ตั้งแต่เกาะฝูอวี้รู้สถานะแท้จริงของตำหนักหลีเจ๋อ จงหมิ่นเหยียนก็คิดแต่เรื่องของรั่วอวี้ ในเมื่อตำหนักหลีเจ๋อก็คือผู้บงการเบื้องหลังของเขาปู้โจวซาน เช่นนั้นรั่วอวี้เป็นเพื่อนตนอยู่เขาปู้โจวซาน ก็แค่ละครฉากหนึ่ง?
เขาอยากจะถามเขาถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเห็นอีกฝ่ายเป็นดังพี่น้องแท้จริง แต่อีกฝ่ายกลับหลอกตนตั้งแต่ต้นจนจบ?
จงหมิ่นเหยียนไม่ใช่คนที่เชื่อในโชคชะตามากนัก ดังนั้นตอนหลิ่วอี้ฮวนเปิดดวงตาสวรรค์ ทุกคนพูดถึงกันยกใหญ่ แต่ไรมาเขาไม่เคยเก็บมาใส่ใจ แต่วันนั้นอยู่ๆ เขาก็คิดถึงคำพูดเหล่านั้นขึ้นมา หลิ่วอี้ฮวนบอกว่าเขาเป็นคนโง่ ถูกคนหลอกได้ ที่แท้นั้นหมายถึงอูถงหลอกเขา หรือว่ารั่วอวี้หลอกเขา?
รั่วอวี้ไปหยุดอยู่ตรงกองหินไกลออกไป ชุดครามพลิ้วตามแรงลม เงาร่างแลดูราวจอมยุทธ์ไร้พันธนาการ จงหมิ่นเหยียนค่อยๆ เดินเข้าไปช้าๆ ไปยืนด้านหลังเขาอยู่เป็นนาน ทั้งสองต่างไม่กล่าวอันใด มีเพียงเสียงลมหวีดหวิดพัดแผ่วมา ในที่สุดจงหมิ่นเหยียนก็ทนไม่ได้ กำลังจะเอ่ย กลับได้ยินรั่วอวี้กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “หมิ่นเหยียน กำไลข้าให้น้องสาวไปแล้ว นางชอบมาก ข้าขอบคุณเจ้าแทนนางด้วย”
จงหมิ่นเหยียนอึ้งไป เป็นนานกว่าจะคิดออกว่าเรื่องอะไร ตนเองจ่ายเงินซื้อกำไลนั่น บอกว่าให้รั่วอวี้มอบให้น้องสาว เขาฝืนกล่าวว่า “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไยต้องเอ่ยถึง”
รั่วอวี้ค่อยๆ หันหน้ามา แววตาลุกโชนหลังหน้ากากเอาแต่จ้องมองเขา สายตาเช่นนี้ทำเอาจงหมิ่นเหยียนรู้สึกเหมือนลางไม่ดี เขาอดก้าวเข้าไปก้าวหนึ่งไม่ได้ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าเป็นอะไร” รั่วอวี้ส่ายหน้า พลันกล่าวว่า “เจ้าและข้านับว่าเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายมา ข้ายังใส่หน้ากากกับเจ้าก็ถือว่าไม่เคารพเจ้า” กล่าวจบ เขาก็ยกมือปลดหน้ากากอสุราออก
จงหมิ่นเหยียนร้อนใจกล่าวว่า “เอ่อ ไม่ต้อง! ไม่ได้บอกว่าห้ามถอดหน้ากากต่อหน้าคนนอกหรือ เจ้าสวมกลับเถอะ! ข้าไม่ใส่ใจ”
วาจาแม้ว่ากล่าวเช่นนี้ แต่เขาก็ยังอยากมองสักแวบหนึ่ง รู้สึกเพียงแค่ผิวเขาซีดขาวเหมือนกับอวี่ซือเฟิ่ง เห็นชัดว่าไม่ได้เจอแสงตะวันมานาน คิ้วยาวเกือบจรดข้างหน้าผาก จมูกโด่ง แม้ว่าไม่ได้หล่อเหลาเหมือนอวี่ซือเฟิ่งที่สะดุดตายามพบเห็น แต่ก็นับว่าเป็นชายหนุ่มสุภาพหน้าตาดี เพียงแต่สองตาลุ่มลึกเกินไป มืดดำเกินไป ทำให้อดรู้สึกถึงอันตรายไม่ได้ ไม่กล้าเข้าใกล้มากนัก
