บทที่ 1127 หัวใจดวงเล็กที่กระเด้งกระดอนไปทั่ว

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

พลบค่ำของวันที่การต่อสู้จบลง พวกมู่เฉินได้ตั้งเต็นท์บนลานกว้างที่ยังถือว่าสะอาด ถึงแม้ในโกดังอาหารแห่งนั้นจะมีที่พักพร้อมเข้าพักได้เลย แต่พอเห็นใยแมงมุมที่เกาะอยู่ทุกซอกทุกมุมเหล่านั้น ก็ไม่มีใครคิดอยากอยู่ในนั้นต่อ

ดังนั้นนอกจากพวกเย่เลี่ยนที่ยังเดินสำรวจอันตรายที่อาจหลงเหลืออยู่และค้นหาของรางวัลที่ได้จากการชนะศึกแล้ว คนอื่นๆ ต่างนั่งอยู่หน้าเต็นท์ ใช้ถ้วยชามและเตาแก๊สทำอาหารมื้อเย็น

หลังจากนอนพักในเต็นท์ครู่หนึ่ง เจ้าลิงผอมและกู่ซวงซวงที่สลบไสลก็ฟื้นขึ้นมาในเวลาไล่เรี่ยกัน เพียงแต่ต่างจากเจ้าลิงผอมที่พอฟื้นก็ตะโกนโหวกเหวกทันที พอลืมตากู่ซวงซวงก็ยกมือกุมศีรษะ พลางลุกขึ้นอย่างสะลึมสะลือ “เวียนหัวจังเลย…มีใครรู้บ้างไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?”

พวกเย่ไคมองหน้ากันแวบหนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้า “ไม่รู้สิ…”

“งั้นหรอ…ใช่สิ…ฉันจำได้ว่าฉันหาเจ้าลิงผอมเจอแล้ว ที่…แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ เหมือนพวกนายจะช่วยพวกเราออกมามากกว่า…ซอมบี้ตัวนั้นล่ะ? ตายหรือยัง?” เห็นชัดว่าความคิดของกู่ซวงซวงยังไม่เข้าที่เข้าทางดี

“ใครก็ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟังหน่อยแล้วกัน” หลิงม่อพูดขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศอึดอัด จากนั้นก็หันไปถามเจ้าลิงผอม “นายช่วยเล่าหน่อยได้ไหมว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น? นายดู…อาการไม่ค่อยดี”

หลังจากที่มู่เฉินช่วยปลอบและอธิบายเรื่องราวให้ฟัง ตอนนี้เจ้าลิงผอมใจเย็นลงมากแล้ว เพียงแต่บนศีรษะของเขายังคงมีเหงื่อซึม ร่างกายก็ยังกระตุกสั่นเบาๆ พอได้ยินหลิงม่อถามอย่างนั้น เจ้าลิงผอมพลันชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยตอบว่า “ผมไม่เป็นไร ตอนนี้ผมดีขึ้นแล้ว…ส่วนเรื่องตอนนั้น คงต้องเล่าตั้งแต่ก่อนที่ผมกับกู่ซวงซวงจะเข้าไปในช่องทางเดิน…”

จากนั้น เขาก็เล่าเรื่องที่ตัวเองกับกู่ซวงซวงได้ยินเสียงฝีเท้าประหลาด รวมถึงตอนที่เห็นเงาคนให้ทุกคนฟังหนึ่งรอบ พอเล่าถึงตอนที่อีกฝ่ายเดินจากไป แล้วเขาก็ค่อยๆ แทรกตัวออกมาจากผนังฝังศพอย่างระมัดระวัง และถูกจับตัวไป สีหน้าของเจ้าลิงผอมพลันย่ำแย่ลงอีกครั้ง เสียงของเขาเบาลง ราวกับว่ายังหวาดกลัวกับเหตุการณ์นั้นไม่หาย

