[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]

บทที่ 532 : ใครๆก็ชอบพี่หลิงหยุน!

“หลิงหยุน.. ถ้าหลานชายมีเวลา ก็แวะไปคุยกับลุงที่บ้านด้วยนะ.. ถ้าเธอไม่ไป มีหวังป้าจางต้องตำหนิลุงแน่..”

ป้าจางที่ถังเทียนห่าวพูดถึงนั้น ก็คือภรรยาของเขาเอง และเป็นแม่ของถังเมิ่งซึ่งเคยพบกับหลิงหยุนที่โรงพยาบาลมาแล้วครั้งหนึ่ง

“ลุงถังไม่ต้องเป็นห่วงครับ พอดีช่วงนี้ผมยังมีธุระยุ่งอยู่ แต่ยังไงผมจะหาเวลาแวะไปเยี่ยมเยียนที่บ้านอย่างแน่นอน..”

หลิงหยุนตอบพร้อมกับพยักหน้า และยิ้มให้กับถังเทียนห่าว เขามีธุระมากมายที่จะต้องไปจัดการ ถังเมิ่งเองก็บอกเรื่องนี้กับเขาหลายครั้งแล้ว เพียงแต่เขายังหาเวลาไปไม่ได้เท่านั้นเอง

เสี่ยวเม่ยหนิงหันไปมองถังเทียนห่าวพร้อมกับแสร้งทำเป็นอิจฉาหลิงหยุน “ลุงถังคะ.. ลุงลำเอียงชวนแต่พี่หลิงหยุน แล้วหนูล่ะคะ..?”

ถังเทียนห่าวหัวเราะเสียงดังพร้อมกับตอบไปว่า “หนิงน้อย.. เธออย่ามาแกล้งพูดให้คนแก่อย่างลุงดีใจหน่อยเลย! ที่ลุงชวนเฉพาะหลิงหยุนก็เพราะว่าเธอยุ่งอยู่กับการเรียน ถ้าลุงทำให้การเรียนของเธอเสียหาย มีหวังปู่ของเธอคงต้องตำหนิลุงแน่ ถึงตอนนั้นลุงคงจะรับไม่ไหว!”

ความจริงแล้วก่อนที่หลิงหยุนกับถังเมิ่งจะมาสนิทสนมกันนั้น เสี่ยวเม่ยหนิงเองก็ไม่เคยเห็นถังเมิ่งอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ถังเทียนห่าวเองก็อยู่ในแวดวงตำรวจ ส่วนท่านหมอเสี่ยวก็เป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียง ทั้งคู่ต่างก็มีหน้าตาทางสังคมที่ไม่ก้าวล่วงกัน..

ตอนนี้หลิงหยุนกับถังเมิ่งนั้นสนิทสนมกันราวกับพี่น้อง และมีมิตรภาพที่ดีต่อกัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่เสี่ยวเม่ยหนิงจะไม่ใส่ใจถังเมิ่งได้อีก เป็นเพราะหลิงหยุน.. ทำให้ความสัมพันธ์ของทุกๆฝ่ายค่อยๆแน่นแฟ้นกันมากยิ่งขึ้น

ถังเทียนห่าวหันไปมองเหมี่ยวเสี่ยวเหมาพร้อมกับยิ้ม และพูดขึ้นว่า “หนิงน้อย.. หลานยังไม่แนะนำให้ลุงรู้จักเลย นี่คือ..”

เสี่ยวเม่ยหนิงรีบแนะนำด้วยน้ำเสียงสดใส “จริงด้วย.. ลุงถังคะ นี่พี่สาวหนูเองค่ะชื่อเหมี่ยวเสี่ยวเหมา..”

ในขณะที่เสี่ยวเม่ยหนิงแนะนำอยู่นั้น เหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ยิ้มทักทายถังเทียนห่าวอีกครั้ง

ถังเทียนห่าวได้แต่คิดในใจว่า ที่แท้ก็เป็นหลานสาวอีกคนของท่านหมอเสี่ยวจริงๆด้วย เขาจึงรีบเอ่ยทักทายพร้อมกับยิ้มให้

“เสี่ยวเหมา.. ต่อไปถ้าลุงไปที่บ้านท่านหมอเสี่ยว ที่บ้านคงจะรื่นเริงมากทีเดียว..”

