ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 286 ในบรรดามหาปรมาจารย์ ข้านี่แหละไร้เทียมทาน

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนตี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย สัมผัสการเปลี่ยนแปลงของมหาค่ายกลนภา รู้สึกได้ว่าอำนาจควบคุมค่ายกลกำลังเคลื่อนย้ายไปยังซินตงผิง

ซินตงผิงมองจ้องเยี่ยนตี๋ สีหน้าใคร่ครวญอยู่บ้าง “ข้ารอหยวนเจิ้งเฟิงเข้าฌานทะลวงขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง”

“เยี่ยนตี๋ เจ้ารู้หรือไม่? ไม่เพียงหยวนเจิ้งเฟิง เริ่มตั้งแต่เจ้าเข้าสำนักมา ข้าก็ให้ความสนใจกับความพิเศษของเจ้าเช่นกัน หลายปีมานี้พิสูจน์สายตาของข้ากับหยวนเจิ้งเฟิงแล้ว”

“เพียงแต่ว่ากระทั่งวันนี้ ข้าค้นพบว่าก่อนหน้านี้ยังคงดูถูกเจ้าเกินไป”

เขากล่าวต่อว่า “เป็นเพราะการมีอยู่ของเจ้านั่นแหละ หยวนเจิ้งเฟิงถึงกล้าวางใจไปบุกทะลวงขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ ข้ารู้ ต่อให้เจ้าร่วงโรย สำนักเขากว่างเฉิงก็ยังคงมีตัวตายตัวแทนเช่นกัน”

“แต่ก็เป็นเพราะเช่นนี้ หยวนเจิ้งเฟิงเข้าฌาน โอกาสที่ข้ารอคอยก็มาถึงในที่สุดแล้ว”

เขายื่นสองมือออกไป กลางฝ่ามือซ้ายและขวาต่างมีอักขระยันต์อันลึกลับซับซ้อนอยู่ ขณะที่ส่องแสงวาบวาม ดึงรวมพลังมหาค่ายกลนภา เสริมแกร่งบนร่างเขาไม่ขาดสาย

พลังของซินตงผิงที่แผ่ออกมา ยิ่งพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

“เจ้ามาช้าเกินไปแล้ว” หยวนเทียนกวัดแกว่งแส้ยาวในมือ กลายสภาพเป็นมังกรยักษ์พลิกฟ้า ขวักไขว่อยู่ในมิติต่างแดน รุกโจมตีเยี่ยนตี๋

ซินตงฟิงเอื้อนเอ่ย “จอมมารศักดิ์สิทธิ์ไม่ต้องใจร้อนไป เดินอย่างมั่นคงสำคัญกว่าเดินอย่างฉับไว สิ่งของกับเรื่องที่รับปากเจ้าไว้ ล้วนจะไม่ให้ขาดไปสักอย่าง วางใจได้ทั้งสิ้น”

หลังจากเยี่ยนตี๋สะบัดดาบผ่าแส้ยาวของหยวนเทียน เส้นสายตาจดจ้องซินตงผิง “อาจารย์อาซิน ไส้ศึกของสำนักคือท่าน? ประมุขภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตในข่าวลือนั่น ก็เป็นท่านเหมือนกันหรือ?”

ในแววตาทั้งสองของเขา ต่างมีรอยตราความทรงจำอันเก่าแก่มหัศจรรย์เปล่งแสงขึ้น พร่างพราวอยู่ในม่านตาดำ

มหาค่ายกลนภาบิดไปมาอย่างรุนแรง ถูกจิตใจแน่วแน่ทั้งสองฉุดกระชาก คล้ายกับสามารถฉีกขาดได้ทุกเมื่อ

เยี่ยนตี๋และซินตงผิงต่างก็พุ่งเป้าไปที่อำนาจควบคุมมหาค่ายกลนภา เปิดฉากช่วงชิงอย่างดุเดือด

ส่วนจอมมารหยวนเทียน ยามนี้พลิกจากท่วงทีเซื่องซึมก่อนหน้า เป็นแกร่งกล้าโจมตีไปทางเยี่ยนตี๋เช่นกัน

