อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 334 สมาธิแข็งมาก
เวินเส้าหยีนิ่งเงียบ ดวงตาลึกล้ำเหล่านั้นจับตามองกู้ชูหน่วนตั้งแต่ต้นจนจบ ราวกับต้องการจะมองนางให้ทะลุทั้งหมด

กู้ชูหน่วนปล่อยให้เขามอง ผิวเผินนางดูสงบนิ่งสบายๆ แต่ในใจกลับหวาดกลัวเล็กน้อย

ตั้งแต่เริ่มจนจบ เวินเส้าหยีก็ไม่ได้ทำอะไรที่เกินไปต่อนาง แต่ไม่รู้ทำไม เมื่อสัมผัสถึงดวงตาทั้งคู่นั่นของเขา นางรู้สึกว่าตัวเองหลบหนีไม่ได้ อะไรก็ปิดบังเขาไม่ได้

ดวงตาคู่นั้น เฉียบคมเกินไป

“เช่นนั้นตอนนี้เจ้าพาข้าไปที่ปากปล่องภูเขาน้ำเต้าเถอะ” ในที่สุดเวินเส้าหยีก็เปิดปาก

กู้ชูหน่วนพูดหยั่งเชิง “แค่เจ้าคนเดียวหรือ? เจ้าไม่เรียกมาอีกสองสามคน?”

นางจำได้ แผนที่บนกระดิ่งทลายวิญญาณ ทำสัญลักษณ์ลูกศรสีแดงไว้มากมาย ลูกศรสีแดงเหล่านั้น ไม่รู้ว่าเป็นสัญลักษณ์อะไร แต่นางรู้สึกได้รางๆ ลูกศรสีแดงเหล่านั้น น่าจะเป็นสถานที่ที่อันตรายเป็นที่สุด

หากสามารถล่อให้คนของเผ่าปีศาจ เผ่าเทียนเฟิ่น รวมทั้งคนของหุบเขาตันหุยเข้าไปได้ อาจจะสามารถจัดการได้ในทีเดียว

“แค่ข้าคนเดียว”

ทะเลโลหิตแห่งภูเขาน้ำเต้านี่อันตรายนับไม่ถ้วน แม้ว่าวิทยายุทธของเจ้าจะสูงส่งแข็งแกร่ง แต่ก็รับประกันได้ยากว่าที่นั่นจะไม่มีสุดยอดค่ายกล หรือว่าสัตว์ดุร้ายในตำนาน แม้กระทั่งกลไกอาวุธลับต่างๆ เจ้าพาไปคนอีกสองสามคนให้มากหน่อย เมื่อมีอันตรายจะได้มีคนช่วยเจ้าแบ่งเบาใช่หรือไม่? อย่างน้อย ก็ยังช่วยเจ้าตรวจสอบเส้นทางได้อีกด้วย เพื่อความปลอดภัย ข้าแนะนำให้เจ้าพานคนไปมากหน่อยอีกสักไม่กี่คน แน่นอน ข้าก็ไม่ได้กลัวท่านจะหัวเราะเยาะ ข้ารักตัวกลัวตาย

“เจ้าพูดมากขนาดนี้ หรือว่า ในใจเจ้ามีความตั้งใจอะไรอยู่?”

“จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าก็เป็นแค่ผู้หญิงอ่อนแอไร้กำลังวังชาผู้หนึ่งเท่านั้น จะวางแผนอะไรได้ หากว่าข้ามีแผนการ ยังจะตกอยู่ในมือของเจ้าอีกหรือ?”

“ใช่หรือ? เวลาสั้นๆไม่กี่วัน ไม่เพียงแค่เปิดชีพจรยุทธ์ได้ ยังได้ก้าวเข้าขั้นชีพจรยุทธ์ขั้นที่สี่อีก นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถทำได้หรอกนะ จะบอกว่าเป็นพรสวรรค์ก็ไม่เกินไป”

“…….”

นางเข้าขั้นที่สี่ได้ง่ายหรือ?

นางกินยาและผลึกไปมากเพียงใด แทบจะเอาชีวิตน้อยๆของตัวเองพ่วงเข้าไปด้วยแล้วไหมล่ะ?

คนของเผ่าเทียนเฟิ่นเอากูเกิลข้ามเวลามาด้วยหรือไง?

ทำไมอะไรก็รู้ไปหมด?

“เช่นนั้นหากเผชิญกับอันตรายด้านในจะทำอย่างไร? เจ้ามั่นใจว่าจะไม่หาคนมาช่วยอีกสองสามคนหรือ?”

“ทะเลโลหิตอ้างว้างเป็นอย่างมาก หากเจ้ายังมีไร้สาระอีก ข้าไม่ถือสาที่จะให้เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนมันตลอดไป”

ผู้ชายคนนี้

ดื้อรั้นไม่ฟังที่ตักเตือน และไม่น่ารักสักนิด

“ก็ได้ ในเมื่อเจ้าไม่กลัว เจ้ายังจะมีอะไรให้กังวลใจอีก เดินไปในทางนี้”

กู้ชูหน่วนนำทางไปก่อน

นางกับเวินเส้าหยีคนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลัง เหมือนจะห่างกันออกไปเพียงไม่กี่ก้าว กลิ่นหอมจางๆของดอกบัวลอยเข้าจมูก ทำให้คนที่ได้กลิ่นรู้สึกสบายใจ เขาสูดดมเฮือกหนึ่ง นางเข้าไปใกล้เวินเส้าหยี “หอมจัง”

เวินเส้าหยีถอยหลังไปสองสามก้าว รักษาระยะห่างจากนางพอควร

กู้ชูหน่วนจงใจก้าวไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว “บนตัวของชายหนุ่มผู้หนึ่งทำไมถึงได้หอมเช่นนี้ เจ้าทาน้ำหอมอะไรหรือ? ว้าว เจ้าคงไม่ได้หน้าแดงแล้วหรอกนะ พ่อรูปหล่อ รูปร่างของเจ้าช่างเย้ายวนจริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นชายพรหมจรรย์หรือไม่”

เวินเส้าหยีขมวดคิ้วเล็กน้อย

กู้ชูหน่วนพูดจาอย่างเปิดเผยขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นคำพูดที่ผู้หญิงปกติพูดออกมาที่ไหนกัน

กลิ่นหอมจางๆของผู้หญิงวนเวียนอยู่ที่ปลายจมูกของเขา เงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง กลับเห็นกู้ชูหน่วนกะพริบตาอย่างแพรวพราวให้เขา ยิ้มจนสวยหยาดเยิ้ม เขาอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง จิตใจสั่นคลอนเล็กน้อย

ไม่นาน เขาก็ได้สติขึ้นมา สะบัดแขนเสื้อทันที กลิ่นหอมกระจายไป เขากล่าวย่างเย็นชา “พระชายาหาน เจ้ารู้หรือไม่ว่าจุดจบของคนที่คิดว่าตัวเองฉลาดเป็นอย่างไร?”

กู้ชูหน่วนเก็บความแพรวพราวขึ้นมา

ผู้ชายคนนี้ สมาธิแข็งแกร่งกว่าที่นางคิดเอาไว้มาก

ยาดูดจิตที่นางปรุงขึ้นเป็นพิเศษล้วนไม่ได้ผล