ตอนที่ 326 คุยเล่น
ตอนที่ 326 คุยเล่น

  

เย่ฉูฉู่ถูกชมจนแอบรู้สึกเกรงใจ “พวกพี่ยังไม่เห็นตอนที่เขาซุกซนน่ะค่ะ เขาทำให้หัวเสียได้มากเหมือนกัน”

“เด็กเล็กขนาดนี้รู้จักทำให้คนหัวเสียได้แล้ว” พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว “เถี่ยต้านตอนนั้นหกเดือนกว่า ๆ ได้มั้ง โอ๊ย ถ้าเขาอยากได้อะไรแล้วไม่ให้นะ ร้องไห้ไม่จบไม่สิ้น!”

“ใช่ ลูก ๆ สองคนนั้นของพวกเราก็เหมือนกัน!” พี่สะใภ้สามจ้าวพูดถึงลูกทั้งสองคนตอนเด็ก ๆ

แม่ ๆ ทั้งสามคนจึงพูดคุยกันเรื่องประสบการณ์การเลี้ยงลูก

 

หลังจากคุยกันครู่หนึ่ง พี่สะใภ้รองจ้าวและพี่สะใภ้สามจ้าวก็อุ้มแตงโมลูกใหญ่กลับไปคนละลูก เย่ฉูฉู่ก็เตรียมอาหารเที่ยงแล้ว เธอมองดูมะเขือเทศสีเขียวและสีแดงที่ห้อยอยู่บนต้นกล้ามะเขือเทศและเลือกไปสามสี่ผล คิดไว้ว่าจะทำบะหมี่ซุปพะโล้ไข่ไก่มะเขือเทศ ตอนที่เพิ่งจะล้างมะเขือเทศเสร็จ เฮ่อซงจือก็มาหา

“ไม่เจอกันนานเลย ทำงานเสร็จแล้วเหรอ?” เย่ฉูฉู่ทักทายด้วยรอยยิ้ม

เฮ่อซงจือหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็ก หล่อนหยอกล้อเสี่ยวไป๋หยางที่อยู่บนรถเข็นก่อน แล้วพูดว่า “ก็ถือว่าเสร็จแล้วแหละ ผักดองเค็มที่เหลือแม่สามีทำแล้ว”

“กินแตงโมไหม ฉันจะไปหั่นมาให้” เย่ฉูฉู่ถาม

“ไม่กิน หลายวันมานี้คงเป็นเพราะเป็นหวัดแล้ว ท้องเสียด้วย ไม่กล้ากินอะไรเลย” เฮ่อซงจือกล่าว

“งั้นเดี๋ยวฉันรินชาขิงให้หน่อยก็แล้วกันนะ” เย่ฉูฉู่เดินเข้าไปรินชาขิงให้หล่อน

 

“ฉูฉู่ บ้านเธอดีจัง มีทุกอย่างเลย” เฮ่อซงจือยกชาขิงขึ้นดื่ม ก็รู้สึกสบายเป็นอย่างมาก “เธอเป็นอิสระชะมัดเลย ฉันนี่แหละจบเห่แล้ว ฉันเหนื่อยตลอดฤดูใบไม้ร่วงเลย เธอดูฉันสิ รูปลักษณ์บิดเบี้ยวแล้วใช่ไหม?”

รูปลักษณ์บิดเบี้ยวก็คือซูบผอมจนหมดสภาพ

เย่ฉูฉู่ดูใกล้ ๆ ครู่หนึ่ง เฮ่อซงจือผอมลงและดำคล้ำขึ้นจริง ๆ แต่ก็ไม่ได้เกินจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูดขนาดนั้น

“ก็ยังได้อยู่นะ ตอนนี้งานเสร็จแล้ว เธอก็ทำของอร่อย ๆ บำรุงสักหน่อยเถอะ” เย่ฉูฉู่กล่าว

เฮ่อซงจือบุ้ยปาก “ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันฉันจะบำรุงอะไรได้? มีทั้งคนแก่ทั้งเด็ก เธอจะบำรุงตัวเองได้เหรอ?”

