บทที่ 285 แม่นางโปรดสำรวมตนด้วย

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 285 แม่นางโปรดสำรวมตนด้วย โดย ProjectZyphon

ก่อนที่เฉินผิงอันจะขึ้นเรือปลาวาฬกลืนสมบัติเดินทางไปยังใบถงทวีป เขาตั้งใจไปยังตลาดที่อยู่นอกหอซ่างเซียงเพื่อซื้อกระบอกใส่ธูปหนึ่งใบโดยเฉพาะ ด้านในกระบอกบรรจุธูปตรีวิสุทธิ์แปดสิบเอ็ดดอกที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษในภูเขาห้อยหัว กลิ่นหอมของธูปโชยมาปะทะจมูก ไม่ว่าจะจุดธูปเพื่อกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แสดงความเคารพ หรือจุดเพื่อให้จิตใจสงบก็ล้วนถือเป็นของชั้นเยี่ยม เพียงแต่ว่าราคาไม่ถูก ต้องจ่ายเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ หรือก็คือเงินเกล็ดหิมะหนึ่งร้อยเหรียญ

การที่ยอมจ่ายเงินในส่วนที่เกินความจำเป็นก็เพราะเฉินผิงอันนึกขึ้นมาได้ว่าภูเขาลั่วพั่วของบ้านตนก็มีศาลเทพภูเขาอยู่เช่นกัน วันหน้าหากมีสหายไปเยี่ยมเยียน ไม่สู้เอาธูปนี้มอบให้กับพวกเขา แขกมีความจริงใจ เทพก็ได้รับไอธูป ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ดี

นอกจากกระบอกใส่ธูปใบนี้และสมบัติสองชิ้นที่ทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อมาจากเรือนหลิงจือแล้ว เฉินผิงอันยังซื้อ ‘ภาพเซียนกระบี่’ ฉบับคัดลอกชุดหนึ่งของจิตรกรเอกท่านหนึ่งจากนาตยทวีปซึ่งวางขายอยู่ในร้านนอกหอจิ้งเจี้ยนมาด้วย มีทั้งหมดห้าภาพ ทุกภาพล้วนเป็นม้วนภาพขนาดใหญ่และยาว แต่ละม้วนภาพวาดเซียนกระบี่ยี่สิบท่าน เซียนกระบี่ที่อยู่ในม้วนภาพมีขนาดยาวไม่เกินหนึ่งชุ่น แต่มีชีวิตชีวาเสมือนตัวจริง ล่องลอยประดุจเซียนบนสวรรค์

ต้นฉบับของ ‘ภาพเซียนกระบี่’ คือผลงานชิ้นเอกของบรรพบุรุษจิตรกรท่านหนึ่งที่รังสรรค์ผลงานขึ้นหลังจากชมศึกที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ภายหลังถูกนำมาทำเป็นสำเนาคัดลอกจำนวนนับไม่ถ้วน

จำนวนเซียนกระบี่ในหอจิ้งเจี้ยนมีมากเกินไป ‘ภาพเซียนกระบี่’ ที่มีชื่อฉบับว่าคูหินชุดนี้ก็แค่เลือกเซียนกระบี่มาร้อยคนตามความชื่นชอบของจิตรกรเท่านั้น ตอนนั้นในร้านยังมีวางขายอีกหลายชุด ราคาแตกต่างกันออกไป แต่ชุดคูหินนี้มีราคาสูงที่สุด หลังจากที่เปรียบเทียบอย่างละเอียดแล้ว เฉินผิงอันก็ค้นพบว่ายังคงเป็นเซียนกระบี่ในชุดคูหินนี้ที่วาดได้ถูกใจตนที่สุด จึงกัดฟันซื้อมา

