ตอนที่ 330 กินข้าวครั้งที่สอง
ตอนที่ 330 กินข้าวครั้งที่สอง

เย่หมิงเป่ยไม่ได้รับรู้ถึงความคิดของโจวหมิ่น ภายในใจเอาแต่คิดว่าการเจอหน้ากันครั้งที่สองจะพูดเกลี้ยกล่อมอย่างไรให้คุณเฉิงยอมให้สถานที่ในราคาที่เหมาะสม

 

เพียงไม่นานก็มาถึงการเจอหน้ากันเป็นครั้งที่สอง หลังจากผ่านการคุยเล่นตลอดช่วงเช้า ในที่สุดเย่หมิงเป่ยก็ได้สถานที่ในราคาที่สูงกว่าที่คิดไว้นิดหน่อย จากนั้นก็ถึงเวลาอาหารเย็นอีกครั้ง

“คุณเย่คะ ครั้งก่อนคุณเลี้ยงอาหารฉันแล้ว ครั้งนี้ก็ควรให้ฉันได้เลี้ยงอาหารคุณตอบแทนสักมื้อนะคะ” คุณเฉิงยิ้มหวาน

 

เย่หมิงเป่ยตอบปฏิเสธ “ขอบคุณคุณเฉิงมากนะครับ แต่ไม่ต้องหรอกครับ พอดีผมยังมีธุระ ขอตัวกลับก่อนนะครับ”

คุณเฉิงยังคงกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “คุณเย่ฟังที่ฉันพูดก่อนสิคะ ฉันเองก็รับผิดชอบทรัพย์สินของอาคารแห่งนี้ด้วย คุณจัดแฟชั่นโชว์ก็คงต้องตกแต่งอยู่แล้ว การตกแต่งอาคารพาณิชย์มีหลายแง่มุมมากเลยนะคะ หนึ่งในนั้นก็คือการป้องกันอัคคีภัยที่เป็นเรื่องสำคัญมาก ฉันอยากให้พวกเราคุยกันให้ดีก่อนค่ะ แบบนี้คุณก็จะได้เตรียมตัวก่อนที่จะออกแบบด้วย”

 

เย่หมิงเป่ยทราบเรื่องการป้องกันอัคคีภัย ครั้งก่อนตอนที่หาสถานที่จัดแฟชั่นโชว์ก็เจอปัญหานี้เช่นกัน ตอนนั้นพูดคุยนิด ๆ หน่อย ๆ ก็แก้ปัญหาได้แล้ว สถานที่ในครั้งนี้แม้ว่าจะใหญ่สักหน่อย แต่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เวลามื้ออาหารหนึ่งมื้อในการพูดคุยหรอก

“การป้องกันอัคคีภัยโดยพื้นฐานตึกของพวกคุณก็น่าจะมีหมดแล้ว ตอนที่พวกเราตกแต่ง ติดตั้งระบบสปริงเกอร์ดับเพลิงไว้ก็เรียบร้อยแล้วครับ เรื่องนี้ผมทราบดี ก่อนหน้านี้เคยทำมาก่อนแล้ว” เย่หมิงเป่ยพูดด้วยความเกรงใจ

คุณเฉิงพยักหน้า “แบบนั้นก็เยี่ยมเลยค่ะ แต่ว่า ระบบสปริงเกอร์ดับเพลิงให้พวกเราตัดสินใจก็แล้วกันนะคะ พวกคุณออกเงินนิดหน่อยก็พอ นี่ก็เป็นเพราะคำนึงถึงความปลอดภัย ดังนั้นในระยะแรกเราจึงต้องพูดคุยกันถึงรูปแบบการตกแต่งแบบเฉพาะเจาะจงสักหน่อย ถึงยังไงสิ่งนี้ก็เกี่ยวข้องกับเรื่องของเพดาน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสไตล์การตกแต่งโดยภาพรวมของพวกคุณ”

