บรรลุระดับบงกชทอง โดย Ink Stone_Fantasy
สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้กลัวก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะไม่สามารถควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองได้เลย
แต่ก็ไม่อาจเรียกว่าตัวเองควบคุมไม่ได้ ที่จริงพลังอิทธิฤทธิ์ในร่างกายกำลังถูกตัวเองควบคุม แต่กลับไม่ใช่การควบคุมแบบที่ตัวเองต้องการ ในร่างกายราวกับกำลังมีตัวเองอีกคนกำลังควบคุมอยู่ ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในร่างกาย เป็นสิ่งที่ตัวเองร่ายอิทธิฤทธิ์ทรมานตัวเอง พลังอิทธิฤทธิ์ไม่ยอมรับการควบคุมตามความตั้งใจเดิมของเขา
เหมียวอี้ที่เหงื่อไหลราวกับเม็ดฝนขยับตัวไม่ได้เลยสักนิด ได้แต่บิดไปบิดมาไม่หยุดอยู่อย่างนั้น รูม่านตาที่ฉ่ำไปด้วยเลือดเดี๋ยวหดเล็กเดี๋ยวขยายใหญ่ หอบหายใจราวกับวัว ริมฝีปากสั่นเทา อยากจะร้องขอความช่วยเหลือแค่กลับไม่มีเสียงออกมา ลมหายใจวุ่นวายอุตลุต ไม่มีทางเอ่ยเสียงพูดได้เลย รู้สึกว่าตัวเองร่ายอิทธิฤทธิ์ทรมานตัวเอง ขนาดอยากจะช่วยเหลือตัวเองก็ยังทำไม่ได้
ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว เหมียวอี้ที่เหงื่อแตกราวกับฝนเท สุดท้ายก็พังทลายลง สองมือที่จับบนขอบหน้าต่างคลายออก ร่างกายสูญเสียสมดุล เอนล้มลงข้างหลัง นอนขดอยู่บนพื้นและชักกระตุกอย่างรุนแรง รสชาติความเจ็บปวดแบบนั้นไม่มีทางบรรยายออกมาได้ ตรงจุดที่น้ำเลือดไหลผ่านราวกับมีดนับไม่ถ้วนกำลังกัด ในหัวเกิดภาพมายาประหลาดอย่างหนึ่ง รู้สึกเหมือนตัวเองกลับเข้ามาอยู่ในค่ายกลมารโลหิตอีกครั้ง ตรงหน้าเต็มไปด้วยทะเลเลือด ผีน้อยที่กลายเป็นเลือดนับไม่ถ้วนมุดเข้าไปในรูทวารทั้งเจ็ดของเขาไม่ขาดสาย แล้วกัดฉีกเนื้อในร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง ความรู้สึกตัวเลือนรางแท้ๆ แต่ความรู้สึกเจ็บปวดกลับชัดเจนอยู่ในหัวของเขา
รสชาตินี้เจ็บยิ่งกว่าตอนที่เขาโดนไฟเผาในตอนนั้นเสียอีก เพราะนั่นคือการเจ็บปวดภายนอกร่างกาย แต่ตอนนี้คือการเจ็บปวดภายในร่างกาย ถึงขั้นรู้สึกว่าเป็นความทรมานที่มาจากวิญญาณด้วยซ้ำ ราวกับมีมารร้ายตนหนึ่งเข้ามาแย่งชิงอำนาจในการควบคุมเลือดเนื้อร่างกายของเขาไป
ไม่มีเสียงการต่อสู้ เขาเองก็ไม่มีทางร้องขอความช่วยเหลือได้ คนของร้านขายของชำซื่อตรงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเขา มีเพียงเขาคนเดียวที่นอนรับความทรมานที่ไม่จบไม่สิ้นอยู่บนแผ่นไม้กระดานในห้องนอน
ตอนที่เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตาย ตอนที่เขาดิ้นรนต่อสู้กับความรู้สึกตัวสุดท้าย ขณะที่สายป่านเส้นสุดท้ายกำลังจะขาด จู่ๆ ก็รู้สึกสะท้านทั้งกายทั้งใจ ต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์สั่นสะเทือน ลมปราณกลุ่มหนึ่งทะลักออกมาจากต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ ในร่างกายราวกับมีจักรวาลเล็กๆ ซ่อนอยู่ ซ่อนแฝงพลังงานเอาไว้ไม่จบไม่สิ้น พลังอิทธิฤทธิ์โหมซัดสาดพัดม้วนออกมา รู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัวราวกับได้ดื่มสุราชั้นดี ความรู้สึกพวกนั้นมาครอบรสชาติความเจ็บปวดทรมานกลุ่มนั้นเอาไว้โดยตรง