จงหมิ่นเหยียนอึ้งไปครู่หนึ่ง จึงได้กล่าวว่า “ตำหนักหลีเจ๋อพวกเจ้า…ใช่ว่าล้วนเป็น…”
รั่วอวี้ไม่ปฏิเสธ พยักหน้ากล่าวว่า “ใช่ พวกเราล้วนเป็นปีศาจ อาศัยผนึกใต้วงแขนปิดซ่อนกลิ่นอายปีศาจไม่ให้พวกผู้บำเพ็ญเพียรรับรู้ได้ ครุฑ…เจ้ารู้จักไหม เดิมก็เป็นมารปีศาจไปไหนมาได้ลำพัง แต่เพราะได้รับความเมตตาจากผู้หนึ่ง ดังนั้นครุฑส่วนหนึ่งที่ได้รับเมตตาจากผู้นั้นจึงมาอยู่รวมกัน สร้างตำหนักหลีเจ๋อ เพื่อว่าวันหนึ่งจะช่วยผู้นั้นออกมา เจ้าก็คงรู้แล้ว ผู้นั้นก็คืออู๋จือฉีที่ถูกขังอยู่ในแดนปรภพ”
จงหมิ่นเหยียนพึมพำกล่าวว่า “เจ้ากล่าวเรื่องพวกนี้กับข้า…เพื่ออะไร…เจ้ารู้มากมาย ซือเฟิ่งกลับไม่รู้อะไร…”
รั่วอวี้กล่าวว่า “นั่นเหราะมีหลิ่วอี้ฮวนคอยปกป้องเขา เคยขอให้เจ้าตำหนักใหญ่สาบาน ไม่ให้บอกที่มาที่ไปของตำหนักหลีเจ๋อกับเขา แลกกับการดึงความทรงจำหนึ่งปีของเขาทิ้ง เจ้ารู้สาเหตุไหม”
จงหมิ่นเหยียนเหมือนฟังไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไร ได้แต่ส่ายหน้า
รั่วอวี้กล่าวอีกว่า “ครุฑธรรมดาทันทีที่กลายเป็นปีศาจ แต่ละปีกก็จะมีขนปีกงอกอีกสามท่อนใหญ่ แต่ละท่อนจะมีอีกหกก้านปีกส่องแสงสีทอง ก็คือกลิ่นอายปีศาจ ในบรรดาครุฑเรายากจะมีสายเลือดสิบสองก้านปีก นับเป็นเฉพาะสายเลือดสูงส่งพิเศษ แม้บิดามารดาสองฝ่ายต่างมีสิบสองก้านปีก ลูกที่ออกมาก็ไม่แน่ว่าจะมีสิบสองก้านปีก ดังนั้นครุฑที่มีสิบสองก้านปีก สำหรับตำหนักหลีเจ๋อย่อมเป็นเรื่องแห่งโชควาสนาที่ไม่อาจปล่อยไปอย่างเด็ดขาด สิบสองก้านปีกมากกว่าหกก้านปีกอีกเท่า พลังปีศาจก็ย่อมมากกว่าหกก้านปีกเท่าตัว…”
จงหมิ่นเหยียนกระจ่างทันที พลันกล่าวว่า “ซือเฟิ่งมีสิบสองก้านปีก!” ตอนเขาเผยร่างเดิม ทุกคนล้วนเห็น สองปีกข้างเขาด้านหลังมีหกก้านปีก เป็นครุฑสิบสองก้านปีก
รั่วอวี้ยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า “เจ้าฉลาดมาก เจ้าตำหนักใหญ่เองก็มีสิบสองก้านปีก ซือเฟิ่งเป็นลูกเขา หาได้ยากมากที่จะมีลูกสืบทอดสายเลือดสิบสองก้านปีก ตอนซือเฟิ่งเกิดมา อดีตเจ้าตำหนักเคยคิดสังหารเขา เพราะตำหนักหลีเจ๋อไม่อาจให้มีเลือดมนุษย์ธรรมดาผสม แต่พอเปิดผ้าอออกดู อดีตเจ้าตำหนักเห็นว่ามีสิบสองก้านปีกบนหลังเขาก็เปลี่ยนความคิดทันที ซือเฟิ่งจึงรอดภัยนั้นมาได้ และได้รับอนุญาตให้เป็นศิษย์ตำหนักหลีเจ๋ออย่างเป็นทางการอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สถานะสิบสองก้านปีกเขาย่อมเรียนรู้ได้ไวกว่าคนอื่น พออายุได้เจ็ดแปดขวบ หากไม่สกัดพลังเขาไว้ เขาย่อมเหนือว่าศิษย์วัยฉกรรจ์ทั่วไปแล้ว อดีตเจ้าตำหนักและเจ้าตำหนักใหญ่ตั้งความหวังกับเขาไว้มาก…น่าเสียดาย ไม่ควรอย่างที่สุดที่ปล่อยให้เขาได้พบกับหลิ่วอี้ฮวนที่ถูกขังอยู่ในคุกตอนนั้น”
