ตอนที่ 1468

War sovereign Soaring The Heavens

คำเชิญจากอาวุโสตงฟาง

 

เฮ่อจงเองก็ตอบสนองแทบจะทันที มันกล่าวบอกเวลานัดหมายประลองทั้งสถานที่เรียบร้อย…10 วันให้หลัง ลานฝึกซ้อมฝ่ายนอก!

 

’10 วันเลยงั้นเหรอ? นี่มันต้องเตรียมตัวอะไรของมันนานถึงขนาดนี้?’

 

หลังจากได้ยินคำตอบนัดหมายประลองของเฮ่อจง ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วครุ่นคิดไปด้วยความสงสัย

 

อันที่จริงไม่ใช่แค่ต้วนหลิงเทียนที่งุนงง กระทั่งเหล่าศิษย์ฝ่ายนอกที่เกาะติดสถานการณ์ยังงงไปด้วยเช่นกัน

 

“ศิษย์พี่เฮ่อจงนัดหมายประลองกับศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียน 10 วันหลังจากนี้เหรอ…นี่จะไม่นานเกินไปหน่อยรึไง?”

 

“หรือบางที วรยุทธ์ที่ศิษย์พี่เฮ่อฝึกอยู่ใกล้บรรลุขั้นแล้ว”

 

“นั่นสินะ…อาจเป็นได้”

 

“ดูเหมือนว่าศิษย์พี่เฮ่อเองก็ประเมินศิษย์พี่ต้วนไว้สูงมิน้อย ถึงได้อยากต่อสู้ในสภาพที่ดีที่สุดเช่นนี้…กระทั่งถึงกับประวิงเวลาเสียยืดยาว”

 

“เรื่องนี้กล่าวแล้วก็มิน่าแปลกใจเท่าไหร่ จะอย่างไรเสียศิษย์พี่ต้วนก็สามารถฆ่าศิษย์พี่เฝิงฟ่านได้…เช่นนั้นพลังฝึกปรือของศิษย์พี่ต้วนสมควรไม่ได้ด้อยกว่าศิษย์พี่เฮ่อจง”

 

“ถูกแล้ว เพราะต่อให้เป็นศิษย์พี่เฮ่อจงถึงแม้จะมีภาษีเหนือเฝิงฟ่าน แต่อย่างไรเสียก็คงยากจะฆ่าเฝิงฟ่านในการประลองเป็นตายได้แบบนั้น…”

 

……

 

ตอนนี้เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกก็ประทับใจพลังฝีมือต้วนหลิงเทียน จนเจียนเข้าขั้นหน้ามืดตามัวแล้วเช่นกัน

 

ถึงแม้ว่ากาลก่อน เฝิงฟ่านจะเป็นคนที่พวกมันคิดว่าน่าจะแข็งแกร่งที่สุดในฝ่ายนอก ทว่าสุดท้ายแล้วก็เป็นเรื่องที่พวกมันคิดกันไปเองเท่านั้น เพราะอันดับในฝ่ายนอก เฝิงฟ่านก็ยังเป็นแค่อันดับ 5 เท่านั้น

 

ส่วนด้านเฮ่อจงนั้น มันติดอันดับ 3 ในฝ่ายนอก อีกทั้งอันดับในรายนามปฐพีของมันยังเหนือกว่าเฝิงฟ่านเสียอีก เพราะมันครองอันดับที่ 66! นั่นทำให้การประลองระหว่างต้วนหลิงเทียนกับเฮ่อจง สร้างความตื่นเต้นให้ศิษย์ฝ่ายนอกนัก

 

เพราะต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่เพียงแต่จะสังหารเฝิงฟ่านในการประลองเป็นตายเมื่อเดือนที่แล้ว หลังจากนั้นแค่วันเดียว เขาถึงกับเอาชนะศิษย์ฝ่ายในได้อย่างเหนือชั้นที่หน้าศาลาอุทิศ!

 

การต่อสู้ดังกล่าว ทำให้เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกมีหน้ามีตาขึ้นมาทันที!

 

ศิษย์ฝ่ายนอกเอาชนะศิษย์ฝ่ายในได้ เรื่องนี้มันช่างงดงามเพียงใดกัน!?

 

‘มั่นใจในตัวข้ากันขนาดนั้นเลย?’

