บทที่ 56 การพบกันของศิษย์ร่วมอาจารย์[รีไรท์] EnjoyBook
บทที่ 56 การพบกันของศิษย์ร่วมอาจารย์[รีไรท์]
ชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือชายผู้ที่จ้าวปาเทียน ปู่ของจ้าวเหมิงลู่ส่งมาเพื่อให้หาข้อมูลเกี่ยวกับหลิงตู้ฉิง
ชื่อของเขาคือ เฮ่อเจี้ยนปิง
เฮ่อเจี้ยนปิงเข้าเมืองฟีนิกซ์และมุ่งตรงไปยังคฤหาสน์ของเจ้าเมืองเมืองฟีนิกซ์ทันที
เจ้าเมืองฟินิกซ์ผู้นี้มีนามว่า หยิงหวูเจี้ยง
เมื่อพบว่าเฮ่อเจี้ยนปิงได้มาถึงคฤหาสน์ หยิงหวูเจี้ยงก็ออกมาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น เขารีบพาเฮ่อเจี้ยนปิงไปยังโถงรับแขก จากนั้นสั่งให้บ่าวรับใช้เตรียมสุราพร้อมกับอาหารชั้นยอดไว้มากมาย
เมื่อพวกเขาทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะ หยิงหวูเจี้ยงจึงเริ่มเอ่ยถาม “ศิษย์พี่ ลมอะไรหอบท่านมาถึงที่นี่ ท่านไม่ได้ติดตามท่านอาจารย์อยู่ที่เมืองหลวงงั้นเหรอ?”
เฮ่อเจี้ยนปิงหัวเราะ “อาจารย์ขอให้ข้ามาเมืองฟีนิกซ์เพื่อตรวจสอบเรื่องหนึ่ง แต่ข้าคิดว่าเมืองฟีนิกซ์อยู่ในความดูแลของเจ้า ดังนั้นข้าจึงมาหาเจ้าก่อน”
หยิงหวูเจี้ยงถามด้วยความสับสน “ตรวจสอบเรื่องอะไรกันเหรอ?”
“หลานสาวของอาจารย์เดินทางมาถึงเมืองฟีนิกซ์เมื่อไม่นานมานี้และได้พบบุคคลที่พิเศษมาก หลังจากนั้นนางเล่าเรื่องนี้ให้ท่านอาจารย์ฟังและแนะนำให้ท่านอาจารย์ชักชวนคนผู้นี้มาเป็นครูที่สถาบันราชวงศ์ของเรา ท่านอาจารย์คิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจอย่างมากจึงสั่งให้ข้ามาตรวจสอบประวัติบุคคลคนนี้”
“บุคคลผู้นี้มีชื่อว่าหลิงตู้ฉิง ข้าหาข้อมูลมาแล้วนิดหน่อยพบว่า แซ่ ‘หลิง’ เป็นแซ่ที่มีคนใช้กันไม่มาก อีกอย่างในรายชื่อแม่ทัพใหญ่ของอาณาจักรเราก็มีแม่ทัพใหญ่ผู้หนึ่งชื่อ หลิงเจิ้งสง เขามีแซ่เดียวกับหลิงตู้ฉิง ข้าไม่แน่ใจว่าพวกเขาเป็นญาติกันหรือไม่ เจ้าพอจะรู้เกี่ยวกับประวัติคน ๆ นี้แบบชัดเจนหรือเปล่า?”