การแสดงออกของคุณเฉิงมีความเป็นมืออาชีพมาก พูดคุยถึงเรื่องใหญ่อย่างความปลอดภัยจากอัคคีภัยและอื่น ๆ ไปยกใหญ่ ท้ายที่สุดจึงมองนาฬิกาข้อมือและกล่าวว่า “สวรรค์ สายขนาดนี้แล้ว คุณเย่ไปเถอะค่ะ ฉันเลี้ยงข้าวคุณเอง พวกเรานั่งกินข้าวแล้วก็พูดคุยไปพลางเถอะนะคะ ช่วงบ่ายฉันยังมีธุระต่อ พวกเรารีบสรุปเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเถอะค่ะ แบบนี้จะได้ไม่รบกวนเวลาในการตกแต่งของคุณให้ล่าช้าด้วย”

  

อีกฝ่ายพูดมาถึงขั้นนี้แล้ว เย่หมิงเป่ยจะปฏิเสธได้เหรอ แม้แต่ภายในใจจะไม่เต็มใจ แต่ก็ยังตามหล่อนไปกินข้าวอยู่ดี

ครั้งนี้คุณเฉิงเลือกร้านอาหารจีนแห่งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าต้องการดูแลเย่หมิงเป่ย

ในที่สุดก็ไม่ต้องใช้ช้อนและส้อมแล้ว เย่หมิงเป่ยรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว

“ครั้งนี้ฉันเลี้ยงคุณเย่เองค่ะ คุณสั่งอาหารสิคะ?” คุณเฉิงยื่นเมนูอาหารให้เย่หมิงเป่ย

เย่หมิงเป่ยเป็นคนง่าย ๆ เขาสั่งกับข้าวมาหนึ่งอย่างและข้าวสวยอีกหนึ่งถ้วย เขาย่อมไม่สั่งของแพงจนทำให้ฝ่ายหญิงเสียค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว

คุณเฉิงเห็นอาหารที่เย่หมิงเป่ยสั่งก็ยิ้มออกมา “คุณเย่ช่วยประหยัดเงินแทนฉันเหรอคะ? ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันมีความสามารถเลี้ยงอาหารคุณได้หนึ่งมื้อ สั่งอาหารเพิ่มอีกสักสองสามอย่างเถอะค่ะ”

 

“ไม่ต้องหรอกครับ แค่นี้ก็พอแล้ว สั่งมาเยอะ ๆ กินไม่หมดเปลืองแย่เลย” เย่หมิงเป่ยกล่าวขอบคุณ

คุณเฉิงยังยืนกรานที่จะสั่งอาหารเพิ่มอีกสามอย่างจนกลายเป็นสี่อย่าง นอกจากนี้ยังสั่งเมนูซุปมาอีกหนึ่งอย่างด้วย

“คุณเย่ไม่ต้องเป็นกังวลนะคะ สั่งเป็นจานเล็กมา พวกเรากินหมดอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลว่าจะสิ้นเปลืองหรอกค่ะ” คุณเฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ความมีน้ำใจของคุณเฉิง ทำให้เย่หมิงเป่ยอารมณ์ดีขึ้นมาก เพราะเขาทนไม่ได้จริง ๆ กับฉากที่ต้องทิ้งอาหารเพราะกินไม่หมด

“ขอบคุณคุณเฉิงมากนะครับที่เข้าใจ” เย่หมิงเป่ยยิ้ม

 

คุณเฉิงเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของเย่หมิงเป่ย จึงกล่าวเคล้ารอยยิ้มว่า “คุณเย่เป็นคนขยันและประหยัด นี่ถือเป็นคุณธรรมที่ดีเลยนะคะ น่าเสียดายที่คนจำนวนมากต่างก็คิดว่านี่เป็นการแสดงออกที่ล้าสมัย”

เย่หมิงเป่ยกล่าว “กินอิ่มไปสองสามวันก็ลืมช่วงเวลาที่หิวโหยแล้ว”

“นั่นสิคะ!” คุณเฉิงพูดเข้ากันได้เป็นอย่างดี “คุณเย่ดื่มเหล้าไหมคะ?”