แต่สุดท้ายก็ยังครอบคลุมได้ไม่หมด ก่อตัวเป็นรสชาติประหลาดอย่างหนึ่งแทน แต่ความเจ็บปวดผสมกับความทรมานก็ทำให้เขาได้สติกลับมาชั่วคราวเช่นกัน
เหมียวอี้ที่ขดตัวอยู่บนพื้นค่อยๆ ลืมตาขึ้น ในแววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ จู่ๆ ก็บรรลุวรยุทธ์แล้วเหรอ? มาบรรลุวรยุทธ์ในเวลานี้เนี่ยนะ? ไม่น่าเชื่อว่ากระดาษที่กั้นระดับบงกชทองเอาไว้จะถูกตนเจาะออกไปในเวลานี้ จู่ๆ ตัวเองก็บรรลุวรยุทธ์ถึงระดับบงกชทอง บรรลุถึงระดับทะยานสวรรค์ที่ตัวเองใฝ่ฝัน!
เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ทุกครั้งที่บรรลุวรยุทธ์ ตัวเองมักจะอยู่ตรงคาบเกี่ยวระหว่างความเป็นความตายเสมอ ครั้งนั้นที่บรรลุจากระดับพื้นบกไประดับต้านอากาศ ตัวเองก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนี้จะประสบเหตุการณ์คล้ายๆ กันอีกแล้ว เล่นบ้าอะไรเนี่ย
มันเป็นแค่ความรู้สึกตัวเล็กน้อยชั่วขณะเท่านั้น ต่อให้วรยุทธ์บรรลุถึงระดับบงกชทอง แต่ก็ระงับรสชาติความเจ็บปวดทรมานที่หวนกระโจนเข้าใส่ไม่ไหว ไม่นานเขาก็จมอยู่ในสภาวะเลอะเลือนอีกครั้ง แม้แต่ความดีใจยามวรยุทธ์บรรลุถึงบงกชทอง เขาก็ยังไม่ทันได้ซึมซับกับมันเลย
แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว จนกระทั่งความรู้สึกตัวค่อยๆ กลับมาชัดเจนอีกครั้ง รสชาติความเจ็บปวดทรมานนั้นก็หดหายไปราวกับกระแสน้ำเช่นกัน ร่างกายที่นอนอยู่บนพื้นเริ่มหายใจหอบเป็นระยะ
อาการของร่างกายค่อยๆ ทุเลาลง ตอนที่โซเซลุกขึ้นมา เขาพบว่าตัวเองราวกับถูกช้อนขึ้นมาจากน้ำ ทั้งตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ บนไม้กระดานมีน้ำเปียกโชกกองใหญ่
ข้ายังไม่ตายโว้ย! ขณะมองดูสภาพยับเยินของตัวเอง เหมียวอี้ก็ฝืนยิ้มด้วยความเจ็บปวด เหมือนจะหาเหตุผลที่ตัวเองไม่ตายได้แล้ว เพราะตัวเองอยู่ที่ร้านขายของชำซื่อตรง ถ้าตายอยู่ที่นี่ ปีศาจโลหิตก็ไม่ได้ของที่ตัวเองต้องการอยู่ดี
เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างค่อนข้างหมดแรง ใช้ฝ่ามือสองข้างยันตรงขอบหน้าต่าง มองไปด้านนอกด้วยสีหน้าซีดเผือด เป็นอย่างที่คาดไว้ ปีศาจโลหิตยังยืนอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของถนน
มารดาเจ้าเถอะ! ไม่น่าเชื่อว่าปีศาจตนนี้จะช่วยให้วรยุทธ์ของตนบรรลุถึงระดับบงกชทอง เหมียวอี้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณหรือควรจะเคียดแค้นปีศาจตนนั้น ถ้าไม่มีปีศาจตนนั้นช่วย ตนก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเมื่อไรตัวเองจะบรรลุถึงบงกชทอง การบรรลุระดับใหญ่ๆ แบบนี้เป็นเรื่องที่พูดยากจริงๆ เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปตามแตะละบุคคล นักพรตบางคนถึงขนาดถูกพันธนาการไม่ให้ก้าวหน้าไปทั้งชีวิต ดังนั้นปีศาจตนนี้จึงช่วยเหมียวอี้ประหยัดเงินไปตั้งไม่รู้เท่าไร
เขาถึงขนาดพิจารณาว่าจำเป็นต้องฆ่าปีศาจตนนี้ทิ้งรึเปล่า ถ้าในอนาคตตัวเองมีโอกาสพุ่งสู่ระดับอนันตภาพ จะได้ให้ปีศาจตนนี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ช่วยอีกที
แน่นอนว่าปีศาจโลหิตไม่รู้ ถ้าหากรู้ละก็ เกรงว่าจะต้องโมโหจนกระอักเลือดแน่ นางยืนยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน พลางถ่ายทอดเสียงถาม “รสชาติเป็นอย่างไรล่ะ?”
