โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.415 – โง่

 

เมื่อได้ยินสองคำ ‘ฉินเฟิง’ หลุดออกมา เล่ยหยิงราวกับแมวถูกเหยียบหาง โกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันใด

 

“ฉินเฟิง ใช่แล้ว เรื่องนี้ต้องโทษฉินเฟิง!”

 

เล่ยหยิงได้รับความเสียหายอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นกระสุนที่ทุ่มซื้อไปมากกว่า 100,000 ล้าน ไหนจะสมาชิกกลุ่มเลเวล D เฉพาะของเขาอีกกว่า 20 คน ทั้งหมดล้วนเป็นกระดูกสันหลังของกลุ่มเล่ยถัง

 

กล่าวได้ว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ กระทั่งเล่ยหยิงที่ร่ำรวยและทรงพลัง ก็ยังรู้สึกเจ็บหนัก!

 

แล้วแบบนี้เล่ยหยิงจะไม่โกรธได้อย่างไร?

 

แน่นอน เขาย่อมไม่ยอมรับว่ามันเป็นความผิดพลาดของตนเอง แต่โบ้ยความผิดทั้งหมดไปให้ฉินเฟิง

 

“ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้เด็กนรกนั่นลงมือซ้ำๆ แถมยังถ่ายวิดีโอ อัพโหลดให้คนอื่นๆดู ฉันจะกล้าออกไปลอบโจมตีได้อย่างไร มันสังหารศัตรูด้วยตัวเองได้อย่างง่ายดาย ในวิดีโอจะต้องไม่ใช่สถานการณ์จริง! เขาต้องโกหกแน่นอน!”

 

ซื่อฉิงไร้คำจะกล่าวกับเล่ยหยิง

 

ยังไงก็ตาม ซื่อฉิงก็รู้เช่นกัน ว่าที่ฉินเฟิงเสนอให้ซุ่มโจมตี มันย่อมมิใช่การซุ่มโจมตีเหมือนกับเล่ยหยิงแน่ๆ แบบนี้มันไร้สมองเกินไป

 

“อ่อนแอไม่พอ แต่ยังโง่อีก พอมีอุบัติเหตุขึ้นมาดันปัดความรับผิดชอบ … ” เสียงๆหนึ่งดังขึ้นอย่างช้าๆ

 

ฝูงชนหันมองไปยังทิศทางประตูทางเข้า

 

พร้อมกับแยกซ้าย-ขวา เปิดทางโดยอัตโนมัติ แม้พวกเขาทั้งหมดในที่นี้จะเป็นผู้ใช้พลังเลเวล C

 

แต่ทั้งหมดก็ยังเลือกหลีกทางให้ฉินเฟิง

 

เพราะหากอ้างอิงโดยใช้เล่ยหยิงเป็นตัวเปรียบเทียบ เห็นได้ชัดว่าฉินเฟิงทรงพลังกว่ามาก

 

ตัวตนทรงพลัง คือสิ่งที่ควรค่าแก่การยกย่อง

 

ขณะนี้ ฉินเฟิงกำลังกุมมือไป๋หลี เดินผ่านฝูงชน มาหยุดอยู่เบื้องหน้าเล่ยหยิงและซื่อฉิง

 

มุมปากของฉินเฟิงยกหยัน

 

“เล่ยหยิง อายุอานามก็มากแล้ว แต่ยังมัวทำตัวไร้สาระอยู่อีก กลยุทธง่ายๆพวกนี้มีสอนกันตั้งแต่ในสถาบันระดับสูง ทำไมถึงคิดไม่ได้ แต่เอ~ หรือว่าจริงๆแล้วตอนเด็กๆไม่ตั้งใจเรียน?”

