องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 341 ใครเป็นผู้ส่ง
หนานกงเย่ลุกขึ้นเดินออกไป หมุนตัวมองไปทางเสนาบดีเฉิน แล้วกล่าวว่า”ตอนที่แม่ทัพน้อยได้ถูกส่งกลับมา ผู้ใดมาด้วยหรือ?”
มหาเสนาบดีเฉินชะงักงัน กล่าวว่า “เป็นกงกงในพระราชวังและกองกำลังทหารอารักขาคุ้มกันมาพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเย่มีสีหน้าอึมครึมลง กล่าวขึ้นว่า “อาอวี่ เข้าไปในวังเชิญตูไห่ ให้เขานำกองกำลังทหารอารักขาที่คุ้มกันในวันที่เกิดเรื่องกับแม่ทัพน้อยมาทั้งหมด ข้าต้องการหาคน อีกอย่างไปหาไห่กงกง ให้เขาช่วยตรวจสอบขันทีในวันเกิดเรื่องด้วย
ข้าต้องการหาคน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
อาอวี่ถือแผ่นป้ายคำสั่ง แล้วหมุนตัวไปจัดการตามคำสั่ง
เวลานี้เสนาบดีรู้สึกว่าไม่ชอบมาพากลแล้ว เลยกล่าวว่า “ท่านอ๋อง เรื่องนี้สรุปแล้วมันคืออะไรกันพ่ะย่ะค่ะ?”
“ตอนที่ข้าเจ้าพระราชวังได้พบกับแม่ทัพน้อย เกิดการวิวาทกับเขา ก็เลยจ้วงกระบี่ใส่เขาไป ชีวิตเขาพ้นอันตรายแล้วเลยถูกส่งกลับมา แต่เขาเป็นเช่นนี้สาเหตุเป็นเพราะกระบี่ของข้า เมื่อครู่พระชายาตรวจดูอาการแล้ว ด้านหลังกระบี่ของข้ายังมีอีกหนึ่งกระบี่
กระบี่ทางด้านหลัง เป็นกระบี่ที่ต้องการชีวิต
หนานกงเย่พูดจบเสนาบดีเฉินเกิดอาการสั่นเทา กล่าวว่า “ท่านอ๋องเย่ การให้ร้ายผู้อื่นต้องมีสาเหตุนะพ่ะย่ะค่ะ?”
“ไม่ผิด คนที่อยู่เบื้องหลัง ต้องการยืมมือข้าตอนที่มุทะลุ ใส่ร้ายข้า ทำให้คนของจวนเสนาบดีเกลียดชังข้า แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ต้องตรวจสอบอย่างชัดเจนเป็นแน่”
“รบกวนท่านอ๋องเย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”ที่จริงในใจของเสนาบดีเฉินเข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจนดี หนานกงเย่ทำให้บุตรชายของเขาได้รับบาดเจ็บ แต่เขาพูดไม่ได้ และไม่กล้าถาม
แต่ท่านอ๋องเย่ทำร้ายคนกับถูกคนใส่ร้าย เป็นเรื่องคนละอย่าง
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ จึงทอดถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ฮูหยินเสนาบดีเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มออก ต่อให้รู้สึกแย่ก็ไม่สามารถที่จะแสดงออกมาได้ นางเดินไปหาฉีเฟยอวิ๋นและกล่าวว่า “พระชายาเย่ บุตรสาวไม่รู้ความ ตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น ขอพระชายาเย่อย่าแค้นเคืองเลยนะเพคะ”
“มิเป็นไรหรอก เรื่องที่ผ่านมาแล้วไม่จำเป็นต้องพูดอีก ข้าไม่คิดเล็กคิดน้อย “ฉีเฟยอวิ๋นมองมู่เหมียนที่ยืนมึนงงอยู่อีกด้าน นางได้มึนงงอีกแล้ว
ฮูหยินเสนาบดีกล่าวว่า”ตอนนี้พิษที่อยู่บนร่างกายของบุตรสาวยังไม่หายดี ตอนนี้มือของนางดำแล้ว อนาคตนางยังต้องออกเรือน เกรงว่าแค่จะมีชีวิตอยู่ยังเป็นเรื่องที่ยาก พระชายาโปรดเมตตา ช่วยชีวิตนางด้วยเถิด”
“ไปกัน ข้าจะไปดูให้นางเอง”
ฉีเฟยอวิ๋นไปดูเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ นางสลบไปแล้ว ตัวของนางม่วงคล้ำ หากไม่ใช่ว่าครั้งก่อนฉีเฟยอวิ๋นได้ให้ยาเม็ดนั้นแก่นาง ตอนนี้นางก็ได้ตายไปแล้วล่ะ
เธอหยิบยาลูกกลอนขจัดพิษมอบให้เฉินอวิ๋นเอ๋อร์กินและฉีเฟยอวิ๋นจึงจัดการกับมือของนาง
มือของเฉินอวิ๋นเอ๋อร์บวมเป่งพอกันกับเล็บเท้าของหมีเลย
เธอจัดการให้เฉินอวิ๋นเอ๋อร์เรียบร้อยแล้วจึงกลับออกไป ฮูหยินเสนาบดีถามเธอจากทางด้านหลังว่า”พระชายาเย่ มือของบุตรสาวจะหายหรือไม่เพคะ”
“หายน่ะหายแน่ แต่ไม่แน่ใจว่าจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้หรือไม่ ตอนนี้ทำได้เพียงคิดหาวิธีช่วยแล้วล่ะ”
“อย่างน้อยก็สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ หม่อมฉันซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากเพคะ”
“ฮูหยินมิต้องเกรงใจ ข้ากลับไปดูแม่ทัพน้อยก่อนนะ ฮูหยินดูแลคุณหนูเฉินเถิด”ฉีเฟยอวิ๋นหมุนตัวเดินออกมา และมู่เหมียนได้ตามออกมาด้วย
มู่เหมียนกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจว่า”เฉินอวิ๋นเอ๋อร์จงใจทำร้ายท่าน เหตุใดท่านถึงต้องช่วยนาง ตายแล้วก็ไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือ?”
“ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นชีวิตคน ข้าเป็นหมอผู้หนึ่ง ข้าก็ต้องช่วยชีวิตคนที่ป่วย ท่านเป็นสหายกับซู่ซู่มาหลายปี หรือว่าเรื่องแค่นี้ยังไม่เข้าใจหรือ?”
พอพูดถึงไป๋ซู่ซู่ มู่เหมียนมีสีหน้าเปลี่ยน กล่าวว่า”นางอ่อนโยนจนเกินไป ถึงได้ตายอย่างน่าสงสาร
ข้าเคยพูดไว้ตั้งนานแล้ว คนของตระกูลจงชินไม่มีคนดีสักคน นางยังไม่เชื่อ ท่านอ๋องเซี่ยวจวิ้นเป็นคนยังไง นางถึงเชื่อเขาได้”
มู่เหมียนกล่าวด้วยความโมโห ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากกล่าวพูดอะไรมาก แต่นางคิดเล็กคิดน้อยเรื่องของไป๋ซู่ซู่อย่างนั้น เลยรู้ว่านางเป็นคนที่มีความผูกพันกับสหายเป็นอย่างมาก ก็เลยไม่พูด
“ไปกันเถิด”
ฉีเฟยอวิ๋นกลับมาที่เรือนของเฉินอวิ๋นเจี๋ยภายในเรือนมีคนยืนอยู่จำนวนหนึ่งแล้ว หนึ่งในนั้นมีตูไห่ที่ฉีเฟยอวิ๋นรู้จัก พอเจอฉีเฟยอวิ๋นตูไห่เลยรีบทำความเคารพ กล่าวขึ้นว่า”กระหม่อมถวายบังคมพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
“ใต้เท้าไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถิด”
ตูไห่ลุกขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นกวาดสายตามองกองกำลังทหารอารักขาที่มากว่าร้อยชีวิต ภายในเรือนแน่นขนัดไปหมดเลย
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้าเชิญตูไห่ “เชิญใต้เท้า”
“เชิญพระชายาเย่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรอตรงนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่พูดอะไรมาก เธอเลยพามู่เหมียนเดินเข้าไป
หนานกงเย่เดินออกมาจากด้านใน กล่าวว่า “ในเมื่อกลับมาแล้ว อยู่ดูกับข้าเถอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นจำใจต้องออกมากับหนานกงเย่ แต่เธอไม่วางใจ เวลานี้จะเกิดเรื่องกับเฉินอวิ๋นเจี๋ยไม่ได้ ให้หมอโจวดูคนเดียวไม่เหมาะสมหรอก
“มู่เหมียน ท่านไปดูสักหน่อย”ฉีเฟยอวิ๋นบอกกล่าว มู่เหมียนเลยเดินเข้าไปด้านใน
หนานกงเย่หันกลับไปชำเลืองมองมู่เหมียนที่เดินเข้าไปด้านใน ก้มศีรษะลงกล่าวข้างกกหูของฉีเฟยอวิ๋นว่า “ฝีมือของอวิ๋นอวิ๋นไม่ธรรมดาเลยนะ แม้แต่มู่เหมียนยังสยบให้เลย”
ฉีเฟยอวิ๋นหน้ามุ่ยกล่าวว่า”ท่านอ๋องหวังว่าหม่อมฉันกับมู่เหมียนจะตีกันจนไม่สามารถปรองดองกันได้หรือ?”
“ข้าไม่ได้กล่าวนะ”
หนานกงเย่เดินไปด้านนอก ตูไห่เดินมาคารวะกล่าวว่า”กระหม่อมถวายบังคมผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“ลุกขึ้นเถิด ที่ข้าเรียกเจ้ามา ก็เพื่อต้องการตรวจสอบเรื่องของแม่ทัพน้อยเฉิน วันนั้นข้าทำร้ายแม่ทัพน้อยเฉิน เป็นผู้ใดกันที่ส่งแม่ทัพน้อยกลับมา?”