ค่าใช้จ่ายก้อนนี้ไม่น้อยเลยจริงๆ เพราะมากถึงห้าสิบเหรียญเงินร้อนน้อย

เถ้าแก่ที่ยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งไม่รู้ว่าดีใจที่เจอคนมือเติบ หรือรู้สึกชื่นชมที่สายตาของเฉินผิงอันมีแววจากใจจริง ถึงได้เล่าเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับ ‘ภาพเซียนกระบี่’ ให้ฟัง เขาบอกว่าใต้หล้านี้มีเซียนกระบี่หลายท่านที่ได้รับภาพวาดเซียนกระบี่ฉบับไม่สมบูรณ์ในช่วงแรกไปโดยบังเอิญ แล้วก็บรรลุสัจธรรมจากเซียนกระบี่ที่อยู่บนภาพวาด ขยับขึ้นเป็นเซียนในก้าวเดียว กลายเป็นเซียนกระบี่พสุธาที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ

‘ภาพเซียนกระบี่’ ชุดนี้เฉินผิงอันคิดไว้ว่าจะมอบให้อริยะหร่วนฉงเป็นของขวัญ ตอนนั้นที่เขาออกมาจากเขตการปกครองหลงเฉวียนบ้านเกิด ช่างหร่วนยังไม่ได้จัดพิธีก่อตั้งสำนักอย่างเป็นทางการ ตอนนี้น่าจะทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว สำหรับหร่วนฉงแล้ว เงินร้อนน้อยห้าสิบเหรียญย่อมไม่มีค่าพอให้พูดถึง แต่จะดีจะชั่วก็เป็นของที่เฉินผิงอันพกพาจากภูเขาห้อยหัวไปฝากถึงหลงเฉวียนต้าหลี มีพันภูเขาหมื่นสายน้ำกั้นขวาง แม้ของขวัญจะไม่มีราคาค่างวด แต่น้ำใจกลับเต็มเปี่ยม

ไก่งามเพราะขน คนก็งามเพราะแต่ง

ระหว่างทางที่เฉินผิงอันเดินไปที่ท่าเรือซ่างเซียงจึงมีเซียนซือสาวหลายคนชำเลืองตามามองเขาอยู่หลายที เป็นการมองแบบที่ว่ามองเสร็จแล้วยังมองซ้ำอีกที ไม่ใช่มองผ่านแวบเดียวแล้วไม่เหลียวแลอีก

เมื่อเทียบกับการเดินทางนำกระบี่มาส่งที่ภูเขาห้อยหัวแล้ว การเดินทางไปหานักพรตที่ใบถงทวีปครั้งนี้ เฉินผิงอันเคร่งเครียดกว่าเล็กน้อย เมื่อแน่ใจว่าผู้ฝึกลมปราณหญิงอายุน้อยเหล่านั้นไม่ได้มีเจตนาชั่วร้ายก็ไม่คิดอะไรมากอีก

ท่าเรือซ่างเซียงกว้างใหญ่กว่าท่าเรือจัวฟ่างอยู่มาก แต่เฉินผิงอันที่พกป้ายหยกขึ้นเรือของภูเขาห้อยหัวไว้ที่เอวกลับไม่ได้เห็นปลาวาฬกลืนสมบัติที่ต้องมีเรือนกายใหญ่โตมโหฬารตัวนั้น กลับกันคือได้เห็นเต่าทะเลขุนเขาที่บนกระดองสร้างหอเรือนหอเก๋งไว้เรียงราย เห็นรถลากใหญ่ยักษ์คันหนึ่งที่มีกระเรียนเซียนชิงหลวนทำหน้าที่ลากรถ และยังมียอดเขาขนาดเล็กเขียวชอุ่มซึ่งก็คือวัตถุอันเป็นเอกลักษณ์ที่มีเฉพาะในฝูเหยาทวีปที่ถูกบันทึกไว้ใน ‘จารึกภูเขาและทะเล’

เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นภูเขาบินมา หรือยอดเขาบินไป ว่ากันว่ารากของภูเขาประเภทนี้เกิดจากการรวมตัวกันของปราณวิญญาณ คือของบำรุงที่ยอดเยี่ยมสำหรับเจียวหลง การลงน้ำกลายเป็นมังกรของเจียวใหญ่ที่อยู่อาศัยบนบกในสมัยบรรพกาล หลังจากเลือกสายน้ำขนาดใหญ่ที่เชื่อมกับมหาสมุทรไว้เรียบร้อยแล้ว จะต้องเชิญให้คนยกเอาภูเขาบินมายอดเขาบินไปหลายลูกมาไว้ริมน้ำ เพื่อที่พวกมันจะได้กินอาหารทันเวลา ป้องกันไม่ให้เหนื่อยล้าหมดแรง ไม่ให้เลือดลมถูกเผาผลาญจนสิ้นก่อนจะกลายเป็นมังกรได้สำเร็จ

เฉินผิงอันเพิ่งจะหัดเรียนภาษาทางการของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง คิดจะถามทางก็คงคุยกับใครไม่รู้เรื่อง หากไม่ได้จริงๆ ก็คงได้แต่เอาแผ่นไม้ไผ่ที่สลักตัวอักษรมาใช้สอบถาม

ยังดีที่เฉินผิงอันเจอผู้โดยสารที่แขวนป้ายหยกในลักษณะเดียวกันอยู่หลายคน จึงติดตามพวกเขาไปเงียบๆ เดินไปได้ระยะหนึ่ง เพียงไม่นานก็ไปถึงตำแหน่งที่ผู้คนเบียดเสียดกัน เฉินผิงอันจึงถอนหายใจโล่งอก ผลคือถูกคนตบไหล่ซ้ายเบาๆ หนึ่งที เฉินผิงอันหันกลับไปมองทางขวาโดยตรง แล้วก็ได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย คนผู้นั้นเห็นว่าเฉินผิงอันไม่หลงกลก็รู้สึกหมดสนุก กล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ทำไม เจ้าเองก็จะไปที่สำนักฝูจีใบถงทวีปด้วยหรือ? เจ้าคงไม่ได้คิดมิดีมิร้ายกับข้าหรอกกระมัง? ปรารถนาในความงามของข้างั้นรึ?”

นี่คือคนเลวชิงฟ้องก่อน?

ความประทับใจที่เฉินผิงอันมีต่อคนผู้นี้ไม่ดีและไม่เลว

คนผู้นี้ก็คือชายงามที่…ปักปิ่นมุก สวมชุดกระโปรงสีชมพู ตรงเอวรัดเข็มขัดหลากสี

หากจะบอกว่าตั้งแต่ที่โดยสารเกาะกุ้ยฮวาจากนครมังกรเฒ่ามาถึงภูเขาห้อยหัวคือบุพเพวาสนา ถ้าอย่างนั้นจากภูเขาห้อยหัวไปยังสำนักฝูจีก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นแผนการที่ยากจะหยั่งเจตนาของใครบางคน

ลูกหลานสกุลลู่ที่เคยถูกนักพรตน้อยคนเฝ้าประตูโยนออกมาจากหอซ่างเซียงผู้นี้มองออกถึงความระแวดระวังของเฉินผิงอัน เขาจึงตบป้ายหยกขึ้นเรือที่เรือข้ามฟากปลาวาฬกลืนสมบัติแจกให้ตรงเอวหนึ่งทีแล้วพูดกลั้วหัวเราะ “เป็นอย่างที่เจ้าคิดไว้ การเดินทางไปยังสำนักฝูจีของข้าในครั้งนี้ก็เพราะหวังเฝ้าต้นไม้รอกระต่าย มารอคอยเจ้าโดยเฉพาะ”

นี่ถือเป็นการป่าวประกาศอย่างเปิดเผยแบบใดกัน?