“ไม่ล่ะครับ เชิญคุณเฉิงตามสบายเลย” เย่หมิงเป่ยพูดอย่างมีมารยาท

 

คุณเฉิงส่ายหน้า “ฉันเองก็ไม่ชอบดื่มเหล้าเหมือนกันค่ะ แต่งานบางครั้งก็ต้องดื่ม ในเมื่อคุณเย่ไม่ดื่ม ถ้างั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ อีกเดี๋ยวพวกเราดื่มซุปแทนก็ได้”

 

เมื่ออาหารถูกนำมาเสิร์ฟ คุณเฉิงก็แสดงความกระตือรือร้นอย่างมาก หล่อนใช้ตะเกียบส่วนรวมคีบอาหารให้เย่หมิงเป่ย ทั้งยังตักน้ำซุปให้ด้วยตัวเอง ทำให้เย่หมิงเป่ยรู้สึกเกร็งมาก “คุณเฉิง ให้ผมจัดการเองดีกว่าครับ”

คุณเฉิงกลับพูดว่า “ตอนนี้คุณเป็นลูกค้าของฉันนะคะ เป็นคนที่ฉันต้องพึ่งพาในการใช้ชีวิต ฉันต้องดูแลคุณให้ดีค่ะ”

เย่หมิงเป่ยยิ้ม “คุณเฉิงพูดเกินไปแล้วครับ”

“จริง ๆ นะคะ เงินเดือนแต่ละเดือนของฉันส่วนใหญ่ก็มาจากค่าส่วนกลางที่ลูกค้าแบบพวกคุณจ่ายให้นี่แหละค่ะ ถ้าไม่ใช่คนที่พึ่งพาในการใช้ชีวิตจะให้เรียกว่าอะไรคะ?” คุณเฉิงกล่าว “คุณเย่ ลองชิมปลานี้ดูนะคะ เป็นปลานึ่ง อร่อยมากเลยค่ะ”

 

ความตรงไปตรงมาและความใจกว้างของคุณเฉิงยิ่งทำให้เย่หมิงเป่ยรู้สึกดีมากขึ้น ทำให้เขาพูดเยอะขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังแลกเปลี่ยนชื่อของกันและกันด้วย

 

คุณเฉิงชื่อเฉิงหลิงซู่ ตอนที่พูดชื่อของตัวเอง คุณเฉิงยังถามด้วยรอยยิ้มว่า “ชื่อของฉันดังมากเลยนะคะ คุณเคยได้ยินหรือเปล่า?”

เย่หมิงเป่ยไม่เข้าใจ ส่ายหน้าพูดว่า “เป็นคนดังเหรอครับ ขอโทษด้วยนะครับ ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

คุณเฉิงหัวเราะ “เป็นคนดังสิคะ แต่ไม่ใช่คนดังในชีวิตจริงหรอกนะคะ เป็นคนดังในนิยายน่ะค่ะ”

คนดังในนิยายเย่หมิงเป่ยยิ่งไม่รู้จักเข้าไปใหญ่ หลังจากเขามาอยู่ในเมืองหลวงก็เอาแต่อ่านหนังสือการจัดการและเสื้อผ้ามาโดยตลอด พื้นฐานอ่อนแอ เรียนเรื่องเหล่านี้เวลาก็ไม่พออยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการอ่านนิยายเลย

 

เย่หมิงเป่ยส่ายหน้า “ผมไม่มีเวลาอ่านนิยายเลยครับ แต่เคยฟังผิงซู [1] ครับ”

“ผิงซูเหรอคะ ฉันเองก็ชอบฟังเหมือนกัน” คุณเฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ชื่อของฉันกับ…ช่างเถอะค่ะ เอาไว้ครั้งหน้าฉันค่อยเอานิยายเล่มนั้นมาให้คุณดีกว่า ไว้คุณไปอ่านเองนะคะ ฉันกล้าพูดได้เลยว่าคุณต้องชอบนิยายเล่มนั้นแน่นอน!”

เย่หมิงเป่ยเกิดความสงสัยใคร่รู้ “นิยายอะไรเหรอครับ?”