“ขอบคุณค่ะลุงถัง! ยังไงลุงถังต้องไปแวะไปให้ได้นะคะ..” เหมี่ยวเสี่ยวเหมาหัวเราะสดใส

หลิงหยุนเดินเข้าไปหาถังเทียนห่าว “ลุงถังครับ.. หนิงน้อยต้องเข้าเรียนบ่ายนี้ ผมขอตัวส่งเธอกลับไปที่โรงเรียนก่อนนะครับ”

ถังเทียนห่าวพยักหน้า “พวกเธอรีบไปเถอะเดี๋ยวจะไม่ทันเข้าเรียน! พอดีลุงยังมีธุระต้องสะสางที่นี่ ลุงไม่ส่งนะ..”

หลิงหยุนรู้ดีว่าธุระที่ถังเทียนห่าวต้องสะสางที่นี่นั้นคือเรื่องอะไร? เขาจึงเพียงแค่ยิ้ม และเดินออกไปพร้อมกับนักเรียนหญิงหน้าตาสวยงามสองคน

‘โอ้! ที่แท้เขาก็คือหลิงหยุน!’

ถังเทียนห่าวนั้นไม่ได้เรียกชื่อหลิงหยุนดังมาก แต่หลิวจินไล๋ และเจ้าหน้าที่คนอื่นๆที่อยู่ในห้องต่างก็ได้ยินอย่างชัดเจน

เมื่อหลิวจินไล๋รู้ว่าที่แท้เด็กหนุ่มคนนี้ก็คือหลิงหยุน เขาจึงเข้าใจได้ทันทีว่าเพราะเหตุใดเขาจึงรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างมาก แล้วเขาก็ถึงกับหวาดกลัวจนขนหัวลุก

หลิงหยุนก็คือเด็กหนุ่มที่ได้ทำลายหลัวจ้งจนตอนนี้แทบไม่เหลืออะไรเลย และเขาก็เป็นคนที่ทำให้วงราชการในเมืองจิงฉูต้องระส่ำระสายอย่างหนัก

เมื่อนึกถึงประสบการณ์อันเจ็บปวดของหลัวจ้งที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านหลินเจียงแล้ว หลิวจินไล๋ก็รู้สึกว่าตนนั้นช่างโชคดีอย่างมากที่วันนี้รอดพ้นจากหายนะมาได้อย่างหวุดหวิด ไม่เช่นนั้นเขาคงจะมีสภาพไม่ต่างจากจางเติงเกอที่นั่งกัดฟันกรอดอยู่ที่พื้นตอนนี้

หลิวจินไล๋รู้สึกว่าเพียงแค่ขอบคุณถังเทียนห่างคงยังไม่พอ เขายกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลเต็มหน้าผากอีกครั้ง และค่อยๆเดินไปหาถังเทียนห่าวพร้อมกับพูดเสียงเบาว่า

“ผู้อำนวยการถังครับ.. ผมไม่ตั้งใจจะทำให้หลิงหยุนขุ่นเคืองใจ ผมอยากจะหาโอกาสเลี้ยงข้าวเขาเพื่อไถ่โทษสักครั้ง ไม่ทราบว่า..”

ถังเทียนห่าวจ้องลึกลงไปในดวงตาของหลิวจินไล๋ และจู่ๆเขาก็ยิ้มออกมา พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ประจบสอพลอใช้กับคนอย่างหลิงหยุนไม่ได้หรอก!”

“เอาล่ะ.. บอกทุกคนว่าอย่างเพิ่งไปกินข้าว จัดการกับปัญหาที่นี่ให้เรียบร้อย และช่วยกันทำให้นักท่องเที่ยวกลับสู่ความสงบเหมือนเดิมก่อน!”

ถังเทียนห่าวไม่ได้ออกไปส่งหลิงหยุนที่เพิ่งจะเดินออกจากห้องไป เพราะเขาไม่ต้องการปล่อยเรื่องในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้

………

“วันนี้เป็นการกินข้าวที่สนุกที่สุดเลย!”

ตอนนี้หลิงหยุน และสองสาวต่างก็เดินออกมาจากภัตตาคารจิงฉูแล้ว และกำลังเดินไปที่รถ

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับบีบจมูกเล็กๆของสาวน้อยตัวแสบแล้วหัวเราะ “เอาล่ะ.. ขึ้นรถกันได้แล้ว!”

หลิงหยุนเปิดประตูรถแลนด์โรเวอร์ และร้องบอกเสี่ยวเม่ยหนิง และเหมี่ยวเสี่ยวเหมาให้ขึ้นจากรถ และในขณะที่กำลังจะขับออกไปนั้น

ตึง.. ตึง.. ตึง.. เสียงฝีเท้าคนกำลังวิ่งตรงมาที่รถของหลิงหยุน

พนักงานเสริฟสาวสวยวิ่งถือถุงพลาสติกสีดำไว้ในมือตรงเข้าไปที่รถของหลิงหยุน เธอหยุดยืนอยู่ทางด้านคนขับพร้อมกับร้องตะโกนว่า

“หลิง.. คุณชายหลิง.. ขอบคุณสำหรับทิปนะคะ แต่มันมากเกินไป ฉันรับไว้ไม่ได้จริงๆ”

ระหว่างที่พูดเธอก็พยายามส่งถุงดำในมือคืนให้กับหลิงหยุนที่นั่งอยู่ในรถ

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับโบกไม้โบกมือและตอบไปว่า “นี่เป็นสิ่งที่คุณสมควรได้รับ.. เก็บไว้ใช้!”