“ตอนนั้นผมเพิ่งจะมุดออกมา คิดว่าคงปลอดภัยชั่วคราวแล้ว แต่กลับรู้สึกเหมือนถูกแขนข้างหนึ่งจับ ตอนนั้นความคิดแรกของผมคือร้องขอความช่วยเหลือ แต่ผมเพิ่งจะร้อง ก็รู้สึกเหมือนหัวโดนอะไรบางอย่างกระแทกอย่างแรง จากนั้นก็หมดสติไป ความรู้สึกนั้นมันแปลกมาก เพราะผมรู้ว่าตัวเองไม่ได้บาเจ็บ แต่ร่างกายกลับไม่อยู่ในการควบคุม แม้แต่ลิ้นก็ไม่ขยับตามต้องการ หลังจากที่คนคนนั้นโจมตีผม มันก็โยนผมไว้ด้านหนึ่ง ตอนนั้นผมเห็นรางๆ ว่ากู่ซวงซวงเดินออกมา แต่เธอเหมือนมองไม่เห็นผม เอาแต่กวาดมองไปรอบตัวอย่างหวาดกลัว…ผมพยายามเรียกเธอ แต่เธอกลับไม่ได้ยินเสียงอันแผ่วเบาของผม…จากนั้น ผมก็ถูกคนคนนั้นลากไปยังทางเดินอีกเส้น แล้วกู่ซวงซวงก็เดินตามมา”

“ตลอดเส้นทาง ผมเห็นกู่ซวงซวงเดินตามผมกับคนคนนั้น แล้วก็เห็นเธอทิ้งสัญลักษณ์ไว้ให้ทุกคน ผมพยายามจะบอกให้เธอกลับไป อย่าเดินตามมาอีก แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงมองเธอเดินไปสู่อันตรายไปพร้อมกับผม แล้วก็ทำได้เพียงรอเวลากลายเป็นตัวภาระ เป็นเหยื่อล่อที่ทำให้ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตรายอีกครั้ง…จนถึงเมื่อกี้ที่ผมฟื้นขึ้นมา ผมก็ยังเอาแต่คิดเรื่องนี้ ความรู้สึกที่รู้ดีว่าจะต้องเกิดเรื่องร้ายๆ ตามมา แต่กลับไม่ปัญญายับยั้งอะไรได้เลย มันช่าง…เลวร้ายสุดๆ…” เจ้าลิงผอมกดใบหน้าลงในฝ่ามืออย่างทนไม่ไหว แล้วพูดเสียงอู้อี้อีกว่า “ขอโทษนะ…ผมอ่อนแอเหลือเกิน ผมกลายเป็นภาระให้ทุกคนตลอดเลย…”

ได้ยินอย่างนั้น ทุกคนต่างนิ่งเงียบ ชั่วขณะหนึ่งมีเพียงเสียง “ปุดๆ” ของน้ำซุปที่กำลังเดือดดังท่ามกลางความเงียบ หลิงม่อเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกมือตบไหล่เจ้าลิงผอม บอกว่า “เอาล่ะ ตอนนี้ทุกคนก็ปลอดภัยกันหมดแล้วไม่ใช่หรอ? ทุกคนมีบทบาทที่แตกต่างกันไป เพียงแต่นายไม่เก่งเรื่องการต่อสู้ อีกอย่างความจริงเรื่องนี้เป็นความผิดฉันเองที่ที่ทิ้งนายกับกู่ซวงซวงซึ่งทำหน้าที่ตรวจการณ์ไว้แค่สองคน โดยไม่เหลือคนอื่นไว้คอยคุ้มครองพวกนาย”

“หัวหน้า อย่าพูดแบบนั้นเลย ไม่มีใครรู้หรอกว่าผู้หญิงคนนั้นคือตัวการ มาคิดดูตอนนี้ เรื่องที่นายมักรู้สึกว่าซอมบี้ร่างแม่ตัวนั้นกำลังจ้องนายอยู่ ไม่แน่อาจเป็นกลยุทธ์ของมันที่ต้องการปกปิดแผนที่แท้จริงก็ได้” มู่เฉินรีบบอก