เย่ฉูฉู่รู้สึกว่าเฮ่อซงจือดูจะไม่พอใจมากเกินไปหน่อย “งั้นรอให้ย้ายออกมาค่อยว่ากัน”

 

เฮ่อซงจือดื่มน้ำชาขิงแล้ว ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า “เธอคิดว่า ถ้าฉันย้ายออกมาใช้ชีวิตเองจะรอดไหม?”

เย่ฉูฉู่ประหลาดใจ “ทำไมจะไม่รอดล่ะ?”

เฮ่อซงจือยิ้มด้วยรอยยิ้มขมขื่น “เหวินจื้อไม่เหมือนกับเหวินเทาของเธอสักหน่อย เขาเป็นครู แม้ว่าจะมีปิดเทอมภาคฤดูร้อนและฤดูหนาว แต่นอกจากปิดเทอมแล้วก็ยังต้องไปเข้าสอนตามเวลา ถ้าฉันย้ายออกมาก็ต้องพึ่งพาตัวเองทั้งหมด ต่อให้ตอนที่ยุ่งจะพาลูกไปให้แม่สามีช่วยดูได้ แต่งานเกษตรในไร่ฉันก็ทำเองทั้งหมดไม่ไหวหรอก”

เย่ฉูฉู่เข้าใจความหมายของเฮ่อซงจือ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการทำนาที่ต้องใช้คนหลายคนร่วมด้วยช่วยกันถึงจะทำได้ แม้แต่การดูแลพืชผลตลอดช่วงฤดูหนาวงานบางงานก็เป็นเรื่องยากสำหรับผู้หญิง ยกตัวอย่างเช่น ไถพรวนดินเติมดิน สิ่งเหล่านี้ต้องจัดการกับสัตว์ด้วย ก่อนอื่นต้องควบคุมสัตว์ให้ได้ก่อน แต่มีผู้หญิงน้อยคนมากที่จะทำได้ เพราะต่างก็ให้ผู้ชายทำกันทั้งนั้น

เฮ่อซงจือพูดอีกว่า “กำจัดวัชพืชฉันไม่กลัวหรอก ใส่มูลลงดินฉันก็ไม่กลัว ฉันกลัวที่ต้องมาจัดการกับสัตว์นี่แหละ ถ้าถูกเตะขึ้นมาจะทำยังไง”

เย่ฉูฉู่ยิ้ม “อันที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ได้ยากอะไรหรอก เธอก็หาคนมาเป็นพันธมิตรได้นี่นา เธอช่วยถอนวัชพืชให้เขา เขาก็มาช่วยไถดินให้เธอ หรือเธอจะเรียกพี่ชายจากที่บ้านเธอมาช่วย ถึงเวลานั้นเธอก็กลับไปช่วยพวกเขาก็ยังได้เลย ฉันว่าเธอไม่ได้กลัวเรื่องนี้หรอก เธอแค่อยากแอบอู้ต่างหากล่ะ แบบนี้ดีจะตายไป ไม่ต้องสนใจอะไรเลย มีพ่อสามีช่วยทำงานพวกนี้ให้ แม่สามีก็ยังเลี้ยงลูกให้อีก เธอแค่รอให้พวกเขามอบหมายงานก็พอแล้ว”

คำพูดนี้แทงใจดำเฮ่อซงจือ หล่อนจึงหัวเราะด้วยความเขินอาย “ฉูฉู่ ทำไมเธอถึงรู้ล่ะ? ตอนแรกฉันคิดไว้ว่าย้ายออกมาใช้ชีวิตเองถือเป็นเรื่องที่ดี แต่พอมีลูกก็เพิ่งจะรู้นี่แหละ ออกมาใช้ชีวิตเองก็มีข้อดีในส่วนที่ได้ใช้ชีวิตเอง แต่ใช้ชีวิตเองก็ยากเหมือนกัน”

