บทที่ 1120 กับดักเชิงตรรกะ

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

เห็นชัดว่าอาคารหลังนี้ถูกซอมบี้ร่างแม่ตัวนั้นจับตามองอยู่ตลอดเวลา และการที่พวกเขาจะดำเนินแผนการใต้เปลือกตาอีกฝ่ายก็เป็นการท้าทายที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่สวี่ซูหานรู้สึกว่า ในคำบอกใบ้ของหลิงม่อ ยังมีความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าซ่อนอยู่…

หลังจากที่กำหนดสมาชิกของทั้งสองทีมเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เริ่มเคลื่อนไหวทันที ทีมมู่เฉินเดินเข้าไปในอาคารหอพักก่อน และหลังจากรอสองนาที ทีมของหลิงม่อก็ตามเข้าไปติดๆ แต่ที่ต่างกันคือ เส้นทางที่ทีมมู่เฉินใช้เป็นบันไดที่อยู่ตรงกลางอาคาร แต่ทีมของหลิงม่อใช้เส้นทางหนีไฟที่อยู่ด้านข้างอาคาร

ทุกอย่างล้วนเหมือนกับที่หลิงม่อ “เห็น” ก่อนหน้านี้ ที่นี่เต็มไปด้วยใยแมงมุม เพียงดูจากสภาพแวดล้อมภายนอก ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายมุ่งร้ายที่ยังคงลอยคละคลุ้งในอากาศ นอกจากต้องคอยระวังซอมบี้ร่างแม่ตัวนั้นที่อาจกระโจนออกมาทุกเมื่อ พวกเขายังต้องระแวดระวังแมงมุมที่อาจพุ่งลงมาจากบนหัวอย่างกะทันหัน รวมถึงระวังไม่ไปเหยียบไข่แมงมุมบนพื้นจนแตกอีกด้วย

“ถ้าอย่างนั้น พวกเฮยซือก็อยู่ข้างนอกต่อหรอ?” ขณะที่พวกหลิงม่อกำลังเดินขึ้นบันไดอย่างช้าๆ อยู่ๆ ซย่าน่าก็ถามขึ้นผ่านสายสัมพันธ์ทางจิต

“อื่ม ใช่” หลิงม่อพยักหน้า

“ดูจากที่พี่ทำแบบนี้ แสดงว่าพี่ก็กลัวซอมบี้ตัวนั้นมากเหมือนกันสินะ? สั่งให้พวกเฮยซือเฝ้าระวังทางหนีไว้ก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้สมาชิกทีมคนอื่นตกอยู่ในอันตรายใช่ไหม?” ซย่าน่าเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้นอีก

หลิงม่อเองก็เงียบไปชั่วขณะ แล้วจึงค่อยถามกลับ “ทำไมอยู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้?”

“ไม่รู้สิ…แค่รู้สึกว่ามนุษย์มักชอบคิดแบบนี้เสมอ” ซย่าน่าตอบ

“แล้วเธอคิดแบบนี้แล้วหรือยัง?” หลิงม่อถามกลับโดยไม่ได้คิดอะไรมาก

คิดไม่ถึงซย่าน่ากลับเงียบไปอีกครั้ง แล้วจึงค่อยๆ ตอบว่า “บอกตามตรง…ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน…”

หลิงม่ออึ้งงัน “…หมายความว่าไง?”

“ฉันไม่แน่ใจ บางที…อาจเป็นน่าน่าที่คิดว่าฉันควรคิดแบบนี้ หรือบางที…น่าน่าอาจจะกำลังคิดอย่างนี้อยู่ก็ได้…ฉันรู้สึกเหมือน หลังจากที่แยกทั้งสองบุคลิกออกจากกัน เธอในฐานะร่างที่มีความเป็นมนุษย์อยู่ กลับมีตัวตนมากขึ้น พวกเราอาจแพร่เชื้อให้กันและกัน และอาจกลืนกินกันเองในตอนสุดท้ายก็ได้ หรือบางที…พวกเราอาจรวมเป็นหนึ่งเดียว…ฉันไม่รู้” ซย่าน่าเผยสีหน้าสับสนขณะพูด

หลิงม่อจ้องเธอครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยื่นมือไปลูบหัวเธอ