“ช้าก่อน!” จงหมิ่นเหยียนขัดขึ้น กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เจ้ามาเล่าให้ข้าฟังทำไม อดีตซือเฟิ่ง ข้าอยากได้ยินเขาเล่าให้ข้าฟังด้วยตนเอง ไม่ใช่ฟังมาจากปากคนอื่น! เจ้ามาพบข้า น่าจะยังมีเรื่องอื่นใช่ไหม”
รั่วอวี้ยิ้มกล่าวว่า “เล่าเรื่องนี้ให้จบก่อนค่อยบอกสาเหตุที่ข้ามาพบเจ้า”
“บุตรสาวหลิ่วอี้ฮวนเพิ่งตายไป ดังนั้นจึงรักเอ็นดูอวี่ซือเฟิ่งมาก นำความรักต่อบุตรสาวตนเองทั้งหมดทุ่มเทให้อวี่ซือเฟิ่งคนเดียว วันนั้นที่เขาจากตำหนักหลีเจ๋อไป ก็พาซือเฟิ่งไปด้วย ทิ้งจดหมายไว้ฉบับหนึ่งว่ากฎตำหนักหลีเจ๋อจะทำให้ถึงแก่ความตาย เขาไม่อาจปล่อยให้ทั้งชีวิตอวี่ซือเฟิ่งต้องผูกมัดอยู่ในกรงนี้ เจ้าลองคิดดู เจ้าตำหนักใหญ่กับอดีตเจ้าตำหนักตอนนั้นโมโหเพียงใด อดีตเจ้าตำหนักโมโหจนกระอักโลหิตออกมาทันที รักษาอยู่ครึ่งค่อนปีจึงสิ้นใจ ทันทีที่เจ้าตำหนักใหญ่ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าตำหนัก เรื่องแรกที่จัดการก็คือค้นหาตัวหลิ่วอี้ฮวน ในที่สุดก็หาเขาพบที่เมืองชิ่งหยาง หลิ่วอี้ฮวนย่อมไม่อาจชนะเจ้าตำหนักสิบสองก้านปีก แต่ตอนนั้นไม่รู้เขาไปขโมยดวงตาสวรรค์มาจากไหน พอเปิดดวงตาสวรรค์ แม้แต่เจ้าตำหนักใหญ่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้เขา ถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัส สุดท้ายหลิ่วอี้ฮวนบอกว่าจะพาอวี่ซือเฟิ่งไปก็ได้ แต่ห้ามบอกเขาเรื่องโซ่หมุดทะเล น่าจะได้แอบได้ยินอะไรมาตอนไปขโมยดวงตาสวรรค์เบื้องบน รู้ว่าการทำลายโซ่หมุดทะเลเป็นการละเมิดวิถีฟ้า วันหน้าย่อมเป็นภัยมหันต์ ดังนั้นจึงขอให้เจ้าตำหนักใหญ่รับปากตนเองไม่อนุญาตให้อวี่ซือเฟิ่งยุ่งเรื่องนี้ เจ้าตำหนักใหญ่รับปากโดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่าให้ดึงความทรงจำอวี่ซือเฟิ่งหนึ่งปีทิ้งไป เพราะหลิ่วอี้ฮวนปากมากบอกเขาทุกเรื่อง อวี่ซือเฟิ่งตอนนั้นอายุยังน้อย ย่อมร้องอยากมีบิดามารดา เรื่องที่เขาเป็นลูกชายเจ้าตำหนักใหญ่มีคนรู้น้อยมาก ปิดบังทุกคนเอาไว้มิดชิด พอเข้าตำหนักหลีเจ๋อก็มีกฎเหล็กไม่อนุญาตให้แต่งภรรยา หากให้ผู้อื่นรู้ว่าอวี่ซือเฟิ่งคือลูกเจ้าตำหนัก ผลกระทบย่อมเลวร้าย เช่นนี้แล้ว เจ้าตำหนักใหญ่จึงพาอวี่ซือเฟิ่งกลับมาเป็นศิษย์ตนเองตั้งใจสอนสั่ง จนเขาอายุสิบสามไปร่วมงานชุมนุมปักบุปผาที่สำนักเส้าหยางจึงได้พบกับพวกเจ้า…”
