ที่เมืองก้นบึ้ง
เล่ยมู่ เจ้าเมืองผู้มีแผลเป็นน่ากลัวอยู่ในส่วนลึกที่เป็นที่ลับอันเต็มไปด้วยลาวาร้อนระอุ ลาวาเดือดพร้อมกับเพลิงสว่างจ้าได้สร้างภาพอันตระการตา ในลาวาร้อนๆนั้นมีกระบี่ขาวกระจ่างอยู่ด้วย!
อัสนีสั่นสะเทือนในกระบี่ อัสนีคำรามลั่นไม่หยุดหย่อน พลังทำลายล้างจากระบี่นั้นเอ้อล้นออกมา!
เล่ยมู่ยินดีอย่างมาก
“ข้าได้แก่นกระบี่มาแล้ว เหลือแค่ชำระมันด้วยโลหิตก็สำเร็จ!”
ก๊อง ก๊อง ก๊อง—
ในตอนนั้น เสียงโลหะกระทบกันดังอย่างบ้าคลั่งจากโลกเบื้องบน
เล่ยมู่ชักสีหน้า เขาทิ้งสถานที่นี้ไปยังตำหนักเจ้าเมือง
“เกิดอะไรขึ้น?”
เมืองระส่ำระสาย ราชามนุษย์หลายคนบินเข้ามาด้วยความกลัว
“ท่านเจ้าเมือง!”
หนึ่งในนั้นร้องไห้
“รีบออกมาเร็ว! ม่านพลังที่ปกป้องเมืองมัน…!”
เล่ยมู่ออกสู่โลกภายนอก เขาเงยหน้ามองดูสิ่งรอบข้าง เขาเห็นแค่เพียงม่านหลากสีที่กำลังจะพังทลายในทุกเมื่อ!
“นี่มัน…”
เล่ยมู่ตกใจ
“แย่แล้วท่านเจ้าเมือง!”
บางคนตะโกนและพุ่งเข้ามา เล่ยมู่จำได้ว่าคนคนนี้คือคนที่เฝ้าดูม่านพลังที่ปกป้องเมือง เขาถือแก้วห้าสีที่กลายเป็นเถ้าถ่านในมือ เขาหน้าซีด
“แก้วเทพกำเนิดห้าธาตุ มันถูกสลับไป!”
เล่ยมู่ตกตะลึง
“มันถูกสลับไปเมื่อไหร่?”
“ทำไมเพิ่งมารู้ตอนนี้?”
อีกฝ่ายสับสนและหวาดกลัวอย่างมาก
“ท่านเจ้าเมือง! ม่านพลังจะคงตัวอยู่ได้ถ้าไม่มีแก้วไปครึ่งเดือน มันจะต้องถูกสลับไปเมื่อครึ่งเดือนก่อน!”
ครึ่งเดือนก่อน…
“ใครเป็นคนเฝ้าม่านพลังเมื่อครึ่งเดือนก่อนรึ?”
“มันคือ…มือขวาของเจ้าเมืองลำดับสอง…ฮงมู่!”
“มันเองเรอะ?”
เล่ยมู่เยือกเย็น
“คนของตังกุย! ตังกุย! เจ้าทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ข้าได้สร้างกระบี่และเป็นเจ้าเมืองแต่เพียงผู้เดียว เจ้าจะทำให้คนทั้งเมืองต้องตาย! นี่กำลังอยู่ในการบูชายัญโลหิตของตระกูลกุย ภูติผีกำลังจับมนุษย์ คนในเมืองจะไร้การคุ้มครอง! แก้วเทพห้าธาตุคือพลังที่ปกป้องเมืองก้นบึ้งมาตลอดห้าร้อยปี!”
ชายแก่ที่ปรึกษาที่มีเคราแพะหรี่ตา
“ท่านเจ้าเมืองอย่างเพิ่งใจร้อนไป เหตุครั้งนี้แปลกยิ่งนัก ถึงตังกุยจะหมายตาตำแหน่งเจ้าเมืองแต่ถ้าทุกสิ่งที่นี่ตกตายไปแล้วจะมีความหมายอันใดเล่า? เขาอาจจะกระทำการอย่างลับๆแต่เขาไม่โง่ พวกเราแค่ต้องติดต่อเขาโดยเร็วเพื่อหาตัวฮงมู่ว่าทำตามคำสั่งเขา…หรือเป็นฮงมู่ที่เป็นผู้บงการตัวจริง”
“พวกเราควรจะหาแก้วเทพกำเนิดห้าธาตุต่างหาก!”