ในตอนนี้เอง ก็มีข้อมูลถูกส่งมาจากทางฝั่งร่างดวงจิต…พวกเขาขึ้นไปถึงชั้นสองกันแล้ว

“พี่หลิง พี่ปล่อยให้เสี่ยวเฮยไปอยู่ทีมนั้น เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของซอมบี้ร่างแม่ตัวนั้นสินะ? มันจะสัมผัสได้ว่ามีพี่อยู่สองคน และภายใต้สถานการณ์ที่ไม่อาจแยกแยะได้ มันก็จะเลือกโจมตีทีมที่มีคนน้อยกว่า แต่พิจารณาจากความเจ้าเล่ห์ของมัน มันอาจเลือกทำตรงกันข้าม โดยหันไปโจมตีพวกมู่เฉินแทน…แต่ไม่ว่ามันจะเลือกทางไหน ก็ต้องตกหลุมพรางแน่นอน ใช่ไหม?” ซย่าน่าถาม

“ถือว่าถูกบางส่วน…ความจริงฉันคิดว่า มันต้องรู้แน่นอนว่าทางนั้นเป็นเพียงระเบิดควัน*” หลิงม่อกลับพูดขึ้น (หมายถึงการอำพราง)

“หมายความว่าไง?” ซย่าน่าชะงัก

“เรื่องมันค่อนข้างซับซ้อน…แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เป็นไปได้มากว่ามันยังคงเลือกจะลงมือ และเหตุผลที่ฉันตัดสินใจอย่างนี้ ก็เพราะ…ถ้าหากว่าฉันไม่ได้กลืนกินผลงานสำเร็จตัวนั้น บางทีมันอาจยอมถอย แต่ตอนนี้ ฉันเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่จะทำให้มันวิวัฒนาการและก้าวข้ามได้ ดังนั้น มีความเป็นไปได้สูงมากที่มันจะพยายามลงมืออีกครั้ง” หลิงม่อพูดออกมาตรงๆ

“ถ้าอย่างนั้นที่พี่แบ่งทีมอย่างนี้มันจะไปมีความหมายอะไร…” ซย่าน่าถามอย่างไม่เข้าใจ

“เพื่อให้มันคิดว่าฉันกำลังวางกับดักอยู่ พอมันคิดแบบนั้น พวกมู่เฉินก็จะสามารถช่วยชีวิตกู่ซวงซวงกับเจ้าลิงผอมได้ ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหม ว่านี่ต่างหากคือจุดประสงค์หลักของฉัน” หลิงม่อบอก

ซอมบี้ร่างแม่ตัวนั้นคงคิดว่าการสะกดจิตของมันไม่ส่งผลใดๆ กับหลิงม่อเลย…แต่ความจริงแล้ว มันทำให้หลิงม่อได้สติขึ้นมาไม่น้อย แน่นอนว่าการได้พลังจิตของมันมาครอบครองยังคงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่ที่สำคัญกว่าก็คือทุกคนในทีมจะต้องมีชีวิตรอด…

ได้ยินมาถึงตรงนี้ เย่เลี่ยนกลับพยักหน้าไปพร้อมกับหลิงม่อเงียบๆ จากนั้นก็บอกว่า “โลกของมนุษย์…น่ากลัวตามคาด…”

“น่ากลัวตรงไหนเล่า! สำหรับมนุษย์ โลกของซอมบี้ต่างหากที่น่ากลัวที่สุด!” หลิงม่อลอบคิดในใจ ทว่าสิ่งที่เขาพูดออกมาจริงๆ กลับกลายเป็นอีกประโยคหนึ่ง “เด็กโง่ เธอไปเรียนรู้วิธีแอบฟังมาจากไหนกัน?”

“เฮยซือสอน อา…จริงด้วย เธอไม่ให้ฉันบอกพี่…” เย่เลี่ยนตอบตามตรง พูดจบ เธอเหมือนรู้ว่าตัวเองกำลังจะเจอกับปัญหา จึงรีบพุ่งตัวขึ้นบันไดเพิ่มระยะห่างออกไปหลายเมตร…

ซย่าน่ากลับพูดขึ้นด้วยสีหน้าครุ่นคิดในเวลานี้ “ฉันมักรู้สึกว่า…ซอมบี้ตัวนี้ต่างจากซอมบี้ทั่วไป…ฉันไม่ได้หมายถึงระดับวิวัฒนาการ แล้วก็ไม่ได้หมายถึงทิศทางกลายพันธุ์ของมัน แต่หมายถึง…”

“เหมือนคนหรอ?” หลิงม่อละสายตาออกจากแผ่นหลังเย่เลี่ยน แล้วถาม

“ใช่…” ซย่าน่าพยักหน้า

หลิงม่อเผยสีหน้าสับสน “บอกตามตรง ฉันก็รู้สึกอย่างนี้เหมือนกัน…”