ตูไห่มองไป จากนั้นกล่าวว่า “พวกเจ้าผู้ใดเป็นผู้เข้าเวร?”
“พวกกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ”มีคนสี่ห้าคนเดินออกมาจากขบวนพล คุกเข่าลงข้างหนึ่งเคารพหนานกงเย่
ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองคนเหล่านั้น คนเหล่านั้นต่างคุกเข่าลงอย่างรู้กฎเกณฑ์ ในมือยังกอบกุมกระบี่ไว้
ฉีเฟยอวิ๋นขมวดคิ้วกล่าวว่า”ใต้เท้าตู ปกติทหารอารักขาอย่างพวกท่านพกกระบี่ไม่ได้พกปืนหรือ?”
ตูไห่ตอบกลับว่า”พวกเรามีอาวุธทางการทหารมากมาย สถานที่ในการใช้แตกต่างกันพ่ะย่ะค่ะ ในพระราชวังพวกเราใช้ปืน ออกมาจากพระราชวังพกกระบี่ ก็เพื่อที่จะเดินทางสะดวกพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นมองคนที่มาแล้วกล่าวอีกว่า “วันนั้นพวกท่านใช้กระบี่เหล่านี้หรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ กระบี่พกของทหารอารักขาเป็นคลังอาวุธมอบให้พ่ะย่ะค่ะ ทุกปีจะไปหนึ่งครั้ง และแบ่งออกมาใช้ รอจนถึงปีหน้าจะเอากระบี่พกอันใหม่มา และเหล่านี้จะถูกส่งกลับ เพื่อจะเอาไปหล่อหลอมใหม่พ่ะย่ะค่ะ”ตูไห่กล่าวอธิบาย
”
ฉีเฟยอวิ๋นชำเลืองมองหนานกงเย่ และกล่าวขึ้นว่า”ท่านอ๋อง หม่อมฉันอยากไปดูกระบี่ยาวของพวกเขาเพคะ”
“ได้”หนานกงเย่กล่าวตอบตกลง ฉีเฟยอวิ๋นเอื้อมมือไปหาตูไห่แล้วกล่าวว่า
“ใต้เท้าตูเอากระบี่มาให้ข้าดูหน่อย”
ตูไห่รีบนำกระบี่ที่อยู่บนตัวมอบให้แก่ฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นหยิบไปชักดึงออกมาดู ดูอยู่สักพักหนึ่งแล้วส่งคืนแก่ตูไห่ “ไม่ใช่เล่มนี้”
ตูไห่มองไปทางด้านหลัง แล้วกล่าวกับคนที่อยู่บนพื้นว่า”ออกมาทีละคน วันนั้นที่รับผิดชอบดูแลออกมาก่อน”
“ขอรับ”
คนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นลุกขึ้นก่อน ฉีเฟยอวิ๋นดึงกระบี่ออกมาดู และยัดกลับคืน ฉีเฟยอวิ๋นดูอันถัดไป
หนานกงเย่ยืนอยู่อีกด้าน ฉีเฟยอวิ๋นดูอยู่สักพักหนึ่ง แถวหน้านอกจากคนวันนั้นที่รับผิดชอบดูแลแล้ว และดูอย่างต่อเนื่องจนดูมาถึงคนหนึ่ง เลยหยิบมามอบแก่หนานกงเย่”ท่านอ๋อง บนกระบี่เล่มนี้มีจุดเล็กๆที่มีความแตกต่าง ตอนที่เข้าไปในผิวหนังจะมีรอยแผลเป็น เป็นกระบี่เล่มนี้เพคะ”
”
เจ้าของกระบี่ได้ยินเกิดตื่นตระหนกตกใจ คุกเข่าลงข้างหนึ่งกล่าวว่า “ใต้เท้า ไม่ใช่ข้านะขอรับ”
ตูไห่มองฉีเฟยอวิ๋นและกล่าวว่า”พระชายา แน่ใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“กระบี่นี้ข้ามั่นใจ แต่คนผู้นี้หรือไม่นั้นไม่แน่ใจ คิดว่าไม่น่าจะใช่เขา เพราะฉะนั้นกระบี่ของเขาเป็นกระบี่ที่ใช้ทำร้าย เป็นเพราะมีผู้รู้ว่ากระบี่ของเขาเป็นเช่นนี้ เลยจงใจใส่ร้าย”
ฉีเฟยอวิ๋นพูดจบก็มองไปทางหนานกงเย่ ถึงเวลาที่เขาจะต้องพูดแล้ว
ตูไห่รีบมองไปทางคนที่อยู่ในสถานการณ์ กล่าวขึ้นว่า “ผู้ใดรู้ว่ากระบี่ของเขามีมุมแหว่งหรือไม่?”
ทุกคนต่างเงียบ ทันใดนั้นได้มีคนออกมาจากด้านในกลุ่ม กล่าวว่า”ใต้เท้า ข้ารู้ขอรับ”
คนที่ออกมาอายุยังน้อย ออกมาจากแถวทางด้านหลังยืนอยู่ฝั่งของหนานกงเย่