“มันก็แน่นอนอยู่แล้ว” เย่ฉูฉู่กล่าว “ใช้ชีวิตเองไม่ว่าอะไรก็ต้องคิดเองหมด กังวลไม่จบไม่สิ้น”

“มันก็ไม่เสมอไปหรอก” เฮ่อซงจือมองเย่ฉูฉู่ “ฉันเห็นเธอไม่ต้องกังวลอะไรเลยสักนิด”

เย่ฉูฉู่ทำให้คนอิจฉาจริง ๆ ตัวขาวสะอาดสะอ้าน นอกจากความอวบอิ่มที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพราะมีลูก เธอก็แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยเลย แถมยังดูดีกว่าก่อนหน้านี้อย่างมากเลยด้วย

“ฉูฉู่ จ้าวเหวินเทาของเธอเก่งจริง ๆ ฉันไม่เห็นว่าเขาจะทำงานอะไรเลย แต่ก็วางแผนเรื่องในบ้านและนอกบ้านไว้อย่างดี ไม่ต้องให้เธอเป็นกังวลใจสักอย่างเลย” คำพูดของเฮ่อซงจือแอบแฝงความอิจฉา

 

เย่ฉูฉู่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ทุกคนต่างก็เห็นว่าเธอผ่อนคลายเป็นอิสระ แต่ไม่มีใครเห็นถึงความยากลำบากที่อยู่ด้านหลัง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นหรอก พูดถึงเสี่ยวไป๋หยางที่ต้องเลี้ยงด้วยตัวเองจนโต ความรู้สึกในการเลี้ยงลูกนั้น คนเป็นแม่ทุกคนย่อมทราบดี เหมือนถูกทรมานเลยละ!

อีกอย่าง เธอยังต้องใช้เวลาว่างเพื่อเรียนรู้จากการอ่านหนังสือในทุก ๆ วัน ออกแบบเสื้อผ้า หาเงิน ไหนจะงานบ้านที่ไม่มีวันสิ้นสุด น่าเสียดายที่คนเหล่านี้ต่างก็มองไม่เห็น

“เขาออกไปค้าขายข้างนอก ก็ไม่ได้อยู่ว่าง ๆ หรอกนะ ที่ดินบ้านฉันมีน้อย แถมยังหาให้คนมาช่วยอีก เธอถึงไม่เห็นว่าเขายุ่ง ส่วนฉัน แม่สามีของเธอยังช่วยดูลูกให้ เธอไม่เข้าใจถึงความทุกข์ทรมานในการเลี้ยงลูกทั้งวันทั้งคืนหรอก ฉันเองก็เหนื่อยเหมือนกัน” เย่ฉูฉู่กล่าว “ถ้าเธอยังไม่พร้อมที่จะใช้ชีวิตเอง ก็รออีกสักสองสามปีรอให้ลูกโตค่อยย้ายออกก็ได้”

เฮ่อซงจือส่ายหน้า “ตอนนี้แม่สามีของฉันเอาแต่บ่นว่าอยากได้หลานชาย บอกว่าให้ใช้โอกาสตอนที่ท่านยังเดินได้ให้คลอดลูกเพิ่มอีกคน อีกสองปีลูกคนที่สองคลอดออกมาแล้ว ก็คงไม่ได้เหมือนกับตอนนี้ ฉูฉู่ บางครั้งฉันก็คิดว่าผู้หญิงแบบพวกเรานี่น่าสงสารจริง ๆ ชีวิตนี้ดูเหมือนจะเกิดมาเพื่อมีลูกเลย นอกจากคลอดลูกแล้วก็ไม่ต้องทำอะไรสักอย่าง”

“ฉันว่าเธอว่างเกินไปแล้วนะ ก่อนหน้านี้ครอบครัวหนึ่งมีลูกเยอะแยะขนาดนั้น แถมยังกินกันไม่อิ่ม ก็ไม่เคยเห็นใครคิดนู่นคิดนี่แบบเธอเลย” เย่ฉูฉู่กล่าว “มีเวลาก็ไปนอนพักผ่อนให้มาก ๆ คงดีมากเลย!”