เฉินผิงอันเริ่มมึนงง แต่ในใจตัดสินใจไว้แล้วว่าจะต้องอยู่ห่างๆ จากคนผู้นี้ไว้เป็นการดี

ไอ้หมอนี่ไม่เพียงแต่มีรูปโฉมงามเลิศล้ำ ยังมีน้ำเสียงที่ใสไพเราะ ยากจะแยกแยะว่าเป็นชายหรือหญิง ก่อนหน้านี้ไปเที่ยวชมศาลาจัวฟ่างด้วยกัน ‘โดยบังเอิญ’ ดูจากคำพูดและการกระทำของเขาก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่มีนิสัยโลดโผน ไม่ทำอะไรตามหลักของคนปกติทั่วไป แม้เฉินผิงอันจะไม่ได้รู้สึกอคติต่อการแต่งกาย นิสัยและความชื่นชอบของคนผู้นี้ แต่ก็ไม่ต้องการให้ใครมาทำลายชีวิตอันสงบสุขของตน

คนผู้นั้นเอามือสองข้างไพล่หลัง สิบนิ้วสอดประสานกัน เชิดคางขึ้นเล็กน้อย หรี่ตามองเฉินผิงอัน ท่าทางนุ่มนวลอ่อนหวาน สง่างามหญิงว่าผู้หญิงจริงๆ ซะอีก เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ ข้าก็จะต้องพูดความจริงออกมา ข้าแซ่ลู่ชื่อไถ ลู่จากคำว่าลู่ตี้ที่แปลว่าแผ่นดิน ไถจากซ่างหยางไถผลงานของหลี่ป๋าย เป็นลูกหลานสกุลลู่จากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ไม่ได้รับการยอมรับจากในตระกูลสักเท่าไหร่ จึงออกมาหาประสบการณ์ในใต้หล้าเพียงลำพัง ทวีปใหญ่เก้าแห่งของใต้หล้าไพศาล ข้าไปเยือนมาแล้วห้าแห่ง เดิมทีข้าไม่คิดจะไปที่ใบถงทวีปแล้ว แต่ตอนนี้กระเป๋าเงินของข้าฟีบแบน เลยอยากจะหาคนดีๆ ที่สามารถเลี้ยงดูข้าให้กินอิ่มนอนหลับ อีกทั้งยังไม่ปรารถนาในความงามของข้า ข้าคิดว่าคนคนนั้นก็คือเจ้า ถึงอย่างไรก็ติดเงินฝนธัญพืชเจ้าหนึ่งเหรียญแล้ว จะติดเพิ่มอีกสักเหรียญ เจ้าก็คงไม่ถือสา ไม่แน่ว่าเมื่อไปถึงใบถงทวีป ข้าเหยียบขี้หมาบนทาง (มาจากประโยคโชคดีขี้หมา) ก็อาจจะคืนเงินให้เจ้าได้ แล้วก็อาจจะถือโอกาสหาเงินค่าเดินทางกลับบ้านให้ตัวเองได้ด้วย”

เขาที่ชื่อว่าลู่ไถเห็นว่าเฉินผิงอันมีสีหน้าไร้อารมณ์ ชัดเจนว่าไม่คิดจะเชื่อคำพูดโป้ปดประโยคนี้ของเขา

เขาจึงถอนหายใจหนึ่งที “ก็ได้ บอกตามตรงแล้วกัน ข้ามีชาติกำเนิดจากสำนักหยินหยาง เชี่ยวชาญด้านการพยากรณ์ ในกระเป๋าไม่มีเงินคือเรื่องจริง หาเงินไม่ได้คือเรื่องโกหก แต่หลังจากที่ข้าติดเงินฝนธัญพืชเจ้าหนึ่งเหรียญก็ได้ทำนายดวงให้ตัวเอง ผลที่ออกมาก็คือเดินทางทิศตะวันออกกลืนสมบัติ ใบถงแต่งตั้งโหว คำทำนายระดับดีเยี่ยม ความหมายของคำทำนายนี้ตื้นเขินมาก แต่เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ข้าก็ยังรอคอยอยู่ที่นี่ถึงยี่สิบวันเต็ม นี่ก็คือสาเหตุที่ข้าพูดว่า ‘เฝ้าต้นไม้รอกระต่าย’ สุดท้ายเมื่อได้พบเจ้า ข้าก็รู้แล้วว่าหากข้าไม่ยอมเดินทางไปยังใบถงทวีปที่มีบรรพบุรุษให้การปกป้องคุ้มครองในครั้งนี้ ก็คงต้องถูกฟ้าผ่าแล้ว”