 

เมื่อต้วนหลิงเทียนเห็นว่ามีศิษย์ฝ่ายนอกมากมายหลายคนที่ถือหางเขา ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ ในใจบังเกิดความคิดอยากเปิดโต๊ะรับแทงอีกสักครา…

 

ทว่าพอคิดอีกทีดูเหมือนต่อให้เขาเปิดโต๊ะรับแทงจริงๆ ก็คงยากที่จะมีใครมาเล่นกับเขา

 

ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้ดีแก่ใจ ว่าการท้าประลองธรรมดาแบบนี้ ก็ไม่ต่างใดกับประลองชี้แนะแม้เขาจะเปิดโต๊ะไป เกรงว่าคงไม่มีใครกล้าแทงแน่นอน

 

การประลองที่ไม่ถึงชีวิต ผู้ใดจะไปล่วงรู้ว่าสองคนนี้แอบไปเตี้ยมอะไรกันมาหรือไม่…

 

เกิดทั้งคู่ลอบเตี๊ยมกันมาเพื่อหวังคะแนนอุทิศเล่า…พวกมันไม่กลายเป็นตัวโง่งมหรือ?

 

แน่นอนว่าไม่มีใครอยากกลายเป็นตัวโง่งม จึงไม่มีใครคิดที่จะเล่นพนันในการประลองธรรมดาๆแน่นอน

 

“หลิงอวิ๋นกับฉงหู่ มันออกจากการปิดด่านรึยังนะ?”

 

ต้วนหลิงเทียนไปหาหลิงอวิ๋นกับฉงหู่อีกรอบ และพอเห็นว่าทั้งคู่ยังคงปิดด่านบ่มเพาะพลังอยู่ก็ได้แต่ส่ายหน้า “ไม่เห็นทั้งคู่ตั้งแต่ประลองเป็นตายกับเฝิงฟ่านแล้ว…อย่าบอกนะว่านี่มันปิดด่านบ่มเพาะกันมาตั้งแต่ก่อนข้าประลองกับเฝิงฟ่านจนถึงวันนี้?”

 

ต้วนหลิงเทียนมาหาพวกหลิงอวิ๋นกับฉงหู่นั้น เพราะเขาคิดมอบคะแนนอุทิศที่ครูอย่างฟางฮุ่ยฝากไว้ที่เขาเพื่อเอาไว้แบ่งให้ทั้งคู่

 

แน่นอนว่าเขาวางแผนว่าจะให้ทั้งคู่มากกว่า 50,000 คะแนนอุทิศ

 

ฟางฮุ่ยนั้นมอบคะแนนอุทิศให้เขากับทั้งคู่มาแค่ 100,000 แต้มเท่านั้น

 

จะอย่างไรเสียตอนนี้เขาก็ไม่ได้ขาดคะแนนอุทิศ

 

อนิจจาในเมื่อทั้งคู่ยังคงปิดด่านบ่มเพาะ เช่นนั้นก็คงได้แต่เอาไว้วันหลังแล้ว

 

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเดินกลับมาถึงบ้านเดี่ยว และคิดจะเข้าไปฝึกฝนบ่มเพาะในชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติต่อ ก็ดันมีแขกไม่ได้รับเชิญมาหาเขาที่บ้านเสียก่อน

 

“หืม? เป็นพี่ชายเองเหรอ?”

 

แขกไม่ได้รับเชิญนับว่าไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับต้วนหลิงเทียน เขาเคยเจออีกฝ่ายมาก่อนแล้ว

 

เป็นชายร่างใหญ่ที่อยู่คฤหาสน์ของผู้อาวุโสตฟาง 1 ใน 2 คนที่เขาคุยด้วยหน้าประตูคฤหาสน์วันนั้น

 

“ต้วนหลิงเทียน พอท่านผู้อาวุโสตงฟางทราบว่าเจ้าออกจากการปิดด่านแล้ว ท่านก็อยากจะเชิญเจ้าไปสนทนาเป็นการส่วนตัวที่คฤหาสน์”

 

ชายร่างใหญ่เปิดประตูเห็นภูผากล่าว

 

“อาวุโสตงฟางชวนข้าไปสนทนา?”

 

ต้วนหลิงเทียนแปลกใจไม่น้อย ด้วยไม่รู้อาวุโสตงฟางจะตามหาเขาทำไม ครั้งสุดท้ายนั้นการแลกเปลี่ยนก็นับว่าเป็นไปด้วยดีแล้ว

 

หลังจากนั้นเขากับอาวุโสตงฟางก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย

 

“โปรดตามข้ามาเถอะ”

 

ชายร่างใหญ่มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มร่า “หากเจ้าไม่อยากเดินเอง ข้าอุ้มเจ้าไปก็ได้นะ…”

 

“พี่ชายล้อเล่นแล้ว ข้าเดินเองได้”

 