เฮ่อซงจือก็คิดว่าตัวเองคิดเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องน่าขันมาก จึงพูดถึงเรื่องอื่น อยู่จนกระทั่งเย่ฉูฉู่ทำอาหารเที่ยงเสร็จหล่อนจึงกลับไป

ตอนที่กินอาหารค่ำ เสี่ยวไป๋หยางก็อ้าปากหาว ตอนเช้าเด็กน้อยตื่นตั้งแต่เช้า ไม่เช่นนั้นตอนเที่ยงก็คงไม่นอน พลังงานก็ล้นเหลือมาก

 

หลังจากกล่อมเสี่ยวไป๋หยางให้เข้านอนแล้ว เย่ฉูฉู่ก็รีบเก็บถ้วยและตะเกียบอย่างรวดเร็วและกลับมางีบครู่หนึ่ง โจวหมิ่นก็โทรศัพท์มาหา

 

“เป็นยังไงบ้าง?” ทางฝั่งโจวหมิ่นถามด้วยรอยยิ้ม

“ฉันเพิ่งนอนน่ะค่ะ” เย่ฉูฉู่พูดด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “เสี่ยวไป๋หยางนอนไปแล้ว พี่ล่ะ ทำอะไรอยู่?”

 

“เธอยังมีเวลานอนกลางวันเหรอเนี่ย น่าอิจฉาจัง!” โจวหมิ่นถอนหายใจ “นี่ฉันไม่ได้นอนมาหลายวันแล้ว”

เย่ฉูฉู่หายง่วงทันที “พี่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”

“เปล่า ก็งานยุ่งนั่นแหละ” โจวหมิ่นกล่าว “เสี่ยวหม่าที่เธอแนะนำมาพัฒนาได้ไม่เลวเลยนะ เดินแบบบนแคทวอล์กเป็นแล้วด้วย”

เย่ฉูฉู่ประหลาดใจ “พี่โจวหมิ่น เร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”

 

“นี่ก็หลายเดือนแล้วนะ เร็วอะไรกัน” โจวหมิ่นแอบรู้สึกไม่พอใจ “ตอนนี้เดินยังไม่ได้มาตรฐานเท่าไร แต่เดิมทีฐานะทางสังคมของเขาก็เป็นคนธรรมดาอยู่แล้ว ออกจากบ้านมาครึ่งทาง เดินไม่ได้มาตรฐานก็ยังพอรับได้”

  

เย่ฉูฉู่พูดด้วยความสงสัย “ทำไมล่ะ พี่บอกว่าอาชีพนี้มีความต้องการนายแบบมืออาชีพสูงมากเลยไม่ใช่เหรอ?”

โจวหมิ่นแย้มยิ้ม “ใช่ แต่มันก็ไม่แน่นอนหรอก ถ้าเธอมีสไตล์เป็นของตัวเอง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สไตล์ที่ไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้ ต่อให้ไม่ได้เป็นมืออาชีพเธอก็สามารถครองตำแหน่งได้ ฉูฉู่ ทำไมเสื้อผ้าที่เธอออกแบบถึงได้รับความนิยมขนาดนั้น ก็เป็นเพราะสไตล์ของเธอ คนมีเงินสวมใส่เสื้อผ้าไม่เพียงแค่ต้องการให้ดูเป็นคนมีรสนิยมดี แต่ยิ่งต้องการความรู้สึกของความเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใครและเป็นที่โดดเด่นด้วย ถ้าเธอทำให้พวกเขารู้สึกแบบนั้นได้ ไม่ว่าราคาเท่าไรพวกเขาก็ยอมซื้อทั้งนั้นแหละ ถึงยังไงพวกเขาก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินอยู่แล้ว”

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

แยกบ้านก็มีข้อดีข้อเสียเหมือนกัน อยู่ที่สถานการณ์ตอนนั้นว่าจะเอื้ออำนวยให้ทำหรือเปล่าเท่านั้นแหละ

ไหหม่า(海馬)