มีทั้งได้มีทั้งเสีย เหมียวอี้กลับสงบใจเย็น เพียงแต่คิดไม่ตกเท่านั้น ถึงถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้าเล่นไม่ซื่ออะไรกับข้า?”
ปีศาจโลหิตแสยะยิ้ม “เจ้าโดนพิษ ‘วิญญาณโลหิต’ ของข้า พิษจะกำเริบทุกๆ สี่ชั่วยาม กำเริบวันละสามครั้ง แต่ละครั้งจะออกรสออกชาติขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครู่นี้เป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น ตอนหลังเจ้าได้ดื่มด่ำเต็มที่แน่”
โดนวางยาพิษ? เหมียวอี้ยังคงไม่เข้าใจ ถามว่า “เจ้าลงมือวางยาพิษข้าตั้งแต่เมื่อไร?”
“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก ถ้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ก็ส่งของมา” ปีศาจโลหิตตอบ
ถ้าโดนวางยาพิษแล้วจริงๆ เหมียวอี้ก็ไม่กลัวเลย อย่างอื่นเขาอาจจะกังวล แต่เขาไม่กังวลเรื่องโดนพิษสักเท่าไร จึงยิ้มอย่างดุร้ายพร้อมเตือนว่า “นางตัวแสบ อย่าเผลอมาตกอยู่ในมือข้าก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นข้าจะเอาคืนเป็นร้อยเท่า!”
“ปากแข็งเหรอ? งั้นข้าก็จะคอยดูว่าเจ้าจะปากแข็งไปถึงเมื่อไร! ข้าจะรอเจ้าที่ร้านค้าสมาคมวีรชน ตอนที่มาอย่าลืมนำของของข้ามาด้วย!” เมื่อพูดเหน็บแนมเสร็จ ปีศาจโลหิตก็หันตัวเดินจากไปอย่างสบายใจ เห็นได้ชัดว่ามีความมั่นใจมาก แน่ใจว่าเหมียวอี้จะต้องมาขอร้องแน่นอน
เหมียวอี้กำหมัดแน่นสองข้าง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไปตกหลุมพรางอีกฝ่ายได้อย่างไร หลังจากครุ่นคิดแล้ว ก็พบว่ามีแค่ก่อนหน้านี้ที่ได้ติดต่อกับอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้สัมผัสโดยตรง หรือว่าจะเพราะเป็นลมหายใจกลิ่นคาวเลือดที่อีกฝ่ายพ่นใส่?