 

“ไม่ต้องห่วงค่ะ ไม่ใช่นิยายรักแน่นอน” คุณเฉิงพูดทีเล่นทีจริง

เย่หมิงเป่ยแอบรู้สึกเคอะเขิน จึงวนกลับไปคุยถึงเรื่องการป้องกันอัคคีภัย

คุณเฉิงพูดคล้อยตาม “คุณเย่ คุณลองพูดไอเดียตกแต่งของคุณหน่อยสิคะ”

เย่หมิงเป่ยกล่าว “เรื่องนี้คงต้องไปหานักออกแบบน่ะครับ แล้วก็รอฟังความเห็นจากพวกเขา”

คุณเฉิงกล่าว “งั้นคุณเย่ลองฟังไอเดียของฉันดูนะคะ ฉันเองก็ดูแฟชั่นโชว์เหมือนกัน แถมยังเคยไปมาสองสามงานแล้วด้วย ในบรรดางานเหล่านั้นทำออกมาได้ทันสมัยมากเลยค่ะ แต่ส่วนใหญ่จัดแบบประหยัดงบไปหน่อย แน่นอนค่ะ สิ่งที่คนมาดูก็คือแฟชั่นไม่ใช่สถานที่ แต่ฉันคิดว่าบรรยากาศที่ทันสมัยสักหน่อย ก็ช่วยดึงความทันสมัยของแฟชั่นออกมาได้ คุณคิดว่าไงคะ?”

 

เย่หมิงเป่ยไม่คิดว่าเสื้อผ้าแฟชั่นเหล่านั้นทันสมัย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสถานที่จัดงาน แต่ก็พยักหน้าตอบไปว่า “คุณเฉิงพูดถูกครับ”

“งั้นฉันลองบอกไอเดียของฉันให้ฟังนะคะ”

 

พูดคุยกันครั้งนี้ใช้เวลาไปหลายชั่วโมง ระยะเวลาในการกินข้าวครั้งนี้นานกว่าครั้งก่อนหนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ เย่หมิงเป่ยอยากพูดแทรกอยู่หลายครั้ง แต่ก็ถูกวาทศิลป์ของคุณเฉิงหยุดไว้ ท้ายที่สุดก็เป็นหล่อนที่อุทานว่าสายแล้ว ต้องไปเข้างานแล้ว การสนทนาจึงสิ้นสุดลง

เย่หมิงเป่ยก็หมดคำพูดเช่นกัน คุณเพิ่งรู้ตัวเหรอ อีกอย่าง คุณเฉิงคนนี้ช่างเจรจาเกินไปหน่อยมั้ง? เป็นคนพูดมากคนหนึ่งเลย!

หลังจากทั้งคู่แยกกัน เย่หมิงเป่ยก็รีบกลับไปทันที

“หมินหมิ่น ผมได้สถานที่นั้นมาแล้วนะ!” เย่หมิงเป่ยตื่นเต้นมาก

โจวหมิ่นเห็นท่าทางของสามี หล่อนหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวเคล้ารอยยิ้มว่า “ดูเหมือนว่าคงจ่ายเงินไปไม่มากสินะ”

“ราคาสูงกว่าที่พวกเราคาดการณ์ไว้นิดหน่อย” เย่หมิงเป่ยพูดถึงราคา

เย่หมิงเป่ยพยักหน้า “ดูเหมือนว่าคุณเฉิงคนนั้นคงจริงใจน่าดูเลย”

…………………………………………………………………………………..

[1] ผิงซู (评书) เป็นศิลปะการเล่าเรื่องด้วยปากเปล่า โดยผู้เล่าจะมีพัด ผ้าเช็ดหน้า โต๊ะไม้ และไม้เคาะ เพื่อใช้เคาะโต๊ะดึงดูดความสนใจของผู้ฟัง เรื่องที่เล่ามีทั้งประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม วรรณคดี บุคคลสำคัญ และอื่น ๆ

สารจากผู้แปล

ดูชัดมากว่าตั้งใจจะจับหมิงเป่ย ว่าแต่เขียนนิยายแนวไหนเหรอ คงไม่ใช่แนวฆาตกรรมหรือแนวปกขาวหรอกใช่ไหม

ไหหม่า(海馬)