พนักงานเสริฟสาวสวยยังคงยื่นถุงดำคืนให้กับหลิงหยุน แต่หลิงหยุนกลับไม่ยอมรับ เธอยืนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดออกไปว่า

“ฉันชื่อจางซินค่ะ ฉันรบกวนของเบอร์มือถือคุณได้มั๊ยคะ?”

จางซินร้องถามออกไป แต่ใบหน้าก็เริ่มร้อนผ่าว..

พนักงานเสริฟสาวสวยดูจะพึงพอใจหลิงหยุนถึงขั้นกล้าเอ่ยปากขอเบอร์มือถือของเขา!

ระหว่างที่หลิงหยุนกำลังลังเลอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงของเสี่ยวเม่ยหนิงดังขึ้น “เขาไม่มีเบอร์มือถือ! พี่หลิงหยุน.. ฉันจะไปโรงเรียนไม่ทันแล้ว ยังไม่รีบออกรถอีก!”

เสี่ยวเม่ยหนิงนั่งมองทั้งคู่ผลักเงินห้าหมื่นหยวนไปมาอยู่นานก็เริ่มอารมณ์เสีย และตอนนี้จางซินถึงกับกล้าขอเบอร์มือถือหลิงหยุน เธอจึงไม่อาจทนได้อีกต่อไป!

อารมณ์ของเด็กสาวตัวแสบนี้ค่อนข้างรุนแรง หลิงหยุนจึงได้แต่ยิ้มให้กับจางซินที่ยืนอยู่นอกรถ พร้อมกับโบกไม้โบกมือให้เธอ ก่อนจะเหยียบบคันเร่งออกไปทันที

“คุณคะ..!”

จางซินได้แต่ยืนมองหลิงหยุนขับรถออกไปพร้อมกับถอนหายใจ หากเปรียบเทียบผู้ชายที่ดีพร้อมเช่นหลิงหยุน เงินห้าหมื่นหยวนจะมีความหมายอะไร?

……..

“เชอะ.. เงินห้าหมื่นหยวนมากเกินไป! แต่กลับมาขอเบอร์มือถือพี่หลิงหยุน ช่างน่าโมโหจริงๆ!”

เสี่ยวเม่ยหนิงที่นั่งอยู่ในรถแลนด์โรเวอร์ ยังคงบ่นพึมพำด้วยความเดือดดาล..

เหมี่ยวเสี่ยวเหมาได้แต่หัวเราะ ส่วนหลิงหยุนได้แต่ขับรถไปเงียบๆ และแสร้งทำเหมือนไม่ได้ยินอะไร..

“ย้าย.. ฉันจะรีบย้ายเข้าไปอยู่กับพี่ให้เร็วที่สุด!”

เสี่ยวเม่ยหนิงนิ่งคิดอยู่นานจึงตัดสินใจว่าต้องย้ายไปอยู่บ้านหลิงหยุนให้เร็วที่สุด ดูเหมือนว่าพี่หลิงหยุนของเธอนับวันก็จะยิ่งมีสาวๆมากขึ้น เสี่ยวเม่ยหนิงจึงรู้สึกขุ่นเคืองใจอย่างบอกไม่ถูก

“พี่หลิงหยุน.. บ่ายนี้ฉันจะไม่เข้าเรียน แต่จะรีบกลับบ้านไปเก็บของ..”

เสี่ยวเม่ยหนิงที่นั่งอยู่ข้างคนขับ จู่ๆก็ยกมือขึ้นจับแขนหลิงหยุนพร้อมกับออดอ้อน

“เอ่อ.. เรื่องย้ายบ้านเป็นเรื่องรอง เธอโดดเรียนไม่ได้ ยังไงเธอก็ต้องไปโรงเรียน..!”