เผชิญกับดาบนภาไร้จำกัดของเยี่ยนตี๋ หยวนเทียนปะทะชนซึ่งหน้าอย่างไม่เฉลียวอย่างยิ่ง

ทว่าบัดนี้ การเปลี่ยนมือของมหาค่ายกลนภา ทำให้เป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะตัดสินผลต่อสู้

เวลานี้ต่อให้หยวนเทียนจะเสียเปรียบอยู่บ้าง ก็ต้องช่วยซินตงผิงช่วงชิงอำนาจควบคุมมหาค่ายกลก่อนเช่นกัน

ถึงแม้เยี่ยนตี๋จะมีเสื้อคลุมนภาสวมไว้ กระนั้นประมือกับหยวนเทียนไปพลาง ยังต้องแย่งชิงมหาค่ายกลกับซินตงผิงไปพลาง ความได้เปรียบก่อนหน้าพลันหายไป สถานการณ์ตกอยู่ในสภาวะที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน

ซินตงผิงไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด เพียงแต่สงบจิตใจลงเพื่อเชื่อมประสานกับค่ายกล กล่าวอย่างไม่เร่งไม่รีบว่า “หากข้าบอกว่าตัวเองไม่ใช่ประมุขภาคี เยี่ยนตี๋ เจ้าจะเชื่อหรือ? ส่วนฟางจุ่น เจ้าคิดว่าเขาเป็นพวกเดียวกับข้าอย่างนั้นหรือ?”

สำหรับเยี่ยนตี๋ หากยืดเวลาออกไปในขณะที่สูญเสียการประคับประคองจากมหาค่ายกล สถานการณ์อาจจะค่อยๆ พลิกเป็นไม่เอื้อผล

ถึงกระนั้น ขณะนี้ก็ยังคงเยี่ยนตี๋สุขุมเยือกเย็น สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน “เห็นท่านแล้ว ข้าก็รู้ว่าศิษย์พี่รองไม่มีปัญหา”

“ท่านเก็บสิ่งที่ศิษย์พี่รองวางลงในตอนนั้น ท้ายที่สุดเดินบนเส้นทางตอนนี้?”

ซินตงผิงจุ๊ปากชื่นชม “ต้องยอมรับ เจ้า สือเถี่ย ฟางจุ่น พวกเจ้าทั้งสามคู่ควรกับนามสามวีรบุรุษกว่างเฉิง ชั่วชีวิตข้านี้เลื่อมใสหยวนเจิ้งเฟิงเพียงแค่เรื่องเดียว นั่นก็คือความสามารถในการรับลูกศิษย์”

“สือเถี่ยเป็นหินรากฐาน เจ้ากับฟางจุ่นเป็นไม้คานหลังคา เจ้ายังเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะชี้ขาดการก่อสร้างหลังคาสูงในท้ายที่สุด”

“แม้ว่าในด้านพลังความสามารถและพรสวรรค์วิถีวรยุทธ์ ฟางจุ่นจะไม่สู้เจ้า แต่ก็เป็นยอดอัจฉริยะอันหาได้ยาก เด็ดขาดรอบคอบ กล้าคิดกล้าทำเช่นกัน ”

“ทุกคนครั้นเห็นนพยมโลกและอเวจีแล้วต่างก็หยุดชะงัก เขากลับกล้าเข้าไปลึก สัมผัสสำรวจเขตแดนต้องห้ามในสายตาคนอื่น”

ซินตงผิงทอดใจพลางเอ่ย “ที่เป็นประเด็นสำคัญยิ่งกว่าก็คือ การสำรวจของเขามีผลพวงอย่างแท้จริง การค้นพบมากมายของข้าในวันนี้ ล้วนสร้างอยู่บนพื้นฐานของการศึกษาของเขาในกาลก่อน”

เยี่ยนตี๋ฟันดาบหนึ่งออกไป ตัดฟ้าผ่าแผ่นดิน ตัดความคิดเหลวไหลแลพยับเมฆอันแปรสภาพมาจากพลังปราณดั้งเดิมของหยวนเทียนจนดับสูญ