เขาได้แต่มองตามเงาร่างของปีศาจโลหิตหายไปที่หัวถนน จนใจที่ทำอะไรอีกฝ่ายที่ตลาดสวรรค์ไม่ได้ เขาอยากจะวิ่งไปขอให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงช่วยเหลือ แล้วจับผู้หญิงคนนี้มาฆ่าให้ตายเสียเลย แต่เขาก็เปลี่ยนความคิดทันที เพราะเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ยอมช่วยเรื่องนี้แน่ อีกฝ่ายเคยโดนหวงฝู่จวินโหรวตำหนิไปรอบหนึ่งแล้ว ถ้าเทียบตนกับหวงฝู่จวินโหรว เซี่ยโห้วหลงเฉิงต้องเชื่อฟังคำพูดของหวงฝู่จวินโหรวมากกว่าแน่นอน
วางเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว เขาไม่อยากลิ้มรส ‘วิญญาณโลหิต’ อีกครั้ง ตอนนี้เรื่องถอนพิษต้องมาเป็นอันดับแรก
ร่างกายอ่อนเปลี้ยเพลียแรง พอหันตัวมาก็ไถลตัวตามช่องหน้าต่างนั่งลงบนพื้น พอนั่งขัดสมาธิแล้ว ก็รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูอาการในร่างกาย ทว่าตรวจดูซ้ำแล้วซ้ำอีก ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าไม่พบความผิดปกติใดๆ เลย ไม่รู้เหมือนกันว่าพิษนั่นซ่อนอยู่ตรงไหน
หรือว่าต้องรอให้พิษกำเริบอีกครั้ง ถึงจะพบว่ามันซ่อนตรงไหน? แต่ถ้ารอให้พิษกำเริบแล้วค่อยแก้ปัญหา ตอนนั้นเขาก็ไม่มีทางควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองได้เลย ตัวเองจะได้ร่ายอิทธิฤทธิ์ทรมานตัวเองอีกเหมือนเดิม แม้แต่เคล็ดวิชาอัคนีดาราในร่างกายก็ไม่สามารถถอนพิษได้ ค่อนข้างยุ่งยากจริงๆ
หลังจากทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ไปรอบหนึ่ง เหมียวอี้ก็ไม่สนใจสูตรบ้าบออะไรแล้ว ร่ายเคล็ดวิชาอัคนีดารากลั่นเปลวเพลิงไร้รูปร่างออกมาชำระล้างทั้งร่างกาย ไม่ปล่อยผ่านไปแม้แต่จุดเดียว ไม่สนใจว่าจะได้ผลหรือไม่ พยายามฆ่าพิษให้ตัวเองอย่างถึงที่สุดรอบหนึ่ง
สรุปก็คือเขาไม่เชื่อว่าถ้าตัวเองมอบของคืนให้ปีศาจโลหิต แล้วอีกฝ่ายจะปล่อยเขาไป ทั้งสองฝ่ายผูกความแค้นต่อกันไว้ใหญ่หลวง ถูกลิขิตให้ต้องตายกันไปข้าง ถ้าไม่รู้แม้กระทั่งโดนพิษอะไรหรือโดนพิษตรงไหน ต่อให้ประนีประนอมกัน เจ้าก็ไม่รู้อยู่ดีว่าอีกฝ่ายได้แก้พิษให้เจ้าแล้วหรือเปล่า ชีวิตโดนบีบอยู่ในมือคนอื่นแล้ว จะไปเจรจากันอย่างยุติธรรมได้อย่างไรกัน
โชคดีที่กำจัดพิษให้ตัวเองไปแล้ว เขารู้จักร่างกายของตัวเองดีมาก ไม่ใช่เรื่องที่เปลืองแรงสักเท่าไร ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงจะยุ่งยาก อาจเผลอทำให้บาดเจ็บได้
บนชั้นลอยของร้านค้าสมาคมวีรชน หวงฝู่จวินโหรวกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ถือปิ่นผักผมรูปแมลงปอสีแดงไว้ในมืออย่างเหม่อลอย จนกระทั่งข้างล่างมีเสียงเคาะประตู ถึงได้ตอบว่า “เข้ามาได้” พร้อมเก็บปิ่นปักผมไว้ในกล่องเครื่องประดับ
ปีศาจโลหิตอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด ขึ้นมาเรียกพร้อมยิ้มอย่างสนิทสนม “เถ้าแก่น้อย!”
หวงฝู่จวินโหรวเอียงหน้ามองนาง แล้วถามว่า “ทำสำเร็จแล้วเหรอ?”
ปีศาจโลหิตเริ่มหัวเราะคิกคัก “แน่นอนอยู่แล้ว ข้ารู้ดีที่สุดว่านั่นคือสภาพตอนพิษวิญญาณโลหิตกำเริบ หลอกสายตาข้าไม่ได้หรอก ถ้าเถ้าแก่น้อยได้ไปดูพร้อมกับข้าก็จะรู้เอง ท่าทางเวลาไอ้ชั่วนั่นทรมานจนอยากตาย รับรองว่าเถ้าแก่น้อยเห็นแล้วจะสะใจมากแน่นอน”
ท่าทางทรมานจนอยากตาย? หวงฝู่จวินโหรวเงียบไปพักหนึ่ง ไม่รู้ว่าท่าทางเวลาหนิวโหย่วเต๋อทรมานจนอยากตายเป็นแบบไหน ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าจะต้องน่าเวทนามาก เจ็บปวดมากแน่นอน คาดว่าคนคนนั้นคงอยากฆ่านางให้ตายแล้ว นางถามอย่างสงบนิ่งว่า “เขาตอบตกลงจะคืนของให้หรือเปล่า?”