อวี่เหวินซวนเองก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย เขาบอกว่า “พวกเราไม่มีทางหยั่งรู้ถึงอันตรายได้ทั้งหมดหรอกนะ ดังนั้น สิ่งที่พวกเราทำได้ คือหลังจากที่อันตรายปรากฏ เราต้องจัดการมันอย่างสุดความสามารถ และถ้าวัดจากจุดนี้ พวกเราก็ถือว่าประสบความสำเร็จมาก และเรื่องนี้ จะขาดความดีความชอบของนายไปไม่ได้เลยนะ หลิงม่อ”

“ใช่แล้วครับ…” เจ้าลิงผอมเองก็เงยหน้ามองหลิงม่ออย่างซาบซึ้ง พลางบอกว่า “ทุกคนไม่โทษผม เท่านี้ผมก็ซาบซึ้งมากแล้ว…ถ้าหากว่าทุกคนไม่พูดอย่างนี้ ผมคง…”

“เอาเถอะ เป็นเพื่อนร่วมทีมกันทั้งนั้น อย่าพูดอะไรห่างเหินอย่างนั้นเลย เจ้าลิงผอม จากที่ฟัง เหมือนว่านายจะหมดสติไประหว่างทางงั้นหรอ?” หลิงม่อถาม

ขณะเดียวกัน ตอนนี้กู่ซวงซวงก็ฟังเย่ไคเล่าเรื่องทั้งหมดจบแล้วเช่นกัน เธอจึงพูดแทรกขึ้นว่า “แต่ว่า…ตอนนั้นฉันเห็นนายนี่นา…”

“ไม่…ตอนนั้นฉันหมดสติไปแล้ว…ระหว่างทางคนคนนั้นตีฉันจนสลบ ส่วนต่อจากนั้นฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง” เจ้าลิงผอมส่ายหน้า

“ฉันเข้าใจแล้ว…หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นตีเจ้าลิงผอมหมดสติ เธอก็สะกดจิตกู่ซวงซวง ทำให้กู่ซวงซวงคิดว่าตัวเองเจอเจ้าลิงผอม…แสดงว่าเธอเลือกที่จะโจมตีทีละคน เดาว่าสาเหตุที่เธอไม่เลือกกู่ซวงซวงเป็นเป้าหมายหลัก เพราะว่ากู่ซวงซวงเป็นผู้มีพลังจิต ยากต่อการสะกดจิต แต่ถ้าหากเลือกสะกดจิตตอนที่เธอจิตใจว้าวุ่นและร้อนรนเพราะเพื่อนร่วมทีมหายตัวไปล่ะ? ตอนนั้นล่ะที่จิตใจของเธอจะมีช่องโหว่ชัดเจนที่สุด…” หลิงม่อวิเคราะห์

ทุกคนครุ่นคิดตาม ไม่นานก็พากันพยักหน้าอย่างเห็นด้วย จางซินเฉิงถือทัพพีคนแกงในหม้อ แล้วอยู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “หัวหน้า แล้วภารกิจต่อไป…”

“อ้อ…พูดถึงเรื่องนี้ ฉันกำลังจะแจ้งเรื่องหนึ่งให้ทุกคนรู้พอดี ครั้งนี้แม้ว่าทุกคนผ่านพ้นอันตรายมาได้อย่างปลอดภัย แต่กลับเหนื่อยล้ากันมาก นอกจากนี้ เรื่องที่เกิดที่นี่ก็ถือเป็นบทเรียนสำหรับพวกเรา เห็นชัดว่านอกจากกลุ่มผู้รอดชีวิตนิพพานที่รู้ตำแหน่งที่ตั้งของโกดังอาหารแห่งนี้ ยังมี ‘เจ้าถิ่น’ ที่อาศัยอยู่รอบๆ อีกด้วย…พวกเขาอาจเป็นมนุษย์เหมือนพวกเรา และอาจเป็นซอมบี้ด้วย หรือไม่ก็อาจเป็นสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่เราไม่รู้จักก็ได้ ถึงจะไม่รู้ว่าทุกโกดังจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเหมือนกันหรือเปล่า แต่ยังไงฉันก็ตัดสินใจแล้วว่าพวกเราจะออกเดินทางไปยังสถานที่ต่อไป หลังจากพักผ่อนกันก่อน อย่างน้อยก็รอให้ทุกคนฟื้นพลังกันอย่างเต็มที่ แล้วค่อยออกเดินทางก็ยังไม่สาย” หลิงม่อประกาศ