จงหมิ่นเหยียนคิดว่าต้องมีเรื่องราวแอบแฝงอยู่ในเรื่องเหล่านี้มาก เป็นนานจึงได้กล่าวว่า “ในเมื่อ…ทำลายโซ่หมุดทะเลเป็นการละเมิดวิถีฟ้า เหตุใดพวกเจ้าจึงยังจะทำ ครั้งนี้เจ้าตำหนักใหญ่พวกเจ้าจับตัวซือเฟิ่งไป ย่อมต้องบอกทุกอย่างกับเขาใช่ไหม ไม่ใช่ว่าเป็นการละเมิดคำสัญญาหรือ”
รั่วอวี้ไม่ตอบ เป็นนานจึงได้กล่าวเบาๆ ว่า “ในเมื่อเลือกจะเป็นมนุษย์แล้ว ก็ย่อมต้องมีสิ่งที่ยึดมั่น ไม่เช่นนั้นไยต้องเป็นมนุษย์ หมิ่นเหยียน แต่ไรมาข้าไม่เคยเล่าเรื่องบ้านเกิดตนเอง…ครุฑเป็นมารปีศาจไปไหนมาไหนตัวเดียว ตำหนักหลีเจ๋อมีเหตุพิเศษทำให้ได้มาอยู่ร่วมกัน ไม่อนุญาตให้แต่งงานก็เพื่อไม่ให้ถูกโลกโลกียะล่อลวง ทุกปีตำหนักหลีเจ๋อจะออกไปนอกเขตทะเลหาครุฑน้อยกลับมาเป็นศิษย์ใหม่ตำหนักหลีเจ๋อ ที่บ้านเกิดศิษย์เหล่านั้นล้วนไม่ยินยอมที่จะให้นำลูกหลานตนกลับตำหนักหลีเจ๋อ แต่พวกเขาแข็งแกร่งเกินไป ไม่มีผู้ใดต้านทานครุฑที่รวมตัวกันได้ ข้าก็เช่นกัน…ถูกพวกเขาพรากมาจากบิดามารดา แม้ว่าทุกปีตำหนักหลีเจ๋อจะอนุญาตให้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดได้ แต่ความทุกข์คิดถึงบ้านเกิดใช่ว่าปีหนึ่งครั้งหนึ่งจะแก้ไขได้ พวกเราเป็นเช่นนี้ไม่ต่างอันใดกับติดคุก”
จงหมิ่นเหยียนกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เมื่อก่อนข้าไม่รู้…ที่แท้เจ้าก็มีความทุกข์มากมาย …”
รั่วอวี้กล่าวอีกว่า “น้องสาวข้า หากคิดตามอายุแบบมนุษย์ธรรมดาแบบพวกเจ้าก็ควรอายุได้สิบสี่แล้ว ต้องได้มีร่างมนุษย์แล้ว เดิมนางควรได้เหมือนกับครุฑอายุเท่ากันทั่วไป ออกไปโบยบินมีความสุขกับโลกภายนอกหาชายคนรักที่นางรัก ให้กำเนิดลูกนางเอง แต่ตอนนี้นางได้แต่ถูกขังอยู่ในคุกไร้เดือนไร้ตะวัน ทุกวันได้แต่มองท้องฟ้าผ่านทางหน้าต่างห้อง นางเริ่มไม่พูดจาแล้ว ผ่ายผอมลงจนน่ากลัว”
จงหมิ่นเหยียนเห็นน้ำเสียงเขาเริ่มเศร้าสลดลงในช่วงท้าย อดตกใจไม่ได้ กล่าวเบาๆ ว่า “เช่นนั้นก็น่าสงสารมาก…เหตุใดจึงถูกขังคุก”
รั่วอวี้ยิ้ม พลันสวมหน้ากากกลับคืน กล่าวอย่างสบายอารมณ์ว่า “เพราะใช้นางเป็นเครื่องมือบีบให้ข้าทำงานให้ ขอเพียงนางยังมีชีวิต ยังอยู่ในคุก ข้าก็ไม่อาจไม่ทำในสิ่งที่ข้าไม่อยากทำ เช่น…ไปเป็นสายลับโง่เง่านั่น เช่น สังหารอวี่ซือเฟิ่ง ยังเช่น มาสังหารเจ้า…”
วาจาเขาไม่ทันจบ คนก็สะอึกมาถึงตรงหน้า จงหมิ่นเหยียนตกใจผงะถอยหลัง ชักกระบี่ลนลานออกมากันไว้ แต่การเคลื่อนไหวเขาเร็วจนน่าตกใจ พริบตาเดียวแสงเย็นเยียบจากกระบี่ก็มาจ่อหน้าอกแล้ว