เฉินผิงอันไม่ได้แสดงกิริยาหยาบคาย ยิ่งไม่ได้ทำสีหน้าหงุดหงิดให้เห็น แต่สอบถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรที่แฝงไว้ด้วยการปรึกษาว่า “คุณชายลู่ เจ้าเดินทางไปยังใบถงทวีปโดยอิงตามคำทำนายที่ออกมาว่าเป็นมงคล ข้าย่อมไม่ขัดขวางเจ้า แล้วก็ขวางเจ้าไม่อยู่ แต่เจ้ากับข้าต่างคนต่างอยู่ได้หรือไม่? หากคุณชายลู่ร้อนเงิน ข้าสามารถให้เจ้ายืมเงินร้อนน้อยได้อีกบางส่วน…”

เขาพลันตัดบทคำพูดของเฉินผิงอัน สีหน้าและน้ำเสียงมีความเย้ายวนตามธรรมชาติ “คุณชายลู่อะไรกัน เพื่อลดความยุ่งยากบางเรื่องลง เจ้าเรียกข้าว่าแม่นางลู่ก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นสายตาที่คนอื่นมองข้าต้องแปลกประหลาดมากแน่ๆ”

เฉินผิงอันรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ

ในเมื่อเจ้าถือสาสายตาที่คนอื่นมองเจ้า? เหตุใดถึงไม่ถือสาสายตาที่ข้ามองเจ้าบ้างล่ะ?

ลู่ไถถึงขั้นเริ่มออดอ้อน “เฉินผิงอัน ตกลงเถอะน่า นะ? พาข้าไปด้วยสักครั้ง? ข้าสามารถสาบานต่อสวรรค์ หากมีใจคิดร้ายต่อเจ้าก็ขอให้ข้าถูกห้าอสนีผ่า ถูกโยนเข้าไปแช่ในบ่อสายฟ้า ถูกสยบอยู่ใต้ภูเขาสุ้ยซาน ถูกกักขังอยู่ในเตาหลอมของวังมังกรใต้ทะเลลึก ถูกเนรเทศไปอยู่พื้นที่ลับห่างไกลหมื่นลี้ที่เปลี่ยวร้างไร้ผู้คน…”

ปากพูดเลื่อนเปื้อนไปเรื่อยยังไม่พอ เขายังยื่นมือข้างหนึ่งที่เรียวยาวขาวนวลยิ่งกว่ามือของสตรีออกมาหมายจับแขนเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันขนลุกพรึ่บไปทั้งตัว ปัดมือลู่ไถทิ้งโดยไม่สนใจมารยาทอะไรอีกแล้ว กล่าวด้วยสีหน้าขึงขังว่า “คุณชาย…แม่นางโปรดสำรวมด้วย!”

ลู่ไถหดมือกลับอย่างขลาดๆ ยืนอยู่ที่เดิม กัดริมฝีปาก สายตาตัดพ้อ น้ำตาเจียนจะหยด

เฉินผิงอันหมุนตัวจากไปทันที

ลู่ไถเดินตามติดเป็นเงา เฉินผิงอันหยุดเดินเขาก็หยุดเดิน เฉินผิงอันหันหน้าเขาก็หันหน้า แล้วไม่รู้ว่าหยิบเอากระจกทองแดงบานเล็กที่งดงามประณีตมาจากไหน ระหว่างร่องนิ้วยังคีบตลับชาดที่เปิดอ้าตลับหนึ่ง ประหนึ่งหญิงสาวที่กำลังจะแต่งหน้า