ถึงแม้ว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าอาวุโสตงฟางเรียกเขาไปพบทำอะไร แต่เขาก็ไม่คิดปฏิเสธคำเชิญ

 

จะอย่างไรตอนนี้เขาก็ยังอยู่ที่ฝ่ายนอกของสำนักจันทร์จรัสแสง และอาวุโสตงฟางก็เป็นถึงอาวุโสหลักผู้ควบคุมดูแลฝ่ายนอกทั้งหมด ผิดใจกับคนเช่นนี้คงไม่ใช่เรื่องดี

 

และอันที่จริงต้วนหลิงเทียนเองก็อยากรู้ไม่น้อย ว่าอาวุโสตงฟางคิดสนทนาเรื่องราวอะไรกับเขา

 

ภายใต้การนำทางของชายร่างใหญ่ ไม่ทันไรต้วนหลิงเทียนก็ได้มาเยือนคฤหาสน์ส่วนตัวของอาวุโสตงฟางอีกครั้ง และไม่นานก็ได้พบเจอกับอาวุโสตงฟาง

 

อาวุโสตงฟางกำลังนั่งจิบชาหอมจรุงอยู่ในศาลาชมบุปผาในสวนอย่างผ่อนคลาย

 

“นั่งสิ”

 

หลังจากที่เห็นว่าต้วนหลิงเทียนมาถึงแล้ว อาวุโสตงฟางก็ผายมือเชิญให้ต้วนหลิงเทียนนั่ง ก่อนที่จะหันไปพยักหน้ากับชายร่างใหญ่ที่นำต้วนหลิงเทียนมาส่ง ให้มันกลับไปได้…

 

“เจ้าคงอยากรู้ใช่หรือไม่ว่าข้าเรียกเจ้ามาสนทนาเช่นนี้ ที่แท้มีเรื่องราวอันใดกันแน่?”

 

อาวุโสตงฟางกล่าวถาม

 

“ใช่”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เขาเองก็อยากรู้จริงๆ

 

“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าตอบรับสารท้าประลองของเฮ่อจงแล้วหรือ?”

 

อาวุโสตงฟางกล่าวถามออกมา

 

“ตอบรับไปแล้ว”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “หรือว่า…เรื่องนี้มีปัญหาอะไร?”

 

“เจ้ารู้จักความเป็นมาของเฮ่อจงหรือไม่เล่า?”

 

อาวุโสตางฟางไม่ตอบ แต่กล่าวถามออกมาอีกรอบ

 

“หากข้าเดาไม่ผิด อีกฝ่ายสมควรมีผู้อาวุโสฝ่ายในเป็นอาจารย์ใช่หรือไม่?”

 

ต้วนหลิงเทียนเดา

 

ถึงแม้ว่าในฝ่ายนอกจะไม่มีข่าวลืออะไรเรื่องผู้ที่หนุนหลังเฮ่อจง แต่ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ว่าปูมหลังของเฮ่อจงเองก็ไม่น่าจะธรรมดาเช่นกัน

 

ดุจเดียวกันกับเฝิงฟ่าน ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีใครรู้ชัดว่ามันเป็นศิษย์ของอาวุโสฝ่ายใน

 

“ไม่เชิง เพราะอาจารย์ของเฮ่อจงนั้น…เป็นถึงรองเจ้าสำนัก!”

 

อาวุโสตงฟางสบตาต้วนหลิงเทียนค่อยกล่าวออกจริงจัง

 

“รองเจ้าสำนัก?”

 

ต้วนหลิงเทียนได้ยินคำตอบนี้ก็อดตกใจไม่ได้!

 

ไม่ใช่วันสองวันที่เขามาอาศัยอยู่ในสำนักจันทร์จรัสแสง ดังนั้นเขารู้ดีว่าคำรองเจ้าสำนักหมายความว่าอะไร…หากมิใช่ขอบเขตเซียนเต็มตัว อย่างน้อยก็คงต้องเป็นตัวตนครึ่งก้าวบรรลุเซียน! เกรงว่าพลังฝีมือคงเป็นรองก็แต่เจ้าสำนักและผู้พิทักษ์ขอบเขตเซียนไม่กี่คน!!

 

ทว่าเฮ่อจงนั่นกลับเป็นศิษย์ของรองเจ้าสำนัก?