หลังจากได้ยิน ทุกคนก็มองหน้ากัน พวกเขาไม่ได้แสดงท่าทีคัดค้านหรือไม่เห็นด้วยแต่อย่างใด มู่เฉินยังหัวเราะกรุ้มกริ่ม พร้อมกับพูดหยอกล้อว่า “ฉันว่า…เป็นเพราะไฟรักของหัวหน้ามอดไปนานแล้ว ก็เลยอยากแบ่งเวลาออกมาสุมไฟรักซะมากกว่าล่ะมั้ง…”

“ฮ่าๆๆๆๆ…”

“ไม่เป็นไร พวกเราเข้าใจ เข้าใจดี!”

“หัวเราะอะไร เข้าใจอะไรกัน! พวกนายช่วยจริงจังกันหน่อยไม่ได้หรอไง!” ตอนแรกกู่ซวงซวงยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่พอเห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่เกลื่อนใบหน้าของชายหนุ่มเหล่านี้ เธอก็กระจ่างทันที พวงแก้มร้อนผะผ่าว พลันรีบคัดค้าน “หัวหน้าไม่เหมือนพวกนายซักหน่อย…”

ทว่าคำพูดต่อมาของหลิงม่อกลับทำให้เธอหน้าแดงก่ำอย่างแท้จริง…

หลิงม่อเหล่มองเธอแวบหนึ่ง แล้วพูดเสียงเรียบว่า “ใครบอกพวกนายว่าไฟรักของฉันมอดไปนายแล้ว? ฉันจ่ายภาษีทุกสองวันเหอะ” ( 缴公粮 จ่ายภาษี ในภาษาจีนมีความนัยแฝงหมายถึงการร่วมรักระหว่างสามีภรรยา แต่หากร่วมรักกับผู้อื่นที่ไม่ใช่คู่ครองของตัวเอง เรียกว่า 交余粮)

พอเห็นทุกคนอึ้งปากค้าง แม้แต่กู่ซวงซวงก็ยังเบิกตากว้างจ้องมาที่ตัวเอง หลิงม่อจึงลุกขึ้นยืนและปัดเสื้อผ้า กระแอมไอสองสามที บอกว่า “ต่อไปอย่าสอดแนมเรื่องส่วนตัวของหัวหน้าอีกล่ะ เดี๋ยวฉันจะไปดูพวกเย่เลี่ยนที่โกดังอาหารหน่อย”

จนกระทั่งเมื่อเงาหลังของหลิงม่อหายเข้าไปในพุ่มหญ้า ใบหน้าของกลุ่มคนที่นั่งอยู่รอบหม้อแกงที่กำลังเดือดปุดๆ ก็ยังอึ้งค้างไม่ได้สติ ผ่านไปครู่ใหญ่ กู่ซวงซวงถึงเพิ่งร้อง “อ๊าย” ยกสองมือปิดใบหน้าอันแดงก่ำ แล้วหันหลังมุดกลับเข้าไปในเต็นท์ ส่วนมู่เฉินกลับหันซ้ายหันขวามองหน้าคนที่อยู่ข้างๆ เขา พลันถามขึ้นอย่างสงสัย

“มีใครเคยได้ยินบ้างไหม?”

