขนเตรียมจะโถมตัวลงไป แต่จู่ๆ สวี่ชีอันก็ลุกขึ้น ศีรษะกระแทกเข้ากับคางของจงหลีเสียงดัง ‘ปึก!’ นางกรีดร้องพลางหงายหลังล้มตึง

สุดจัด…สวี่ชีอันกล่าวในใจ

เขาอุ้มศิษย์พี่ห้าที่น่าสงสารขึ้นมา แล้วเดินออกไป พลางแก้ตัวด้วยความรู้สึกผิด “ข้า เมื่อกี้ข้าคิดว่า ถ้าแบกเจ้า เจ้าอาจโดนก้อนหินกระแทกศีรษะจนสมองไหลออกมาได้”

จงหลีเกิดอาการลิ้นเปลี้ย คำพูดของนางจึงฟังไม่ค่อยชัด “ข้ามันโซกล้ายเอง…”

สวี่ชีอันพยักหน้า “ข้าก็เลยรีบลุกขึ้นมา แล้วคิดว่าจะอุ้มเจ้าแทน”

จงหลี “ข้ามันโชคร้ายเอง…”

สวี่ชีอันยิ้มเยาะ “เจ้ามันโชคร้ายจริงๆ ด้วย”

จงหลีฝังใบหน้าของนางลงในอ้อมแขนของเขาด้วยความอับอาย

“ข้าจัดการมัมมี่ในสุสานแล้ว ที่ข้ากล้าอยู่ที่นี่ เพราะข้ามีแผนสำรองอยู่แล้ว ข้าน่ะยังมีหัวคิด แต่เจ้าน่ะไม่มี ไม่รู้หรืออย่างไรว่าตัวเองโชคร้ายแค่ไหน”

สวี่ชีอันดึงหัวข้อกลับมาและย้ำเตือนอีกครั้ง “คราวหน้าหากเกิดเรื่องแบบนี้ รีบหนีไป อย่าให้ต้องถึงขั้นที่ว่าข้าไม่ตาย แต่เจ้ากลับตายไปเสียก่อน”

“ข้า ข้าไม่เชื่อใจเจ้า” นางตอบโต้

“ให้ตายเถอะ เจ้าไม่ใช่เมียของข้าเสียหน่อย ยุ่งอะไรไม่เข้าเรื่อง” สวี่ชีอันบ่นอุบ

ข้าอยากจะเป็นราชบุตรเขยต่างหาก

………………………………………………………..

[1] ซือหม่าเชียน (司马迁) เป็นนักบันทึกประวัติศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ตรงกับรัชสมัยจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ (140-87 ปีก่อนคริสตกาล) ผู้ประพันธ์พงศาวดารสื่อจี้ (史记) บันทึกทางประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญอันดับ 1 ของจีน

[2] ซันซิง (三清) หรือ “สามบริสุทธิ์” เป็นผู้ปกครองสูงสุดแห่งจักรวาลทั้งหมด ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งปัจจัยหลักที่สำคัญของชีวิต 3 อย่างคือ ลมหายใจ หัวใจ และจิตวิญญาณ ประกอบไปด้วย หยกวิสุทธิ์ (即玉清) เหนือวิสุทธิ์ (上清) และบรมวิสุทธิ์ (太清)