ภาพนี้ทำให้เฉินผิงอันซึ่งพอจะรู้ตื้นลึกหนาบางของเขาอยู่บ้างขนลุกขนชัน แต่ผู้ฝึกลมปราณเพศชายหลายคนที่อยู่รอบด้านกลับมีริ้วกระเพื่อมไหวในดวงตา ต่อให้เป็นขอบเขตโอสถทองหรือก่อกำเนิดบางส่วนที่มีอายุและตบะสูงล้ำจนสามารถมองผ่านเวทอำพรางตาของลู่ไถ รู้ว่าเขาเป็นบุรุษ แต่ในดวงตาก็ยังฉายประกายเร่าร้อนอยู่ดี

บนเส้นทางแห่งการฝึกตน ในช่วงชีวิตที่ยาวนาน ไร้ขีดจำกัดไร้ข้อห้าม

ลู่ไถเหมือนสตรีแต่งงานแล้วที่ถูกทอดทิ้งอย่างน่าสงสาร สตรีที่ไม่กล้าตำหนิบุรุษผู้ซึ่งทำร้ายจิตใจนาง ได้แต่เดินตามติดเขาไปอย่างอาลัยอาวรณ์

สายตาของคนรอบด้านเต็มไปด้วยความคลุมเครือมีเลศนัย

เฉินผิงอันไม่เคยเจอกลยุทธ์ที่ทำให้คนสะอิดสะเอียนเจียนตายแบบนี้มาก่อน ไฟโทสะสุมอยู่เต็มท้อง แต่กลับรู้สึกจนปัญญากับลู่ไถ

เมื่อตำแหน่งเบื้องหน้าของท่าเรือมีคนทยอยหายกันไปเรื่อยๆ เฉินผิงอันถึงตระหนักได้ว่าสถานที่ขึ้นเรือของปลาวาฬกลืนสมบัติมีพรมปักลายหลายผืนปูอยู่บนพื้น ตอนนั้นที่ซื้อป้ายหยกขึ้นเรือ ป้ายหยกมีทั้งหมดสามประเภทได้แก่ ‘เมฆบนยอดเขา’ ‘สวนงามละไม’ ‘ทะเลสาบน้ำมรกต’ ราคาไม่เท่ากัน เฉินผิงอันเลือกพักที่ทะเลสาบน้ำมรกต เวลานี้เห็นพรมสามผืนมีภาพทิวทัศน์แตกต่างกันออกไป บ้างมีไอเมฆล่องลอย ยอดเขาแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่น มีทะเลสาบสีมรกตที่กว้างใหญ่ไพศาล ห้องพักหลายหลังสร้างอยู่บนทะเลสาบ กระจัดกระจายกันเหมือนดวงดาวดารดาษ แล้วก็มีหอเรือนและจวนที่พุ่มบุปผาห้อมล้อม

‘แม่นางลู่’ ที่อยู่ห่างไปด้านหลังไม่ไกลอธิบายอย่างขลาดๆ ว่า “จะให้ขึ้นเรือผ่านทางปากปลาวาฬกลืนสมบัติก็คงไม่ดี ปลาวาฬกลืนสมบัติลำนี้มีขนาดใหญ่มาก ถือเป็นอันดับหนึ่งในทวีปเกราะทอง ในร่างของปลาวาฬกลืนสมบัติมีพื้นที่ลับขนาดเล็กอยู่สี่แห่ง สามแห่งในนั้นถูกสร้างขึ้นเป็นที่พักของผู้โดยสาร ปลาวาฬกลืนสมบัติของนครมังกรเฒ่ามีพื้นที่ลับแค่แห่งเดียว เมื่อเทียบกันแล้วก็เรียกได้ว่ายากจนกว่ามาก พรมสามผืนนี้ แท้จริงแล้วคือยันต์ย่อพื้นที่สามแผ่นที่ระดับขั้นสูงมาก สามารถพาผู้โดยสารไปยังสถานที่ทั้งสามแห่งนั้นได้โดยตรง”

เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งในฉับพลัน

เกี่ยวกับเรื่องของพื้นที่ลับ  ‘จารึกภูเขาและทะเล’ ซึ่งเป็นตำราเทพเซียนที่ครอบคลุมรอบด้านมีการบรรยายถึงอย่างละเอียด เพราะมันเกี่ยวพันกับถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล และถึงขั้นเกี่ยวข้องกับถ้ำสวรรค์หลีจูด้วย ดังนั้นพออ่านเจอมัน เฉินผิงอันจึงให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ทั้งยังจงใจไปขอความรู้ที่ไม่มีในหนังสือจากเถ้าแก่หนุ่มของโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยด้วย

บุคคลที่เกิดและเติบโตมาในภูเขาห้อยหัว ไม่ว่าจะมีตบะสูงต่ำ มีชาติกำเนิดดีหรือเลว ก็ล้วนชอบใช้คำพูดคำจาที่ใหญ่โตอวดอ้างความรู้ ไม่ว่าจะเรื่องของอริยะ เทียนจวิน เซียนดิน แค่อ้าปากได้ก็ร่ายยาวอย่างไม่มีข้อห้ามใดๆ แต่ความรู้และประสบการณ์ที่หลากหลายกว้างขวางของพวกเขากลับแข็งแกร่งกว่าคนในพื้นที่อื่นๆ นอกภูเขาห้อยหัวอย่างแท้จริง

เดิมทีเถ้าแก่หนุ่มไม่ค่อยชอบพูดเท่าใดนัก แต่บางทีอาจเป็นเพราะเห็นเฉินผิงอันเป็นแขกผู้สูงศักดิ์จึงเล่าให้ฟังยาวเหยียดอย่างที่หาได้ยาก

หลังจากที่ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลหลายแห่งที่เก่าแก่เสื่อมโทรมไปตามธรรมชาติ หรือถูกพลังภายนอกทำลายให้เสียหายแตกสลายไปแล้ว ก็มักจะเหลืออาณาเขตใหญ่เล็กไม่เท่ากัน เนื่องจากพวกมันจะหายสาบสูญโดยที่ไม่มีใครรู้ร่องรอย จึงเป็นเหตุให้ถูกเรียกขานว่าพื้นที่ลับ ร้านขายสุราลืมทุกข์ในภูเขาห้อยหัวร้านนั้น แท้จริงแล้วก็คือพื้นที่ลับแห่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ของถ้ำสวรรค์หวงเหลียง

โชควาสนามากมายของผู้ฝึกตนมักจะหนีไม่พ้นพื้นที่ลับ พื้นที่ลับเป็นได้ทั้งการปักบุปผาลงบนผ้าแพร แล้วก็เป็นได้ทั้งการมอบถ่านให้ท่ามกลางหิมะ สามารถพูดได้ว่าการดำรงอยู่ของพื้นที่ลับน้อยใหญ่ทำให้ผู้ฝึกลมปราณเต็มไปด้วยความคาดหวังและปรารถนา การที่ผู้ฝึกตนอิสระเกินครึ่งสามารถลุกผงาดขึ้นมาได้ล้วนต้องยกให้เป็นความดีความชอบของผลเก็บเกี่ยวจากพื้นที่ลับ

หากบุกเข้าไปในพื้นที่ลับที่ยังไม่ถูกครอบครอง จะเป็นดินแดนสุขาวดีที่มีพืชพรรณบุปผาสดชื่นงดงาม เป็นพื้นที่เปลี่ยวร้างที่อบอวลไปด้วยไอสกปรก หรือเป็นหลุมโพรงที่เซียนทิ้งร่างเอาไว้ หากโชคดีก็สามารถขึ้นฟ้าด้วยการบินทะยานในครั้งเดียว หากโชคไม่ดีก็อาจแก่ตายอยู่ในนั้น หรือไม่ก็ตายอนาถด้วยหายนะบางอย่าง หลังจากตายไปแล้วสมบัติทุกชิ้นที่มีติดตัวยังกลายไปเป็นหนึ่งในโชควาสนาของคนรุ่นหลังด้วย