เมื่อได้ยินคำถามเกี่ยวกับหลิงตู้ฉิง หยิงหวูเจี้ยงยิ้มและยกจอกเหล้าขึ้นคำนับไปที่เฮ่อเจี้ยนปิง เขาจิบสุราแล้วพูดว่า “ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ข้าเกรงว่าคงไม่สามารถตอบคำถามของศิษย์พี่ได้ แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นและเหตุการณ์ที่เกิดมันก็เกี่ยวพันกับหลิงตู้ฉิงผู้นี้พอดี อย่างแรกเลยชื่อของบุคคลนี้ไม่ใช่หลิงตู้ฉิง จริง ๆ แล้วพ่อของเขาตั้งชื่อให้เขาว่า หลิงหวูฉิง(ไร้ใจ) เขาเพิ่งเปลี่ยนชื่อตัวเองเมื่อไม่นานมานี้”
“สำหรับหลิงตู้ฉิง เขามีสถานะเป็นหลานชายของแม่ทัพใหญ่หลิงเจิ้งสง เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้วลูกชายคนรองของแม่ทัพใหญ่หลิงเจิ้งสงเดินทางมาที่เมืองฟีนิกซ์เพื่อลงหลักปักฐาน หลังจากอยู่ที่นี่ได้ 5 ปี พวกเขาก็ได้ให้กำเนิดหลิงตู้ฉิง แต่โชคร้าย หลิงตู้ฉิงไม่สามารถบำเพ็ญเพียรได้ ดังนั้นแม่ทัพใหญ่หลิงเจิ้งสงจึงไม่เคยให้ความสนใจกับเขา ส่วนพ่อแม่ของหลิงตู้ฉิงก็ไม่เคยกลับไปที่คฤหาสน์ของแม่ทัพใหญ่หลิงเจิ้งสงเช่นกัน”
“แม้ว่าหลิงตู้ฉิงคนนี้จะบำเพ็ญเพียรไม่ได้ แต่เขาก็มีน้ำใจดีมาก หลังจากที่เขาโตเป็นผู้ใหญ่ เขาก็รับเด็กกำพร้า 7 คนติดต่อกัน ทำให้เขาพอจะมีชื่อเสียงในเมืองฟีนิกซ์อยู่บ้าง”
“ 3 ปีที่แล้วพ่อแม่ของหลิงตู้ฉิงหายไป มีคนส่งจดหมายบอกเขาว่าพวกเขาตายไปแล้ว แต่สาเหตุการตายก็ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าตายลงเพราะอะไร”
“หลังจากการหายไปของเสาหลักครอบครัว เรือนหลิงก็ตกอยู่ในความยากลำบาก หลิงตู้ฉิงที่ไม่สามารถบ่มเพาะพลังได้และไม่มีความสามารถอื่น ๆ เขาก็เริ่มขายทรัพย์สินของเรือนหลิงจนเกือบหมดเพื่อซื้ออาหารประทังชีวิตครอบครัวของเขา”
เมื่อมาถึงจุดนี้ หยิงหวูเจี้ยงหยุดครู่หนึ่งยกจอกเหล้าขึ้นแล้วพูดกับเฮ่อเจี้ยนปิงว่า “ศิษย์พี่ดื่ม!”
เฮ่อเจี้ยนปิงดื่มสุราในจอกหมดในอึกเดียวหลังจากวางจอกเขาพูดด้วยอารมณ์ขัดข้อง “หากฟังจากที่เจ้าเล่ามา หลิงตู้ฉิงคนนี้ก็นับได้ว่าเป็นคนที่ไม่เลว แต่มันก็ยังห่างไกลจากข้อมูลที่ท่านอาจารย์ได้รับมาจากปากของหลานสาวของท่านอยู่ไกลโข”
หยิงหวูเจี้ยงยิ้มและพูดว่า “งั้นข้าจะพูดต่อถึงเรื่องของเขา ในช่วงเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา หลิงตู้ฉิงผู้ไม่สามารถบำเพ็ญเพียร จู่ ๆ กลับมีพลังวิญญาณอันแข็งแกร่ง ไม่มีใครรู้ว่าเขาเริ่มบำเพ็ญเพียรได้อย่างไร แต่ครั้งแรกที่เขาแสดงความสามารถของเขาออกมาคือการทำร้ายเจิ้นสีชวง อาจารย์ผู้ดูแลการทดสอบเข้าสถาบันหงส์เพลิงจนหมดสติ ณ ลานทดสอบเข้าสถาบัน แถมอาจารย์ผู้นี้ยังเป็นบุตรชายของเจิ้นฟูเห่า ผู้บัญชาการกองทัพทมิฬที่มีชื่อเสียงของอาณาจักรเรา”
“หืม?” เฮ่อเจี้ยนปิงเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ
หยิงหวูเจี้ยงยิ้มเมื่อเห็นอาการประหลาดใจของศิษย์พี่ของเขา เขาจึงเล่าต่อ “เหตุการณ์ในวันนั้น มีสาเหตุมาจากบุตรชายคนโตของหลิงตู้ฉิงถูกทำให้อับอายโดยเจิ้นสีชวง เมื่อหลิงตู้ฉิงเห็นภาพบุตรชายตนเองถูกรังแกจึงโกรธขึ้นมาและสั่งสอนเจิ้นสีชวงจนสิ้นท่า เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้แม้แต่ชายชรา ผู้เป็นอธิการบดีของสถาบันหงส์เพลิง ตู้เหลยโตว ยังต้องปรากฏตัวขึ้นเพื่อดูแลความสงบ”
“ตอนนั้นระดับการบ่มเพาะลูกชายของเจิ้นฟูเห่าอยู่ที่ขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 9 ในขณะที่หลิงตู้ฉิงอยู่ในขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 2 ข้าให้ศิษย์พี่ลองเดาว่าหลิงตู้ฉิงใช้กี่กระบวนท่าในการทำให้เจิ้นสีชวงหมดสติ”
หยิงหวูเจี้ยงยิ้มเมื่อเขามองไปที่เฮ่อเจี้ยนปิง
เฮ่อเจี้ยนปิงขมวดคิ้วและพูดว่า “นี่มันเป็นไปไม่ได้! ความแตกต่างของระดับการบ่มเพาะมากถึง 7 ระดับและหลิงตู้ฉิงก็น่าจะเพิ่งเริ่มบ่มเพาะได้ไม่นาน เขาไม่ควรเอาชนะเจิ้นสีชวงได้เลย”
หยิงหวูเจี้ยงเหยียดนิ้วขึ้น 1 นิ้ว แสดงให้เฮ่อเจี้ยนปิงเห็นและพูดว่า “แค่กระบวนท่าเดียว!”