“เราอาจคิดไปเองก็ได้…ถึงแม้มันจะมีพลังจิตที่แข็งแกร่ง ก็ไม่น่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ได้หรอก” ซย่าน่าบอก

คิดไปเอง…หรอ…

ด้านในอาคารหอพัก

ตอนนี้พวกมู่เฉินได้ขึ้นมาถึงชั้นสองแล้ว หุ่นดวงจิตนำทางอยู่ข้างหน้า และพุ่งเข้าไปในประตูห้องที่เจอตัวกู่ซวงซวงในความฝัน

เสี้ยววินาทีที่เข้าไป ความจริงหลิงม่อไม่ได้ตั้งความหวังมากนัก…แต่ไม่คิดเลยว่าพอเข้าไป ข้างในกลับมีเงาร่างของใครคนหนึ่งยืนอยู่จริงๆ…

“เป็นเธอ…” หลิงม่อพูดประโยคเดิมกับในความฝัน…ในความฝันก่อนหน้านี้ เขามองเห็นเงาร่างของคนคนนี้ในสายตาของกู่ซวงซวง…ไม่คิดเลยว่าเขาจะเห็นมันที่นี่อีกครั้ง…

ผู้รอดชีวิตที่ทำให้คนสับสน และคาดเดาตัวตนของเธอไม่ได้…

หญิงสาวผู้นี้ที่เคยถูกพวกหลิงม่อตีจนสลบและทิ้งไว้ในห้อง เวลานี้กำลังยืนอยู่กลางห้องเงียบๆ และจ้องพวกหลิงม่อที่บุกเข้ามาอย่างใจเย็น

“อื่ม…หมอนั่นไม่ได้อยู่กับพวกแกจริงๆ ด้วย…” พอเธออ้าปาก ก็ทำให้พวกมู่เฉินขมวดคิ้วเข้าหากันทันที

“ตอนที่อยู่ในช่องทางเดิน เป็นเธอใช่ไหมที่เดินตามหลังพวกเรามา?” มู่เฉินถาม

หญิงสาวมองเขาแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้า “เป็นฉันเอง ตอนแรกฉันตั้งใจจะล่อแกออกไป และใช้แกเป็นตัวประกัน แต่ไม่คิดว่าแกจะไม่หลงกล…ฉันก็เลยจำเป็นต้องเปลี่ยนแผน หันไปเล่นงานเพื่อนร่วมทีมของแกแทน ที่น่าเสียดายคือพวกเขาไม่ได้ขี้ขลาดเหมือนแก แล้วก็ไม่ได้รอบคอบเหมือนแก อย่าเพิ่งเข้าใจผิดล่ะ ความจริงฉันกำลังชมแกอยู่”

“หึหึ…ถ้าอย่างนั้นฉันก็ต้องขอบคุณเธอน่ะสิ?” มู่เฉินหัวเราะเย็นชา

จางซินเฉิงกระตุกแขนมู่เฉินจากข้างหลัง บอกว่า “อย่าให้เธอทำเราไขว้เขว เธอตั้งใจยั่วโมโหโค้ชอยู่นะ…”

มู่เฉินอึ้งงัน พลันใจเย็นลงทันที “ปากคอเราะร้ายมากนะ…คิดจะทำให้ฉันรู้สึกผิดต่อการหายตัวไปของเพื่อมร่วมทีมตัวเอง และสูญเสียการควบคุมสินะ?”

“แกนี่สุขุมเยือกเย็นไม่เบาเลยนะ…ฉันดูไม่ออกว่าแกมีฝีมืออะไรเป็นพิเศษ แต่กลับมองแผนการของคนอื่นออกอย่างทะลุปรุโปร่ง” หญิงสาวหัวเราะอย่างไม่แยแส แล้วหันไปพูดกับจางซินเฉิง

จางซินเฉิงรีบหลบสายตา แล้วถามอย่างไม่มีอารมณ์กรุ่นโกรธแต่อย่างใด “เพื่อนของพวกเราอยู่ที่ไหน?”