เล่ยมู่ตวาดลั่น
“บัดซบ! ขโมยแก้วพลังไปในตอนที่ข้ากำลังสร้างกระบี่สายฟ้า…มันสมควรตายเป็นพันครั้ง!”
เล่ยมู่รีบใช้จี้เพื่อติดต่อกับตังกุย
ตังกุยที่กำลังรวบรวมภูติผีทำใบหน้าประหลาด
“อะไรนะ? แก้วห้าสี? ฮงมู่ขโมยไปงั้นเรอะ? เป็นไปไม่ได้!”
สัญชาตญาณแรกบอกเขาว่าเล่ยมู่กำลังหลอกเขา แต่เมื่อยืนยันแล้วว่าไม่เป็นเช่นนั้นเขาก็ท่าทางเปลี่ยนไป
“เจ้าเมืองเล่ยมู่ โปรดรีบไปตรวจสอบพื้นเพของฮงมู่โดยเร็ว”
ตังกุยพูด
“ส่วนข้าจะไปค้นห้าแก้วต้นกำเนิดห้าธาตุเดี๋ยวนี้!”
ตังกุยวางสร้อยหยกลง เขาคว้าสร้อยอีกครั้งเพื่อติดต่อหลู่มู่
“เจ้าอยู่ไหน?”
“ข้าอยู่ใกล้กับพวกมนุษย์นั่น…”
“มีอะไรรึท่านตังกุย?”
ตังกุยพูดอย่างหนักแน่น
“เล่ยมู่รู้ตัวแล้ว เขาเรียกข้ากลับไป มีเวลาไม่พอ พวกเราต้องจับตัวคนนอกสองคนนั่นให้ได้ รอข้าก่อน ข้าจะไปจับตัวพวกนั้นด้วย เราจะจบมันโดยเร็ว”
******
หลู่มู่เบิกตากว้างเมื่อการพูดคุยจบลง
“แย่แล้ว…ตังกุยกำลังมาหาข้า!”
หลู่มู่หยิบเข็มทิศที่ได้จากตังกุยและกัดฟันทำลายมันทันที
“ฮื่ม!”
เขาพูดด้วยความโกรธ
“ตุงกัย เมื่อไหร่กันที่ข้าทำเจ้าผิดหวัง ถึงได้ทำกับข้าเช่นนี้! ดูเหมือนข้าจะต้องไปอยู่ฝั่งเดียวกับผีซะแล้ว ฮงมู่เคยจับหนอนภูติผีมาได้และพยายามจะชักจูงพวกข้า หึ หากเรื่องมาถึงขั้นนี้ข้าก็ต้องไปอยู่ฝั่งเดียวกับพวกมัน!”
******
หนึ่งชั่วยามต่อมา ตังกุยกับรากษสทั้งสิบมาถึงจุดที่หลู่มู่บอกแต่ก็ไม่มีใครที่นี่ มีแต่เพียงความว่างเปล่า
ตังกุยใบหน้าดุร้าย จิตสังหารปกคลุมดวงตา
“กล้าหลอกข้าเรอะ?”
ฟึ่บ–
ครึ่งชั่วยามต่อมา ตังกุยกับเหล่ารากษสไปถึงเข็มทิศที่เขาให้กับหลู่มู่ ตังกุยกัดฟันแน่น เขามองเข็มทิศที่ถูกทำลายบนพื้น
“เจ้ายังกล้าทรยศข้าอีก!”
“แก้วต้นกำเนิดจากฮงมู่อยู่ที่เจ้าจริงๆสินะ! ฮื่ม! แต่ข้าก็คิดไว้แล้ว!”
พรึ่บ–
เขาสะบัดข้อมือเอาเข็มทิศอันใหม่ออกมา เข็มของมันชี้ไปในทิศทางเดียวกัน รอยยิ้มอันดุร้ายแสยะเผยออก
“ยอดเยี่ยม! พวกนั้นอยู่ทิศเดียวกัน ข้าไม่ต้องแยกกันหาพวกมัน!”