 

“ถูกแล้ว”

 

อาวุโสตงฟางพยักหน้ายืนยัน

 

“ถึงแม้ว่าข่าวนี้จะน่าแปลกใจไม่น้อย แต่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกับข้าไม่ใช่เหรอ เพราะอย่างไรเสีย…สารท้าประลองที่เฮ่อจงส่งให้ข้ามันก็เป็นแค่สารท้าประลองธรรมดาๆ ไม่ใช่สารท้าประลองเป็นตายสักหน่อย”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาเสียงเรียบ

 

“หากเจ้าคิดเช่นนั้นจริงๆ ข้าเกรงว่าอาจเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงแล้ว…ถึงแม้ข้าจักมิรู้ว่าไฉนเฮ่อจงมันถึงไม่ส่งสารท้าประลองเป็นตายถึงเจ้า แต่ข้ารู้ว่าการท้าประลองกับเจ้าครั้งนี้ มิใช่เรื่องราวอันง่ายดายแน่นอน…”

 

อาวุโสตงฟางกล่าว

 

“ไม่ง่ายดาย? ข้าเองก็ไม่เคยรู้จักมันมาก่อน มันจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้าทำไม?”

 

ต้วนหลิงเทียนยิ่มส่ายหน้า

 

“มันกับเจ้าไร้บาดหมาง…ทว่าลุงของมันเล่า?”

 

ตงฟางกล่าวถามออกมาอีกครั้ง

 

“ลุงของมัน? ใครกัน?”

 

ต้วนหลิงเทียนงุนงง

 

“หลิวฮ่วน!”

 

ภายใต้สายตาสงสัยของต้วนหลิงเทียน ตงฟางเปิดปากกล่าววาจาออกมาสองพยางค์ ทว่ากลับทำให้ต้วนหลิงเทียนถึงกับประหลาดใจไม่น้อย “หลิวฮ่วน…อาวุโสท่านแน่ใจหรือ?”

 

“เรื่องนี้กล่าวไปมิใช่ความลับอันใดภายในระดับสูงของสำนักจันทร์จรัสแสง”

 

ตงฟางกล่าว “เจ้ามาจากจวนเจ้าเมืองชงซัน อีกทั้งยังเป็นศิษย์ของฟางฮุ่ยเจ้าเมืองชงซัน…หลิวฮ่วนมันย่อมไม่มีวันละเว้นเจ้าแน่ เช่นนั้นข้าจึงเรียกหาเจ้ามาเพื่อกล่าวเตือนเรื่องนี้ เพราะความสัมพันธ์ของพวกมันน่ากลัวว่าไม่มีศิษย์ฝ่ายนอกคนไหนล่วงรู้…”

 

“เฮ่อจงนั่น ที่แท้มันเป็นหลานของหลิวฮ่วนงั้นหรือเนี่ย…”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ค่อยยืนขึ้นประสานมือกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณสำหรับคำเตือนนี้ของท่านมาก อาวุโสตงฟาง”

 

“ฮ่าๆๆ…หากเจ้าซาบซึ้งใจ ก็เพียงให้หินเซียนระดับ 4 ข้าอีกสักก้อนเถอะ”

 

ตงฟางหัวเราะออกมา ในแววตาคล้ายแฝงความอายเล็กน้อย

 

“ไม่มีปัญหา”

 

ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ตระหนี่ถี่เหนียวอะไร สะบัดมือคราหนึ่งเรียกหินเซียนระดับ 4 ออกมา 2 ก้อน พร้อมด้วยหินเซียนระดับ 5 จำนวน 10 ก้อนวางไว้เบื้องหน้าอาวุโสตงฟาง

 

“จึกๆๆ…เจ้าหนุ่ม หรือที่แท้เจ้าเป็นศิษย์ของขุมพลังชั้น 5 ที่นึกสนุกมาเข้าร่วมสำนักจันทร์จรัสแสงเราเพื่อเคี่ยวกรำตัวเองกัน…?”

 

ตงฟางยิ้มร่าขณะเก็บหินเซียน 10 กว่าก้อนเข้าประเป๋า ยังกล่าวถามชิมลางออกมา

 

เผชิญหน้ากับการเลียบถามแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มบางๆแต่ไม่ตอบคำอะไร

 

ต่อหน้าของตัวตนทรงพลังระดับอาวุโสตงฟาง เขายังต้องคงความลึกลับเรื่องนี้เอาไว้ เพื่อให้มันเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างเขากับอีกฝ่าย รวมถึงยังทำให้ยอดฝีมืออย่างอาวุโสตงฟางไม่กล้าคิดอะไรไม่ซื่อกับเขา

 

“อาวุโสตงฟาง หากท่านไม่มีอะไรแล้ว ข้าต้องขอลาก่อน”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวอำลาอาวุโสตงฟาง ก่อนที่จะกลับ

 