“หะ! มันเป็นไปได้อย่างไร?” เฮ่อเจี้ยนปิงอุทานเสียงหลงด้วยความประหลาดใจ “แค่กระบวนท่าเดียวเนี่ยนะ!?”
“ไม่ผิด ตอนนั้นมีคนมากมายที่รอเข้ารับการทดสอบ ข้าได้ส่งคนไปสอบถามพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทุกคนล้วนพูดตรงกันหมดไม่มีผิดเพี้ยน!” หยิงหวูเจี้ยงส่ายหัวแล้วพูดว่า “น่าเสียดายจริง ๆ ที่ในวันนั้นข้าไม่ได้เห็นกับตาตนเอง หลังจากนั้นไม่กี่วัน หลิงตู้ฉิงออกจากเมืองฟีนิกซ์ไปเป็นเวลา 2 วัน ขากลับก็นำหญิงสาวคนหนึ่งกลับมา ผู้หญิงคนนั้นน่าจะเป็นหลานสาวของอาจารย์เรา”
“แล้วยังไงต่อ?” เฮ่อเจี้ยนปิง ถาม
“ต่อมา…หลังจากนั้นไม่นานหลิงตู้ฉิงปรากฏตัวอีกครั้ง รอบนี้มีผู้คนเห็นว่าหลิงตู้ฉิงปรากฎตัวพร้อมกับลูก ๆ ของเขาและผู้คุ้มกันอีกจำนวนหนึ่ง พวกเขาถูกโจมตีโดยกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตถึง 3 คน! แต่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นหลิงตู้ฉิงไม่ได้ออกแรง เขาเป็นเพียงแค่คนสั่งให้บรรดาผู้คุ้มกันรับมือกับกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตแทน”
“เหตุการณ์นั้นจึงยังไม่มีใครเอะใจอะไรถึงความสามารถหลิงตู้ฉิง แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน มีคนเห็นหลิงตู้ฉิงและพ่อบ้านของเขาเข้าไปที่หอมรกตแดงในช่วงค่ำ ด้วยโชคชะตาดลบันดาลหรืออะไรก็แล้วแต่ คู่อริของหลิงตู้ฉิง เจิ้นสีชวงได้อยู่ที่นั่นเช่นเดียวกัน เมื่อเจิ้นสีชวงทราบข่าวถึงการมาของหลิงตู้ฉิง เขาจึงแอบตามบรรดาผู้เชี่ยวชาญของตระกูลเจิ้นมาล้อมสังหารหลิงตู้ฉิง”
“ในคืนนั้นคนจำนวนมากที่อยู่ในหอมรกตแดงล้วนเห็นหลิงตู้ฉิงลงมือกันทุกคน สำหรับรายละเอียดเหตุการณ์ในวันนั้น ศิษย์พี่ลองอ่านมันด้วยตัวเองก็แล้วกัน” เมื่อพูดจบหยิงหวูเจี้ยงก็ยื่นเอกสารฉบับหนึ่งให้เฮ่อเจี้ยนปิงอ่าน
เมื่อเฮ่อเจี้ยนปิงรับเอกสารมาเปิดอ่าน ยิ่งเขาอ่านข้อมูลไปเท่าไหร่คิ้วเขาก็เริ่มขมวดเข้าหากันมากเท่านั้น เขาพึมพำกับตัวเองว่า “นี่มันไม่น่าเชื่อเลย”
หยิงหวูเจี้ยงส่ายหัวและพูดด้วยเสียงถอนหายใจ “ศิษย์พี่ ถ้าในเอกสารที่ท่านอ่านนั่นไม่น่าเชื่อแล้ว ท่านลองฟังเรื่องของบุคคลผู้นี้อีกเรื่องก่อน”
หยิงหวูเจี้ยงยกจอกเหล้าขึ้นมากระดกอีกอึกจากนั้นจึงเริ่มเล่าต่อ “หลังจากที่ข้าได้อ่านรายงานฉบับนี้ ข้ารู้สึกสงสัยในตัวของหลิงตู้ฉิงเป็นอย่างมาก ข้าจึงได้ส่งคนไปเฝ้าจับตาดูความเคลื่อนไหวของเขาที่ตระกูลหลิง และในเมื่อวาน คนของข้าได้รายงานมาว่าเขาได้เห็นผู้เชี่ยวชาญจากกลุ่มเสื้อคลุมโลหิต 8 คนบุกเข้าไปในเรือนหลิง และจากนั้นที่ทั้ง 8 คนเข้าไป มีเพียง 7 คนที่ออกมา แต่ 7 คนที่ออกมานั้นถูกทำให้เป็นศพไปแล้วด้วยฝีมือของคนในเรือนหลิง…”