******
หลายชั่วยามผ่านไป เซี่ยจิงหยูกับซือหยูบ่มเพาะพลังสำเร็จ
เซี่ยจิงหยูร่างแทบโปร่งใส ข้อมือที่เผยออกมานั้นดูละเอียดราวกับผิวน้ำ มันปลดปล่อยพลังเหนือมนุษย์ออกมา ไอวารีมหาศาลปกคลุมกาย นางในตอนนี้เอาชนะราชามนุษย์จำนวนมากได้แล้ว
ส่วนร่างเทียมของซือหยูนั้นมีผนึกมากมายติดตรึงอยู่กับตัว ผนึกนั้นมีพลังอันน่ากลัว แม้ซือหยูก็ต้องตกใจในพลังนั้น เขาไม่รู้เลยว่าร่างเทียมของเขาแข็งแกร่งเท่าใดแล้ว
แต่ที่ซือหยูกังวลก็คือผนึกบนร่างเทียม นั่นหมายความว่าร่างเทียมของเขากำลังจะสร้างเลือดเนื้อ เขามองดูใกล้ๆและตระหนักได้ว่าร่างเทียมของเขามีจุดกำเนิดพลังเป็นของตัวเอง!
แม้ว่ามันจะสร้างมาจากเพลิง แต่มันก็มีพลังเพลิงมหาศาลจนทำให้ฐานพลังเพิ่มขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง! นี่เป็นครั้งแรกที่ซือหยูไม่สบายใจ เศษตำราระดับตำนานที่ร่างเทียมบ่มเพาะนั้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่อธิบายไม่ได้งั้นรึ?
ดูเหมือนว่าเขาจะต้องไปสืบเสาะเรื่องนี้จากตระกูลโบราณที่มอบวิชานี้มา
เซี่ยจิงหยูลืมตาขึ้น นางมิอาจปิดบังความตกใจในการเปลี่ยนแปลงของร่างกายได้
“นี่มันมหัศจรรย์จริงๆ! มีต้นกำเนิดวารีในตัวข้า พลังของวิชาวารีข้าก็เพิ่มอีกหลายเท่า!”
เพิ่มขึ้นหลายเท่ารึ? ซือหยูกัดลิ้นตัวเอง
“กลับไปที่ทางออกกันเถอะ”
เซี่ยจิงหยูพูด
“ถ้าหากไม่มีอสุราขาว เราอาจจะพังผนึกรากษสด้วยพลังของเราและหนีออกจากก้นบึ้งไปได้”
พลังของเซี่ยจิงหยูเพิ่มขึ้นมหาศาลและดูเหมือนนางจะมั่นใจขึ้นเช่นกัน ซือหยูคิดอยู่ชั่วครู่ แม้ว่าความคิดนั้นจะเสี่ยงมันก็คุ้มค่าที่จะลอง เพราะอย่างไรก้นบึ้งมังกรเก้านรกแห่งนี้ก็เพิ่มความประหลาดขึ้นอย่างน่าตกใจ
ซือหยูพยักหน้าและเก็บแก้วกำเนิดห้าธาตุเอาไว้กับตัว มันเหลือพลังวารีและอัคคีเพียงน้อยนิด ซือหยูไม่ลังเลที่จะเก็บมันไว้กับตัว
ทั้งสองพุ่งทะยานขึ้นเพื่อเตรียมจะออกจากก้นบึ้งแต่ทั้งสองก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างในเวลาเดียวกัน
“มีคนกำลังมา!”
ซือหยูประทับใจมาก จ้าวยี่หยูนั้นเฉียบคมขึ้นเมื่อได้รับต้นกำเนิดวารี!
ซือหยูหันไปมองหลู่มู่และรากษสทั้งสิบ! เขาขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ถอย หลายวันก่อนเขาอาจจะระวังมากกว่านี้ แต่ในตอนนี้…
“เดี๋ยวก่อน!”
หลู่มู่ตะโกน
“ข้าไม่ได้มาเพื่อสู้กับเจ้า! โปรดให้เวลาข้าสักเดี๋ยว!”
ซือหยูงุนงง
“เอ๋? พูดมา!”
หลู่มู่หยุดห่างจากพวกเขาร้อยศอก เขาทำความเคารพจากระยะไกล
“ข้าไม่ได้มาจับตัวพวกเจ้า…”
“แต่ข้าขอเตือนเจ้าว่าเจ้าเมืองตังกุยกำลังตามหาพวกเจ้า! เจ้าต้องรีบหนีไป!”
ตังกุยรึ? ใครกัน?