ปีศาจโลหิตพ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “ตอนนี้ปล่อยให้เขาปากแข็งไปก่อนเถอะ หนึ่งวันพิษกำเริบสามครั้ง ข้าจะคอยดูว่าเขาจะทนได้สักกี่ครั้ง! เถ้าแก่น้อยไม่ต้องห่วง หลังจากพิษวิญญาณโลหิตกำเริบ ก็ไม่มีใครทนได้เกินสามวันหรอก รับรองว่าเขาจะทรมานจนทนไม่ไหว แล้วนำของกลับมาคืนแต่โดยดี!”
หวงฝู่จวินโหรวเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในอารมณ์ไหน ถามซักไซ้ว่า “เขาจะหาวิธีการถอนพิษเจอรึเปล่า?”
ปีศาจโลหิตยังนึกไปว่านางกลัวเหมียวอี้จะหาทางถอนพิษได้ “เถ้าแก่น้อยไม่ต้องห่วง พิษของข้าไม่ใช่ยาพิษทั่วไป ไม่ใช่สิ่งที่ยาถอนพิษจะรับมือไหว และไม่ใช่ว่าหมอเทวดาทุกคนจะถอนพิษได้ คนที่สามารถถอนพิษ ในใต้หล้านี้มีน้อยมากจนนับนิ้วได้ ถ้าข้าไม่ได้ชี้แนะ ในช่วงแรกเขาจะไปหาคนที่สามารถให้ให้ยาตรงกับโรคเจอได้อย่างไร นอกจากยอมจำนน เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หรือไม่เขาก็ต้องตัดหัวตัวเองลงมา!”
ณ ร้านขายของชำซื่อตรง เหมียวอี้ไม่ได้ตัดหัวตัวเองลงมา เพียงแต่พบว่าหัวตัวเองมีปัญหานิดหน่อย พอเปลวเพลิงไร้รูปร่างกวาดชำระล้างไปจนถึงส่วนหัว เขาถึงได้พบความผิดปกติ หมอกสีดำกลุ่มหนึ่งลอยวนขึ้นมาบนยอดศีรษะ
ที่แท้พิษก็ซ่อนอยู่ที่ศีรษะตัวเอง เหมียวอี้ไม่กล้าประมาทเลินเล่อ จึงแม้จะรู้จักร่างกายตัวเองดีมาก แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรประมาทกับศีรษะตัวเอง ถ้ามีอะไรผิดพลาดตัวเองอาจจะกลายเป็นไอ้โง่ได้
รอจนกระทั่งหมอกสีดำค่อยๆ หายไปจนหมดสิ้น เหมียวอี้ก็ลืมตาขึ้นช้าๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าถอนพิษหมดเกลี้ยงแล้วหรือยัง เขาใส่ยาแก่นเซียนเม็ดหนึ่งเข้าไปในปาก แล้วเริ่มฟื้นฟูพลังกายและพลังอิทธิฤทธิ์ที่เสียไป
รอจนกระทั่งฟื้นฟูกำลังวังชากลับมาอีกครั้ง เหมียวอี้ก็ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งแล้วยืนขึ้น เขากำหมัดสองข้าง เสื้อผ้าปลิวสะบัดเองโดยไร้ลม พลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดอยู่ในร่างกายราวกับแม่น้ำที่ไหลทะลักอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร ทำให้คนรู้สึกมั่นใจราวกับสามารถทะยานขึ้นสวรรค์ไปสอยดวงจันทร์ได้ ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่แบบนั้นทำให้เขาอยากจะวิ่งไปใส่เดี่ยวกับปีศาจโลหิต ความโชคดีในความโชคร้ายที่เหนือความคาดหมาย เรียกได้ว่าทำให้เขาดีอกดีใจไม่หยุด