 

ทุกคำของฉินเฟิง ตั้งใจเหน็บแนมอย่างเต็มที่

 

ฝูงชนรอบข้าง พากันระเบิดเสียงหัวเราะลั่นออกมา

 

สถานการณ์ที่เล่ยหยิงถูกฉินเฟิงหาเรื่องเช่นนี้ หากเป็นปกติสมาชิกของกลุ่มเล่ยถังบางคนคงก้าวเข้ามาช่วยออกหน้า

 

อย่างไรก็ตาม ที่นี่คือตึกรับรองผู้ใช้พลัง พวกเขาไม่สามารถเอ่ยวาจาไร้สาระต่อหน้านายพลเลเวล B ได้

 

พวกเขาไม่ได้ไร้สมองถึงขนาดนั้น

 

แน่นอน อันที่จริงเล่ยหยิงก็ไม่ใช่คนไร้สมอง แต่บางทีอาจเป็นเพราะความแค้น บางทีอาจเป็นเพราะความคับข้องใจ มันบังตา เล่ยหยิงจึงเอ่ยอะไรไม่ยั้งคิดแบบนี้ออกมา

 

ช่างน่ารังเกียจเสียจริง!

 

“เอาล่ะ หยุดได้แล้ว” ซื่อฉิงเปิดปาก เขาละความสนใจจากเล่ยหยิง เพราะหากเทียบกับเล่ยหยิงที่เปรียบดั่งตัวตลกแล้ว การสนทนากับฉินเฟิง ดูจะเจริญหู เจริญตากว่ามาก

 

“พวกคุณทั้งหมด ตอนนี้มันใช่เวลาจะมาหัวเราะไหม รู้รึเปล่าว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป?”

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของฝูงชนค่อยๆจางหาย ในหัวใจเริ่มปรากฏความคิดเดียวกันวาบผ่านเข้ามา

 

วินาทีนั้น บนใบหน้าก็มิอาจรักษารอยยิ้มเอาไว้ได้อีกต่อไป

 

“ฉินเฟิง ช่วยลองวิเคราะห์ให้ทุกคนฟังกันหน่อยได้ไหม ว่าสถานการณ์อะไรบ้างที่มีโอกาสเกิดขึ้นในตอนนี้” ซื่อฉิงกล่าวเสียงจม

 

ฉินเฟิงไม่คิดเก็บงำใดๆ

 

“เดิมที หลังจากได้สูญเสียทหารอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสองวัน พวกเผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญาก็น่าจะเกิดความหวาดระแวงในจิตใจ ทำอะไรก็ต้องยั้งคิด ทุกอย่างเป็นไปอย่างล่าช้า แต่ช่างน่าเสียดาย ที่ประธานเล่ยดันเกิดความรู้สึกความชอบธรรม คิดออกไปทำคุณงามความดี ผลสุดท้ายกลายเป็นช่วยให้พวกเผ่าพันธุ์ต่างมิติฉุกคิด และเห็นถึงแสงสว่างแห่งชัยชนะ … เกรงว่าจากนี้ไปพวกมันคงไม่หยุดพัก และคงมาถึงสถานชุมชนที่ 3 ในอีกไม่ช้า !”

 

ช่วงเวลานี้ ใบหน้าของทุกคน ราวกับปรากฏหมอกครึ้มเข้าบดบัง

 

ในความเป็นจริงแล้ว ความแข็งแกร่งของพวกเขา ไม่ได้ดีไปกว่าหวังเจี้ยนหรือเล่ยหยิงมากนัก

 

แต่สุดท้ายหวังเจี้ยนกลับตายลง แล้วพวกเขาเล่าจะรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ได้หรือ?