หลิงหยุนจำเป็นต้องรับผิดชอบดูแลเรื่องการเรียนของเสี่ยวเม่ยหนิงในระยะยาว

“แล้วทีพี่ทำไมถึงโดดเรียนได้ล่ะ!” เสี่ยวเม่ยหนิงสวนกลับหลิงหยุนทันที

เหมี่ยวเสี่ยวเหมาได้แต่ยิ้มออกมาอีกครั้ง ใบหน้าเย็นชาของหลิงหยุนตอนนี้แดงก่ำพร้อมกับตอบไปว่า

“ใครบอกว่าผมไม่เข้าเรียน ผมจะเข้าเรียนอาทิตย์หน้านี้แล้ว!”

ก่อนวันสอบเอนทรานซ์สองอาทิตย์ หลิงหยุนจะต้องกลับไปเรียน เพราะจะมีการสอบเอาคะแนนสูงสุด และหลิงหยุนก็จำเป็นต้องเข้าสอบ

หลิงหยุนรับปากฉินจิวยื่อ และเดิมพันไว้หนึ่งร้อยล้านหยวนว่าจะต้องสอบเข้ามหาวิยาลัยหยางจิงให้ได้

“ผมว่าทำตามข้อตกลงเดิมที่คุณบอกไว้จะดีกว่า คืนนี้ค่อยย้ายมา  ส่วนเรื่องของผมคุณก็ให้พี่สาวของคุณคอยจับตามองผมแทนก็ได้นี่!”

หลังจากนั่งนิ่งอยู่นาน.. ในที่สุดเสี่ยวเม่ยหนิงก็ยอมไปโรงเรียน และเฝ้ารอคอยวันที่หลิงหยุนจะไปโรงเรียน

เหมี่ยวเหมายิ้มพร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่นะ.. พี่ไม่ขอรับหน้าที่นี้! ถ้าหลิงหยุนอยู่โรงเรียนได้ตลอดทั้งวัน ก็คงจะแปลกสิ้นดี!”

หลิงหยุนพูดกับเสี่ยวเม่ยหนิงอย่างไม่สนใจคำตอบของเหมี่ยวเสี่ยวเหมา “เอาน่า.. คืนนี้แค่ย้ายของเข้าไปที่บ้านผมก่อน..”

คืนนี้หลิงหยุนตั้งใจจะค้างที่บ้านเลขที่-1 เพื่อรอคอยการมาของพวกนินจา และคนของลัทธิมาร จึงอาจต้องมีการนองเลือดเกิดขึ้นในบ้าน เขาจึงไม่ต้องการให้หนิงน้อยต้องมาพบเห็นภาพที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้

“แล้วพี่จะไปอยู่ที่ใหน?” เสี่ยวเม่ยหนิงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

หลิงหยุนยิ้มอ่อน.. “ผมเพิ่งจะกลับมาจากทะเล น้าหญิงก็เลยสั่งให้กลับไปนอนที่บ้าน”

“พี่หลิงหยุน.. แล้วเมื่อไหร่คลีนิกสามัญชจะเปิดซะทีล่ะ?”

ในที่สุดเสี่ยวเม่ยหนิงก็เปลี่ยนเรื่องคุย และเริ่มถามเรื่องความคืบหน้าของคลีนิกที่หลิงหยุนจะเปิด

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า  “เสาร์อาทิตย์นี้ล่ะ ว่าแต่เป็นวันใหนดีนะ?!”

ใบหน้างดงามของเสี่ยวเม่ยหนิงที่บูดบึ้งเพราะจางซินเมื่อครู่ กลับมายิ้มแย้มแจ่มใสอีกครั้ง

เสี่ยวเม่ยหนิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า “วันเสาร์นี้ก็แล้วกัน!”

หลิงหยุนมองเสี่ยวเม่ยหนิงอย่างครุ่นคิดพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“เอาเป็นว่าเชื่อฟังหนิงน้อย.. ทำพิธีเปิดคลีนิกวันเสาร์นี้!”

รถแลนด์โรเวอร์เลี้ยวเข้ามุมไป และโรงเรียนมัทธยมจิงฉูก็อยู่อีกไม่ไกลนัก

“เยี่ยมเลย.. ฉันจะให้ท่านปู่มาเป็นคนตัดริบบิ้นให้!”

เสี่ยวเม่ยหนิงเปิดประตูรถกระโดดลงรถอย่างดีใจ หลิงหยุนขมวดคิ้วพร้อมกับร้องบอกว่า

“นี่.. อย่าทำอะไรให้มันเอิกเกริกนักล่ะ!”

ฉินจิวยื่อเป็นคนตั้งชื่อคลีนิคสามัญชนให้กับหลิงหยุน เขาเข้าใจดีว่านางฉินจิวยื่อต้องการให้เป็นคลีนิคธรรมดาทั่วไป หลิงหยุนจึงไม่ต้องการให้มีพิธีเปิดที่เอิกเกริกอะไรมากมาย