เขากล่าวเย็นชา “สิ่งที่ศิษย์พี่รองสมควรได้รับความเลื่อมใสศรัทธา ก็คือจิตใจแน่วเด็ดเดี่ยวของเขา กล้าที่จะปฏิเสธตัวเอง สามารถกลับตัวได้ทัน เฝ้าระวังไส้ศึก รู้ว่าเรื่องใดสามารถอาจหาญไปทำได้ เรื่องใดไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถทำ”

ซินตงผิงกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อน “แต่นี่เปลี่ยนความจริงหนึ่งไม่ได้ ในอีกความหมายหนึ่ง อันที่จริงเขาก็คือผู้ก่อตั้งภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตที่แท้จริง”

“เหตุใดการกัดกร่อนของภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตและนพยมโลกต่อสำนักถึงหนักหน่วงที่สุด? เป็นเพราะต้นกำเนิดของภาคีก็อยู่ที่นี่อย่างไรเล่า”

ซินตงผิงก้มศีรษะมองเบื้องล่าง ราวกับสายตาทะลุผ่านอากาศ มองดูเขากว่างเฉิงที่อยู่ข้างล่าง ทอดถอนใจพลางกล่าว “ภาพอนาคตอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยใฝ่หา ก็คือกลายเป็นเจ้าของที่นี่ บัดนี้ลองคิดดูกลับไม่สำคัญแล้ว การมาถึงของนพยมโลก ข้าสามารถได้รับมากกว่านี้ ไยไม่ทำลายที่นี่เสีย?”

เขาเงยหน้าขึ้นมองยังเยี่ยนตี๋อีกครั้ง พลันหัวร่อขึ้นมา “ถ้าหากวันนี้ข้าไม่อาจประสบผลสำเร็จ เช่นนั้นข่าวประมุขภาคีเป็นคนในกว่างเฉิง และภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตกำเนิดมาจากกว่างเฉิง ก็จะแพร่สะพัดไปทั่วหล้าเช่นกัน”

“หลังจากหวงกวงเลี่ยแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ออกฌาน คิดว่าจักต้องยินดีปรีดายิ่งเมื่อได้ฟังข่าวนี้ คิดดูแล้วนี่จะกลายเป็นเหตุผลชั้นเยี่ยมของเขาในการลงมือกับกว่างเฉิง”

ซินตงผิงวางแผนมานานหลายปี ความเข้าใจที่มีต่อมหาค่ายกลลึกซึ้งกว่าเยี่ยนตี๋เสียอีก บัดนี้ลงมือ อำนาจควบคุมมหาค่ายกลนภาพลันถูกเขายึดกุมไปกว่าครึ่ง

สถานกาณ์ค่ายกลถูกตนเองควบคุมแล้ว ซินตงผิงลงมืออย่างดุร้าย!

ประกายกระบี่คล้ายเลื่อนลอยคล้ายหนักอึ้งสายหนึ่งฟันไปทางเยี่ยนตี๋ ประกายกระบี่กึ่งใสกึ่งขุ่น ราวกับฟ้าดินรวมเป็นหนึ่ง!

ประกายตาเยี่ยนตี๋เอ่อล้นแสงเย็น

เขากางแขนทั้งสองออกฉับพลัน ถอดเสื้อคลุมนภาบนร่างออกจากกายลงชั่วคราว!

ชั่วขณะเสื้อคลุมนภาสั่นสะท้าน พลันแปรเปลี่ยนเป็นม่านแสงทั่วท้องฟ้า คุมขังจอมมารศักดิ์สิทธิ์ไว้มุมหนึ่ง

นี่สามารถยื้อเวลาได้เป็นเวลาสั้นๆ หากแต่เพียงพอสำหรับเยี่ยนตี๋แล้ว

ยันต์วิญญาณนับไม่ถ้วนลอยว่อนทั่วร่างเขา ร่วมกันก่อตัวเป็นค่ายกลยันต์หอบูชาฟ้า กว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา ประหนึ่งตั้งอยู่เหนือสวรรค์ชั้นเก้า

เสียงของเยี่ยนตี๋ดังขึ้นบนหอบูชาฟ้า “หากหวงกวงเลี่ยต้องการดันทุรังมาอย่างไม่สนใจใยดี ก็จะไม่จำเป็นต้องอ้างเช่นกัน สำนักอ่อนแอเกินไปต้านทานเขาไม่ได้ นั่นเป็นเพียงเหตุผลเดียว”

“สำหรับผู้คนใต้หล้านอกจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และตำหนักอัสนีสวรรค์ สังหารเจ้ากับจอมมารศักดิ์สิทธิ์ไว้ที่นี่ทั้งหมด ก็มีน้ำหนักพอให้ส่งต่อ!”