เฉินผิงอันอยากรู้มากว่าหลังจากถ้ำสวรรค์หลีจูตกลงมาแล้ว ได้มีพื้นที่ลับทิ้งไว้บนโลกมนุษย์หรือไม่

กลับไปถึงบ้านเกิดเมื่อไหร่คงต้องลองถามเว่ยป้อดู

เวลานี้เฉินผิงอันเดินไปบนพรมผืนที่ตรงสู่ทะเลสาบน้ำมรกตของปลาวาฬกลืนอสนี ลู่ไถถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อยหนึ่งที สาวเท้าเดินเยื้องย่างมาอย่างรวดเร็ว ยื่นมือมาขวางทางเฉินผิงอันเอาไว้ “เดิมทีข้าเองก็จะไปที่ทะเลสาบน้ำมรกตเหมือนกัน ในเมื่อเจ้ารังเกียจข้าขนาดนี้ ข้าก็จะไม่อยู่ให้เกะกะสายตาเจ้าอีก ข้าสามารถเปลี่ยนไปพักที่อื่น เพิ่มเงินอีกหน่อย ขอแลกที่พักกับคนอื่น ไปพักยังสวนงามละไมที่ครอบครองชื่อเสียงอันดีงามมาอย่างยาวนาน พวกเราสองคนก็แยกทางกันตรงนี้เถอะ เฉินผิงอัน ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าจะให้ข้ายืมเงินร้อนน้อยอีกส่วนหนึ่ง ยังรักษาคำพูดอยู่หรือไม่? ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไปที่สวนงามละไมไม่ได้…”

บุรุษที่ทำท่าทางน่าสงสารคนหนึ่ง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ขัดหูขัดตานัก

เฉินผิงอันควักเงินร้อนน้อยกำใหญ่ออกมาเหมือนต้องการจ่ายเงินฟาดเคราะห์ เดินขยับเข้าไปใกล้สองสามก้าวแล้วส่งมอบให้ลู่ไถอย่างรวดเร็ว

ขอแค่คนผู้นี้ไม่มาตอแยตนอีก ให้ตนได้ฝึกกระบี่และฝึกหมัดไปตลอดทางอย่างสงบ เฉินผิงอันก็ยินดีที่จะจ่ายเงินก้อนนี้

ลู่ไถรับเงินร้อนน้อยมาแล้วก็มองเฉินผิงอันอย่างเหม่อลอย ดวงตาคลอประกายน้ำคู่นั้นเต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ สุดท้ายหมุนตัวจากไปอย่างหม่นหมอง คาดว่าคงไปปรึกษากับคนอื่นเรื่องขอแลกเปลี่ยนที่พัก

พอเฉินผิงอันเดินขึ้นไปบนยันต์ย่อพื้นที่ที่แปลกประหลาดแผ่นนั้นก็เห็นว่าลู่ไถที่มีสีหน้าเบิกบานหันมาขยิบตาให้ตน ชูป้ายหยกแผ่นที่ด้านบนสลักคำว่า ‘น้ำมรกต’ ให้เขาดู

เดิมทีเรื่องที่กระเป๋าเงินของลู่ไถฟีบแบนคือเรื่องจริง ดังนั้นตอนแรกเขาจึงได้แต่ซื้อป้ายหยกเมฆบนยอดเขาที่ราคาถูกที่สุดมา จากนั้นเขาก็แต่งเรื่องโกหกอย่างคล่องแคล่ว จนเฉินผิงอันมอบเงินร้อนน้อยหนึ่งกำมือมาให้เขา…

ลู่ไถเดินขึ้นมาบนพรมผืนที่เฉินผิงอันยืนอยู่ด้วยฝีเท้าแผ่วเบาอย่างลิงโลดร่าเริง ท่าทางลำพองใจยิ่งทำให้ดวงหน้าของเขางามแฉล้ม

ก่อนหน้าที่เงาร่างของเฉินผิงอันจะหายไป เขาอดด่า ‘แม่นาง’ คนนั้นไม่ได้ว่า ปู่ทวดเจ้าเถอะ

—–