“ฉันรู้ว่าพวกแกต้องชนะให้ได้…แต่ถ้าหากว่าสามคนนั้นล้มเหลวแล้วล่ะ? ถ้าอย่างนั้นพวกแกทุกคนก็จะต้อง…” ยังไม่สิ้นเสียงพูดของเธอ เสียงปืนนัดหนึ่งพลันดังขึ้น แต่ในเสี้ยววินาทีนั้น ทุกคนกลับรู้สึกเหมือนข้างหน้ามีแรงดึงดูดกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นกะทันหัน…ไม่นาน หลอดไฟข้างบนพลันระเบิดดัง “เพล้ง” กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจายไปทั่ว…

เย่ไคที่เป็นผู้ลั่นไกเบิกตากว้างทันใด คนที่เหลือต่างใจหายใจคว่ำ…

ประตูห้องบานหนึ่งพลันถูกเปิด เงาร่างของกู่ซวงซวงปรากฏอยู่ตรงนั้น…

หญิงสาวเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน หันไปมองกู่ซวงซวง จากนั้นก็หันกลับมามองพวกเขา บอกว่า “คนอยู่ตรงหน้าพวกแกแล้ว ฉันอยากเห็นนักว่าพวกแกจะช่วยเธอยังไง…อ้อ ใช่สิ ขอเตือนด้วยความหวังดี ถ้าหากว่าพวกแกไม่กำจัดเธอภายในเวลาสองนาที เพื่อนอีกคนของพวกแกก็จะตาย”

ทุกคนพลันอึ้งงัน และเมื่อกู่ซวงซวงเดินออกมาจากในห้องด้านใน ภาพในห้องก็พลันปรากฏสู่สายตาพวกเขาอย่างชัดเจน…

เจ้าลิงผอมถูกห้อยตัวไว้ตรงกลางห้อง และแมงมุมตัวใหญ่หลายตัวก็กำลังค่อยๆ คืบคลานไปหาเขา…

“ฉันจะไม่ยอมให้พวกแกเข้ามา…” กู่ซวงซวงสีหน้าหวาดผวา แต่กลับยืนขวางประตูอย่างเด็ดเดี่ยว

“ซวงซวง นี่เธอกำลังทำอะไร…” สวี่ซูหานถามอย่างตกตะลึง

“ไม่มีประโยชน์ เธอถูกสะกดจิตไปแล้ว ในสายตาของผู้หญิงคนนี้ ตอนนี้พวกแกล้วนเป็นซอมบี้ และเธอก็ตามหาเพื่อนของเธอที่กำลังนอนสลบเหมือดอยู่ข้างหลังเจอแล้ว ลองคิดดูสิ ในสถานการณ์แบบนี้ เธอจะทำยังไง? แน่นอนว่าต้องปกป้องเพื่อนตัวเองก่อน ไม่ใช่หรือไง? แต่พวกแกทุกคนก็คือศัตรูที่เธอต้องกำจัดอย่างสุดชีวิต เป็นไง ตลกร้ายใช่เล่นเลยใช่ไหมล่ะ? ต้องการปกป้องเพื่อนร่วมทีม แต่ความจริงกลับกำลังโจมตีเพื่อนร่วมทีมของตัวเอง…” หญิงสาวแสยะยิ้ม แล้วพูดขึ้น

เย่ไคมองเธออย่างเดือดดาล พลางก่นด่า “นี่เธอเป็นบ้าหรือไง! ไม่คิดเลยว่าจะช่วยซอมบี้ทำร้ายมนุษย์อย่างนี้!”

“แกพูดถูกแล้วล่ะ…ฉันเกลียดมนุษย์ บางทีพวกแกอาจแตกต่างจากพวกนั้นก็ได้ แต่ขอโทษด้วย ฉันไม่อยากรับรู้หรือทำความเข้าใจอะไรอีกแล้ว พวกแกก็คิดซะว่าตัวเองโชคร้ายแล้วกัน…” หญิงสาวสีหน้าพลันเปลี่ยน แล้วพูดเสียงเยือกเย็น “พวกแกอาจไม่เชื่อแล้ว แต่เรื่องที่ฉันบอกพวกแก ล้วนเป็นเรื่องที่ฉันเคยผ่านมากับตัวเองทั้งนั้น เพียงแต่มีอีกอย่างที่พวกแกไม่รู้ ความจริงแล้วฉันไม่ใช่แนวหลัง ตอนนั้น…ฉันก็เป็นหนึ่งในอาหารที่รอวันถูกกินเหมือนกัน ใช่แล้ว พวกแกได้ยินไม่ผิดหรอก พวกนั้นเรียกเพื่อนมนุษย์ด้วยกันว่าอาหาร! ตอนนั้นคนที่มีหน้าที่ดูแลพวกฉัน ก็คือมนุษย์คนหนึ่ง เขาไม่เพียงทรมานพวกฉัน ข่มเหงพวกฉัน แต่ยังใช้ผู้หญิงอย่างพวกฉันเป็นเครื่องมือระบายความต้องการอีกด้วย! ฉันเกลียดพวกมัน! ฉันเกลียดทุกคนที่นี่!”