ขณะลำแสงโชติช่วงสาดส่องไร้ที่สิ้นสุด เงาร่างขนาดยักษ์ร่างหนึ่งค่อยๆ ยืนขึ้นเหนือค่ายกลยันต์หอบูชาฟ้าของเยี่ยนตี๋!

ซินตงผิงและหยวนเทียนที่ก่อนหน้านี้ทั้งสองยังรู้สึกว่าเยี่ยนตี๋คุยโว ลูกตาพลันหดเล็กลงฉับพลัน “ผสานปราณดั้งเดิมเข้าด้วยกัน เจ้าย่างขั้นบรรลุธรรมในตอนนี้?!”

เยี่ยนตี๋ไม่ตอบ มีเพียงยักษ์บนหอบูชาฟ้าที่ยื่นฝ่ามือออกไป ขนาดของดาบสวรรค์มังกรทะยานก็ขยายอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นดาบยักษ์เบิกฟ้าอย่างแท้จริงเล่มหนึ่ง หล่นลงกลางฝ่ามือเขา

ยักษ์สะบัดดาบ กระแทกชนกับกระบี่นภาไร้ขอบเขตของซินตงผิงอย่างรุนแรง!

หยวนเทียนถูกเสื้อคลุมนภาโอบล้อมไว้ชั่วขณะ ไม่อาจปลีกกาย ได้แต่มองเยี่ยนตี๋สืบเท้าออกไปยังเบื้องหน้าของซินตงผิง!

“ตอนที่ข้าอยู่ในขั้นรูปญาณระยะท้าย ใต้ขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ มีสองคนอยู่สองคนที่ข้าไม่มีความมั่นใจเต็มขั้นว่าจะเอาชนะได้ หนึ่งในนั้นก็คือท่าน ซินตงผิง” ร่างเยี่ยนตี๋ผสานเข้ากับร่างนภาไร้จำกัดของตนบ้าง ชั่วพริบตามาถึงเบื้องหน้าสวรรค์คุ้มครองไร้ที่สิ้นของซินตงผิง “แต่ตอนนี้…”

เขาเหยียบย่างสู่ขั้นบรรลุธรรมก้าวหนึ่ง พลังควบคุมมหาค่ายกลนภาก็ยกระดับขึ้นไปตามเขาเช่นกัน ซินตงผิงพลันรู้สึกว่าฝีเท้าในการยึดมหาค่ายกลถูกยับยั้งทันใด

ผู้เฒ่าใบหน้านิ่งดุจน้ำ สวรรค์คุ้มครองไร้ที่สิ้นสุดอันกลายสภาพมาจากปณิธานวรยุทธ์ ก็มีกระบี่ยาวเพิ่มขึ้นอีกเล่มหนึ่งในมือเช่นกัน ประกายกระบี่ราวกับเสาค้ำฟ้า ดาหน้าโจมตีเยี่ยนตี๋

การควบคุมมหาค่ายกลตอนนี้ ยังคงเป็นเขาที่ได้เปรียบอยู่ไม่มากก็น้อย

หากแต่ผลของการตัดสลับกระบี่และดาบ ปรากฏว่าเป็นเขาและร่างนภาไร้จำกัดของเขาที่พ่ายแพ้ถอยร่น!

ยักษ์แสงโชติช่วงสูงใหญ่ที่แขนขวาถือกระบี่ไว้ บัดนี้แตกกระจุยออกมาโดยพลัน!

“ท่านอาจารย์ยังไม่กลายเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์และออกฌานมา กล่าวเช่นนี้ไม่เคารพอยู่บ้าง…” เสียงของเยี่ยนตี๋ดังขึ้นกลางอากาศ “ย่างขั้นบรรลุธรรม ในบรรดามหาปรมาจารย์ ข้านี่แหละไร้เทียมทาน”

———————————-