 

จะทำได้ก็เว้นแต่ว่าต้องออกไปจากที่นี่เท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม การถอยก่อนสงครามจะเริ่มขึ้น มันไม่ต่างจากทหารหนีทัพ พวกเขาลงทะเบียนที่นี่แล้ว หากประวัติไม่ดี อาจได้รับสารเตือนจากพันธมิตรมนุษย์

 

ฉินเฟิงมองไปยังฝูงชนที่เริ่มหน้าเสีย เอ่ยปากอีกครั้งว่า “ด้วยความแข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญา ภายใน 7ชั่วโมง … ไม่สิ น่าจะสัก 5 ชั่วโมง ก็คงมาถึงสถานชุมชนหลงฉวนที่ 3”

 

ซื่อฉิงพยักหน้าเหี้ยมเกรียม “ได้ยินกันแล้วใช่ไหม! ยังมัวเหม่ออะไรกันอยู่อีก! รีบไปเตรียมสู้ซะ!”

 

“ขอรับท่านนายพล!”

 

ทุกย่างก้าวของฝูงชนหนักอึ้ง เดินออกจากตึกรับรองผู้ใช้พลัง

 

เล่ยหยิงเองก็จากไปด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

 

อันที่จริง การที่เขามาให้ข้อมูลแก่ตึกผู้ใช้พลังด้วยความเร่งรีบเช่นนี้ ผลลัพธ์ไม่สมควรถูกหัวเราะเยาะ ความตั้งใจของเขาคือต้องการมาเตือนเรื่องเผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญา หมายจะได้รับรางวัลทางทหารเป็นหมื่นหรือแสนล้านเช่นเดียวกับฉินเฟิง เพื่อชดเชยที่ตนสูญเสียไป

 

แต่ไม่คาดหวังเลย ว่าตนจะถูกตำหนิจนแทบกระอักเลือดเช่นนี้

 

ทั้งยังทำให้เล่ยหยิงไม่กล้าสู้หน้าซื่อฉิงอีกต่อไป!

 

อย่างไรก็ตาม เล่ยหยิงไม่สามารถเก็บมันมาใส่ใจได้ในตอนนี้ เจ้าตัวเรียกระดมคนที่เหลือ กลับไปยังตึกประจำการของตน  เพื่อรักษาบาดแผล

 

สองชั่วโมงต่อมา ณ สถานชุมชนหลงฉวนที่ 3 จู่ๆช่องว่างมิติพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ ตามมาติดๆด้วยสองร่างเงาที่ก้าวออกจากมัน

 

กลิ่นอายของตัวตนทรงพลัง ฟุ้งไปทั่วชั้นอากาศทันที

 

ภายในตึกผู้ใช้พลัง ซื่อฉิงลืมตาขึ้น ผุดลุกจากโซฟา เดินลงบันไดลงไปชั้นล่าง แล้วหยุดยืนรอหน้าประตู ปลดปล่อยกลิ่นอายในทำนองเดียวกัน

 

สองร่างที่ลอยอยู่กลางอากาศ เพียงพริบตาเดียว ก็มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าซื่อฉิง

 

“นายพลซื่อฉิง”

 

“นายพลหวังโจว , นายพลกวงเว่ย!”

 

ทั้งสองฝ่ายทักทายและเชคแฮนด์กัน

 

ขณะเดียวกัน ผู้คนในสถานชุมชนทั้งหมดต่างก็รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจากความผันผวน ว่าสองเลเวล B ที่พันธมิตรมนุษยชาติเรียกตัวมาจากป้อมอื่น ได้มาถึงสถานชุมชนที่ 3 แล้ว

 

เพราะสุดท้าย ที่นี่คือสถานที่เสี่ยงต่อการถูกโจมตีมากที่สุด

 

 

ห้าชั่วโมงต่อมา

 

เผ่ากริมมุ่งหน้าบินตรงมาอย่างต่อเนื่อง

 

พวกมันรวดเร็วเป็นอย่างมาก จากแต่เดิมอยู่สุดขอบเทือกเขาหลงฉวน ปัจจุบันบินต่อมาอีกสักเล็กน้อยก็สามารถมองเห็นสถานชุมชนหลงฉวนที่ 3 ได้แล้ว

 

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ เข็มสั้นของนาฬิกาได้มาถึงเลข 8 –ฟ้ามืดลงเสียก่อน

 