“ศิษย์พี่ คนที่ข้าส่งไปจับตาดูเรือนหลิงนั้นอยู่ในขอบเขตควบแน่นลมปราณ คนของข้าสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า กลุ่มเสื้อคลุมโลหิตทั้ง 8 คน มีจำนวน 5 คนอยู่ในระดับจุดสูงสุดขอบเขตควบแน่นลมปราณแน่นอน ส่วนอีก 3 คน คนของข้าไม่สามารถมองทะลุระดับบ่มเพาะได้ ซึ่งมีความเป็นไปได้เดียวคืออีก 3 คนล้วนอยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณ…”
เมื่อเล่าจบถึงตรงนี้ หยิงหวูเจี้ยงยักไหล่และแบมือขึ้น สีหน้าแสดงออกถึงอารมณ์ประมาณว่า ‘ข้าก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน’
ในความเป็นจริง หยิงหวูเจี้ยงก็สับสนมากเช่นกัน หลิงตู้ฉิงผู้นี้มีความสามารถขนาดนี้ได้อย่างไร? ทำไมในเวลาแค่เพียงเดือนเดียวระดับการบ่มเพาะเขาไปถึงขอบเขตควบแน่นลมปราณได้แล้ว?
แต่การเป็นผู้บ่มเพาะในขอบเขตควบแน่นลมปราณภายในเวลา 1 เดือน บรรดาอัจฉริยะทั้งหลายก็สามารถทำมันได้ นี่มันยังไม่ใช่เรื่องที่หาคำอธิบายไม่ได้
แต่ไอ้เรื่องที่มันหาคำอธิบายไม่ได้คือ ความแข็งแกร่งที่หลิงตู้ฉิงแสดงออกมา มันไม่ใช่ความแข็งแกร่งของขอบเขตควบแน่นลมปราณจะมีได้!
หยิงหวูเจี้ยงสงสัยอย่างหนักว่าทำไมจึงมีคนแปลก ๆ เช่นนี้ในเมืองของเขา
เฮ่อเจี้ยนปิงที่กำลังงงงวยกับเรื่องราว หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถามหยิงหวูเจี้ยงว่า “แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป?”
หยิงหวูเจี้ยงส่ายหัวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “ข้าจะทำอะไรได้ล่ะศิษย์พี่? อ๋อ ใช่แล้ว มีอีกเรื่องหนึ่ง ไม่นานมานี้ได้มีข่าวว่าหลิงตู้ฉิงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลมี่ไม่น้อย พวกเขาไปมาหาสู่กันหลายครั้งหลายครา ความสัมพันธ์ดีจนถึงขนาด มี่ตั้วตั้วผู้นำตระกูลมี่ส่งบุตรสาวของเขาเองเข้าไปทำงานในเรือนหลิงเลยทีเดียว”
เมื่อฟังจบ เฮ่อเจี้ยนปิงไม่ได้ใส่ใจเรื่องราวของบุตรสาวตระกูลมี่สักเท่าไหร่ ตอนนี้สิ่งที่เขาสนใจมีเพียงแค่หลิงตู้ฉิงเท่านั้น
“ดูเหมือนว่าอาจารย์คิดถูกแล้วที่ขอให้ข้ามาตรวจสอบเขา” เฮ่อเจี้ยนปิงพยักหน้าและพึมพำ “ดูเหมือนว่าข้าต้องหาเวลาไปเยี่ยมและทำความรู้จักกับเขาตัวต่อตัวสักหน่อย”