“ไม่เคยนะ…แต่เมื่อกี้ฉันรู้สึกเหมือนถูกเขาหยามน้ำหน้ายังไงไม่รู้…”

“ฉันไม่เห็นรู้สึกอะไร…”

อวี่เหวินซวนเพิ่งจะพูดจบ ก็ถูกทุกคนจ้องทันที “ไม่อย่างนั้นทุกคนจะเรียกนายว่าเฟิ่งจื่อ (คนบ้า) หรอ…”

“นี่ๆ อยู่ๆ ก็หันมาโจมตีฉันแทนได้ยังไงเนี่ย! เรื่องที่พวกนายโสดเป็นความผิดฉันหรือไง ฉันเองก็โสดเหมือนกันนะ…”

หลังจากเดินออกมาได้ไม่นาน หลิงม่อก็ได้ยินเสียง “สวบสาบๆ” ดังขึ้นท่ามกลางพุ่มไม้โดยรอบ เขายังไม่ทันหยุดเดิน เงาร่างขนาดใหญ่เงาหนึ่งก็พลันกระโจนออกมาจากข้างหลัง และพุ่งเข้ามาหาเขาโดยตรง

หลิงม่อเหลือบมองข้างหลังทันที ขณะเดียวกันก็โฉบร่างหลบออกไปด้านข้างอย่างกะทันหัน หลีกทางให้เงาร่างนั้นพุ่งเฉียดตัวเขาไป

โครม!

เงาร่างที่โตมตีพลาดเป้าล้มกระแทกพื้นอย่างแรง หญ้าบนพื้นถูกทับแบนเป็นวงกว้าง ซ้ำยังทิ้งหลุมขนาดใหญ่ไว้บนพื้นอีกด้วย แต่เห็นชัดว่าการดิ่งกระแทกพื้นในระดับความรุนแรงเท่านี้ไม่ได้สร้างบาดแผลให้เงาร่างขนาดใหญ่นั้นแต่อย่างใด มันสะบัดหัวไปมาอย่างมึนๆ จากนั้นก็ยื่นหัวมาที่ขาของหลิงม่อ

เห็นศีรษะขนาดใหญ่แลดูดุร้ายขนาดนั้นยื่นเข้ามาใกล้ตัวเอง หลิงม่อกลับย่อตัวและตบหัวมันเบาๆ อย่างนึกขำ จากนั้นก็ปล่อยให้มันเกยคางที่ขาเขา

“จะนำทางหรอ?” หลิงม่อถาม

“แบ๊!” เสี่ยวป๋ายเงยหน้าขึ้น พลางร้องอย่างตื่นเต้น

หลิงม่อยิ้มบาง จากนั้นก็กระโดดขึ้นไป เสี่ยวป๋ายออกวิ่งด้วยความเร็วโดยมีหลิงม่อขี่อยู่บนหลัง ไม่กี่วินาทีต่อมา มันก็พาเขาวิ่งไกลออกไปหลายเมตร และเบื้องหน้าเขา ก็คือโกดังอาหารอันวังเวงแห่งนั้นนั่นเอง…

ระหว่างที่ขี่หลังเสี่ยวป๋ายที่กำลังวิ่งต่อไป หลิงม่อล้วงบอลกลมๆ ลูกหนึ่งออกมาอย่างครุ่นคิด เขาจ้องพิจารณามันอย่างละเอียด เจ้าลูกบอลที่คล้ายแมงกะพรุนสีแดงกำลังขดตัวอยู่นี้ ก็คือเจ้ามาสเตอร์บอลที่กลืนกินพลังจิตของซอมบี้ไปไม่น้อยแล้วนั่นเอง ถึงแม้ว่ามันจะทำสำเร็จได้เพราะมีหลิงม่อคอยช่วย แต่ในการต่อสู้ครั้งนั้น มันกลับมีบทบาทสำคัญมาก

“ซอมบี้ตัวนั้นบอกว่า มันเป็นหนึ่งเดียวกับฉัน…หมายความว่ายังไงกันแน่…” หลิงม่อโยนเจ้ามาสเตอร์บอลขึ้นลง ส่วนเจ้ามาสเตอร์บอลนั้นได้เข้าสู่สภาวะหลับใหลอีกครั้งหลังดูดกลืนพลังจิต แต่เวลาหลิงม่อกำมันไว้ในฝ่ามือ เขากลับรู้สึกว่ามันเหมือนหัวใจดวงหนึ่ง ที่กำลังเต้นอย่างต่อเนื่อง…

“ไม่เข้าใจเลยจริงๆ…”