ในขณะเดินกลับสีหน้าของต้วนหลิงเทียนกลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา ‘ข้าก็คิดว่าอาวุโสตงฟางเรียกมาคุยเรื่องอะไร…ไม่คิดเลยว่าที่แท้เฮ่อจงนั่นมันจะเป็นหลานหลิวฮ่วนไปได้…หลานหลิวฮ่วนส่งสารท้าประลองธณรมดาหาข้า ยังง่ายดายหรือไง’

 

คราวนี้หลังจากที่รู้ตัวตนของ ‘เฮ่อจง’ แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจได้ว่าจะรับมืออย่างไร

 

“เรื่องนี้เจ้าโจวฉีนั่นกลับไม่บอกข้า…”

 

จังหวะนี้อดไม่ได้ที่ต้วนหลิงเทียนจะนึกถึงโจวฉี แต่พอคิดไปคิดมาเขาก็ตระหนักได้ว่า กระทั่งโจวฉีเองก็ไม่แน่ว่าจะรู้เรื่องนี้

 

‘หลิวฮ่วนกลับมีหลานแบบนี้อยู่ด้วย…แถมหลานมันกลับเป็นศิษย์รองเจ้าสำนัก ว่าแต่ถ้ามันมีสัมพันธ์กับรองเจ้าสำนักแบบนี้ แล้วทำไมหลิวฮ่วนนั่นมันต้องกลัวอาวุโสจ้าวเฟิงด้วย…ถึงฐานะอาวุโสจ้าวเฟิงนั่นจะสูง แต่ก็ไม่น่าจะสูงไปกว่ารองเจ้าสำนักไม่ใช่รึไง?’

 

เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสงสัยนัก

 

ทว่าหากต้วนหลิงเทียนได้รับทราบว่าเบื้องหลังของจ้าวเฟิง ยังมีตัวตนระดับเซียนที่มีอยู่น้อยคนในสำนักจันทร์จรัสแสงหนุนหลังอยู่ล่ะก็…เขาจะไม่คิดเช่นนี้เลย!

 

ด้วยภูมิหลังนี้ของจ้าวเฟิง กระทั่งชนชั้นรองเจ้าสำนักหลายคนยังไม่กล้าสร้างปัญหาอะไรให้มัน

 

แน่นอนว่าเรื่องระดับนี้ก็มีแค่อาวุโสฝ่ายในระดับสูงๆ แค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ กล่าวได้ว่าผู้ที่รู้เรื่อง ล้วนเป็นชนชั้นที่มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องราวในสำนักทั้งสิ้น

 

และถ้าขนาดอาวุโสฝ่ายในหลายคนยังไม่รู้เรื่อง เช่นนั้นก็คงยากที่คนในฝ่ายนอกจะทราบความลับดังกล่าวแล้ว

 

10 วันนั้น เทียบได้กับระยะเวลา 1 เดือนบนชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ

 

ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน ต้วนหลิงเทียนก็ทุ่มเทใจกายฝึกวรยุทธ์ทั้งหลายและบ่มเพาะพลังอย่างแข็งขัน…เมื่อถึงกำหนดเวลาต้วนหลิงเทียนก็ออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ทั้งออกจากบ้านเดี่ยวพร้อมลานเล็กๆของเขา มุ่งหน้าไปยังลานฝึกซ้อมฝ่ายนอก

 

ตอนนี้ที่ลานฝึกซ้อมฝ่ายนอกล้วนคึกคักเต็มไปด้วยผู้คนมากมายนัก

 

ไม่เพียงแต่ศิษย์ฝ่ายนอกที่ไม่ได้ปิดด่านฝึกตนมารวมตัวกันแทบทั้งหมด กระทั่งศิษย์ฝ่ายในหลายต่อหลายคนก็มาชมดูเรื่องราวการประลองด้วยเช่นกัน และคราวนี้นับว่ามีศิษย์ฝ่ายในมากกว่าครั้งประลองเป็นตายกับเฝิงฟ่านมากนัก

 

ตอนนั้นมีศิษย์ฝ่ายในแค่ราวๆ 10 กว่าคนเท่านั้น

 

ทว่าคราวนี้มากันหลายร้อย!

 

ศิษย์ฝ่ายในที่มาครั้งนี้บ้างก็เป็นสหายของศิษย์ฝ่ายในที่มาดูชมการประลองเป็นตายครั้งก่อน และหลายคนก็เป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์หน้าศาลาอุทิศตอนต้วนหลิงเทียนเอาชนะอี้หนัน

 

ส่วนที่เหลืออีกบางส่วนก็เป็นผู้ที่ได้ยินชื่อเสียงคำร่ำลือของต้วนหลิงเทียน และอยากเห็นพลังฝีมือของเขา