แม้ปัจจุบัน สภาพอากาศจะอยู่ในช่วงฤดูร้อน แต่เป็นเวลานี้ สุดท้ายก็มืดอยู่ดี

 

พอฟ้ามืด พวกกริมก็พาลย้อนนึกไปเรื่องไม่ดีต่างๆนาๆ

 

แม้จะเพิ่งได้รับชัยชนะมาในช่วงเช้า แต่สุดท้าย ต้องไม่ลืมนะว่าในบรรดาพวกทาส ยังมีตัวตนอันน่าหวาดกลัวแอบแฝงอยู่

 

“พักผ่อนกันก่อนเถิด รอให้ผ่านค่ำคืนนี้ไป เมื่อฟ้าสาง พวกเราค่อยเร่งบุกไปข้างหน้าต่อ”

 

“นั่นสิ เป็นข้อเสนอที่ไม่เลว”

 

“ข้าไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้ว บ้าจริง ขอออกไปหาอะไรกินหน่อยล่ะ”

 

“ข้าไปด้วย เพราะหากคิดสู้ศึก ต้องมีอะไรรองท้อง ใครจะรู้ พวกทาสชนพื้นเมืองอาจไม่มีอาหารให้พวกเรากินก็ได้”

 

กริมตนหนึ่งเอ่ยในสิ่งที่คิดจะทำ ด้วยความแข็งแกร่งของมัน ย่อมสามารถจับสัตว์ร้ายในเทือกเขาหลงฉวนมาได้อย่างง่ายดาย

 

แต่การจัดสรรอาหารสำหรับ 6,500 ตน มันไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยเลย ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่ายิ่งแข็งแกร่ง ก็ยิ่งอยากอาหาร ปริมาณอาหารที่ต้องรับประทานย่อมมากกว่าปกติ

 

เผ่ากริมหยุดตราทัพ เริ่มตั้งค่าย

 

อีกด้านหนึ่ง เมื่อเทียบกับเผ่ากริมที่ยังไม่ค้นพบสถานชุมชนที่ 3 ที่อยู่ห่างออกมาแค่ 20 กิโลเมตรแล้ว รอบสถานชุมชน มีการจัดเตรียมโดรนเอาไว้เป็นจำนวนมาก และเป็นฝ่ายมนุษย์ที่ค้นพบพวกมันก่อน

 

ท้ายที่สุดแล้ว ระยะทาง 20 กิโลมเตร สำหรับตัวตนทรงพลัง ขอเวลาแค่ 10 นาทีก็ไปถึง สถานชุมชนที่ 3 จึงเริ่มจัดทัพเฝ้าระวังเป็นที่เรียบร้อย

 

ทุกคนต่างประหม่า หันมองไปทางใครก็เจอพบกับท่าทีกังวล

 

เนื่องจากบนอุปกรณ์สื่อสารของพวกเขา มันกำลังเผยให้เห็นถึงจำนวนของเผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญา

 

บนแผนที่ในอุปกรณ์สื่อสาร กำลังแสดงถึงเครื่องหมายสีม่วงกระจุกตัวกันอย่างแน่นหนา สีม่วงคือตัวแทนของระดับนายพล และอีกอย่างที่ปรากฏชัดต่อหน้าพวกเขาก็คือ

 

6,000 กว่าตน!

 

ตัวเลขนี้ น่าหวาดกลัวเกินไป

 

แบบนี้ต่อให้มีผู้ใช้พลังเลเวล B อยู่ด้วย ทั้งหมดต่างก็ยังรู้สึกว่า สถานชุมชนที่ 3 ภายในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง คงถึงคราวล่มสลาย กลายเป็นทุ่งสังหาร

 

ช่วงเวลานี้ เหล่าผู้ใช้พลัง ต่างบังเกิดความรู้สึกเสียใจ ที่ไม่หลบหนีไปในตอนที่ยังมีโอกาส

 

**กลับมาทันเลยลงให้ครับ