ในพริบตานั้น จงหมิ่นเหยียนพลันคิดวุ่นวายก่ายกอง เหมือนว่าหลายปีจากนี้ เขาแต่งงานกับหลิงหลงให้กำเนิดลูกสองคน ลูกๆ วิ่งเล่นไปมาบนขั้นบันไดหัวเราะเฮฮา หลิงหลงกับเสวียนจีคุยหัวเราะกันอยู่ในห้องหลังจากที่ไม่เจอกันนาน เขาสวมชุดยาวแบบอยู่บ้านสบายๆ เขากับอวี่ซือเฟิ่งและรั่วอวี้สามคนดื่มสุรากันอยู่บนโต๊ะหินในลานบ้านจอกแล้วจอกเล่า สนทนาเรื่องสัพเพเหระใต้หล้าอย่างมีความสุขยิ่ง
หากมีวันนั้นจริง ก็ย่อมดีมากที่สุด
เขาอึ้งมองมือตนเอง มือกำด้ามกระบี่ กระบี่เกินครึ่งแทงทะลุซี่โครงเขา ติ๋ง ติ๋ง เสียงโลหิตสดหยดลงพื้น เขามองมือตนเอง ราวกับยังไม่เชื่อว่ากระบี่จะแทงทะลุตนเอง เขาต้องแยกแยะจริงเท็จ
รั่วอวี้เข้าประคองร่างเขาทีเริ่มทรุดลง กระซิบแนบใบหูเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ความลับเหล่านี้เก็บอยู่ในใจข้ามานานหลายปี หาคนระบายไม่ได้ ตอนนี้ได้เล่าให้เจ้าที่กำลังจะกลายเป็นคนตายฟัง ข้ารู้สึกปลอดโปร่งจริง”
จงหมิ่นเหยียนได้แต่จ้องมองมือตนเอง ราวกับไม่ได้ยินวาจาของเขา
รั่วอวี้กล่าวอ่อนโยนว่า “หมิ่นเหยียน เจ้าเป็นคนดีจริง ข้าหลอกลวงเจ้ามาตลอด ขอโทษจริงๆ”
กล่าวจบก็ชักกระบี่ออก เลือดสดกระเซ็นสี่ทิศ เขาสลัดเลือดบนกระบี่ทิ้ง เก็บกระบี่คืนฝักอย่างไม่ยี่หระ ค่อยๆ เดินออกไปได้สามสี่ก้าว พลันนึกอะไรได้ หันกลับไปราวกับไม่อาจตัดใจ มองเขาแวบหนึ่ง เป็นนานจึงได้ถอนหายใจ ในตาราวกับมีบางสิ่งทะลักออกมา ทำเอาดวงตาพร่ามัว
อยู่ๆ ลมก็พัดขึ้นมา หลังกองหินราวกับมีคนยืนอยู่อีกคนหนึ่ง ชุดครามยาว สองมือสอดในแขนเสื้อ รั่วอวี้ตะลึงไปครู่หนึ่ง ค่อยๆ เดินไปลงคุกเข่า กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “คารวะรองเจ้าตำหนัก”
ยังกล่าวไม่ทันจบร่างก็สะบัดเบาๆ ใบหน้าเขาถูกตบ มุมปากมีเลือดไหล เขาคุกเข่าลงทันที ก้มหน้าไม่กล่าวอันใด
รองเจ้าตำหนักกล่าวเบาๆ ว่า “ผู้ใดให้เจ้าพูดกับเขามากมายเช่นนั้น ผู้ใดให้เจ้าปลดหน้ากาก ที่เขาปู้โจวซานให้เจ้าสืบเรื่องอูถงก็ทำไม่สำเร็จ เรื่องนี้เจ้าก็ทำได้ล่าช้า เจ้าทำให้ข้าโมโหมาก”
รั่วอวี้กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ขอรับ! ความผิดศิษย์ ขอรองเจ้าตำหนักลงโทษ!”
รองเจ้าตำหนักหันกายจะจากไป ก่อนจะหันมากล่าวว่า “ลงโทษอะไรเจ้า น้องเจ้าข้าก็ขังไว้แล้ว เจ้าคงคับแค้นใจมากสินะ หากข้าบีบมากเกินไป สุนัขเช่นเจ้าจะไม่โดดข้ามกำแพงหนีหรือ”
รั่วอวี้ไม่กล่าวอันใด ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงค่อยๆ ลุกขึ้นตามหลังเขาไป ก่อนจะหายตัวไปอย่างรวดเร็ว