“จนกระทั่งเมื่อเจอเธอ…เธอช่วยฉันฆ่าคนพวกนั้น จากนั้นก็ให้ฉันเป็นแนวหลังของที่นี่ ตั้งแต่นั้นมาเจ้าแมงมุมสมควรตายตัวนั้นก็ไม่มองข้ามฉันอีก มันเริ่มให้ฉันช่วยมันทำอะไรต่อมิอะไร ฉันจะบอกให้ ตอนที่ฉันเห็นไอ้เลวนั่นถูกทรมานจนตายไปต่อหน้าต่อตา ฉันไม่กลัวเลยซักนิด มันคงเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนั้น ที่ฉันไม่ได้มองว่ามนุษย์เป็นพวกเดียวกันอีกต่อไป…” หญิงสาวบอก

ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนเงียบงันไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร จนกระทั่งหลี่ย่าหลินกระพริบตาปริบๆ บอกว่า “พูดอย่างกับว่าซอมบี้ใจดีมากอย่างนั้นแหละ ซอมบี้ตัวนั้นก็ฆ่ามนุษย์และซอมบี้ไปมากมายเหมือนกันไม่ใช่หรอ? เรื่องที่เธอทำตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่ต่างอะไรจากคนคนนั้นเลยนี่นา?”

เธอพูดตรงมาก ในน้ำเสียงไม่มีแววมุ่งร้ายแฝงอยู่ด้วยซ้ำ เหมือนต้องการอธิบายเรื่องจริงเท่านั้น แต่เมื่อได้ยินเธอพูดทุกคนกลับกระจ่างทันใด ใช่แล้ว…เกือบถูกเธอลากลงไปในกับดักความเป็นมนุษย์อะไรทำนองนั้นแล้วสิ…คนพวกนั้นทำเรื่องเลวร้ายขนาดไหนแล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเขาด้วยล่ะ! ทำไมเรื่องนั้นถึงกลายเป็นเหตุผลที่พวกเขาต้องตายด้วยล่ะ!

“ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้นอยู่แล้ว!” หญิงสาวกลับหัวเราะ แล้วส่ายหน้าแรง “หลังจากที่เธอวิวัฒนาการจนถึงจุดสูงสุด พวกเราก็จะหาสถานที่แห่งหนึ่ง พามนุษย์และซอมบี้ทั้งหมดไปสะกดจิต…ทำอย่างนี้พวกเราก็จะสามารถมีชีวิตที่สันติสุขได้แล้ว บางทีขอบเขตการสะกดจิตอาจขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ ขยายไปเรื่อยๆ…บางที อาจมีซักวันที่ฉันจะลืมเรื่องที่เคยเกิดขึ้นได้ อาจมีซักวันที่ฉันคิดว่าตัวเองกำลังใช้ชีวิตอยู่ในสมัยก่อน เป็นเพียงคนธรรมดาที่ถึงแม้มีเรื่องไม่พอใจมากมาย แต่กลับยังใช้ชีวิตในแต่ละวันได้อย่างปกติสุข…”

พูดไปๆ ทันใดนั้นเธอกลับหันไปมองกู่ซวงซวง แล้วหันเราะเย็นชา พูดเสียงเย็นว่า “ฉันขอเตือนว่าแกอย่าทำอย่างนี้ดีกว่า ทันทีที่แกแตะต้องมนุษย์คนนั้น แมงมุมพวกนั้นก็จะโจมตีเขาทันทีแม้จะยังไม่หมดเวลาสองนาทีที่ฉันให้พวกแกก็ตาม”

วูบบ…

ทันใดนั้น เงาร่างหนึ่งพลันปรากฏตัวช้าๆ ซึ่งนั่นก็คือเสี่ยวเฮยที่เพิ่งหายตัวไปเมื่อกี้นั่นเอง…

การปรากฏตัวของมันทำให้กู่ซวงซวงกรีดร้องเสียงหลง และเมื่อพลังคลื่นสะท้านแผ่ออกมา เสี่ยวเฮยกลับหายวับไป และไปปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนในเสี้ยววินาที…