เซี่ยจิงหยูสีหน้าเคร่งเครียด
“เขามาเพื่อจับตัวพวกข้า…ด้วยตังเองงั้นรึ? เราจะเชื่อได้ยังไงว่าตังกุยออกจากเมืองเพื่อจับตัวพวกข้า? แล้วทำไมเจ้าถึงมาบอกพวกข้าเรื่องนี้?”
หลู่มู่หัวเราะอย่างขมขื่น
“ข้าจะบอกความจริง…ว่าข้าก็โดนตังกุยไล่ตามมาเหมือนกัน ข้าจึงต้องบอกพวกเจ้า เราจะแยกกันไปคนละทาง วิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้มีโอกาสหนีออกไป ส่วนเรื่องจับตัวพวกเจ้าเป็นการตัดสินใจของเจ้าเมืองทั้งสองคน พวกเขาอยากจะพาพวกเจ้าไปเป็นเครื่องเซ่นตระกูลกุย! เราต้องการเครื่องเซ่นมนุษย์หลายคนให้กับตระกูลกุยเพื่อการบูชายัญเพื่อให้แน่ใจว่าภูติผีในระยะหลายพันลี้จะไม่มาที่เมืองก้นบึ้ง เจ้าสองคนมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมและอ่อนเยาว์ทำให้เป็นเครื่องบูชายัญที่เหมาะสมที่สุด นั่นแหละเหตุที่พวกข้าถูกส่งมาจับตัวเจ้า”
เช่นนั้นรึ?
เซี่ยจิงหยูพูดเบาๆ
“หิมะทมิฬ เจ้าคิดอ่านประการใด?”
ซือหยูหัวเราะ
“เขาพูดจริงอยู่บ้าง ตอนนี้เชื่อเขาจะดีกว่า เราหนีก่อนจะเกิดการต่อสู้กันเถอะ!”
เซี่ยจิงหยูหนีไปพร้อมกับซือหยู
หลู่มู่ไม่จากไปทันที รอยยิ้มของเขาหายไปแทนที่ด้วยความเยือกเย็น
“ฮื่ม! โดนหลอกง่ายนัก! สมกับเป็นคนนอก!”
ฟึ่บ–
หลู่มู่หยิบขวดสีมรกตออกมา
“ข้าเอาพลังอสูรมาด้วย ข้าต้องกำจัดหนทางที่ตังกุยจะหาตัวข้าเจอ ข้าเตรียมขวดนี้มาหลายปี ข้าจ่ายหนักกว่าจะได้มา วันนี้ข้าจะใช้มันฉีดทั่วร่าง! ตังกุยมาถึงที่นี่เมื่อไหร่ก็จะคิดว่าข้าออกไปกับพวกคนนอกแล้ว เขาจะไล่ตามพวกนั้นและเลิกตามล่าข้า มีเวลามากมายนักให้ข้าหนี”
เขาพูดจบและเริ่มฉีดพลังอสูรทั่วร่าง แต่ในตอนนั้นกระบี่น้ำแข็งก็พุ่งทะลวงหัวใจของเขา
หลู่มู่ตกตะลึง
“เจ้าพวกคนนอกยังไม่ออกไปอีกเรอะ!”
เขาหันไปมองกระบี่น้ำแข็ง…ซือหยูกับเซี่ยจิงหยูพุ่งเข้ามา
“ด้วยพลังกึ่งเทพของตังกุย เขาสัมผัสได้ทุกสิ่งในฟ้าดิน เขาใช้เวลาแค่เสี้ยววิในการมาที่นี่ ข้าไม่คิดจะตายไปกับพวกเจ้า!”
เขาพูดและสะบั้นกระบี่น้ำแข็งแตกละเอียด!
“พลังระดับนี้ไม่พอจะทำร้ายข้า ข้าจะไปแล้ว…”
หลู่มู่ถอยและไม่คิดจะต่อสู้ แต่ก็มีวารีเยือกแข็งอยู่ในกระบี่น้ำแข็งที่แตกสลาย หลู่มู่รับรู้ได้แต่ไม่สนใจมากนัก แต่ในตอนนั้นเองวารีเยือกแข็งก็ได้ก่อตัวเป็นแมวตัวเล็กที่กระโจนเข้าไปชิงขวดมรกตมาจากมือหลู่มู่!
หลู่มู่ชักสีหน้าทันที เขาเอื้อมมือคว้าขวดอย่างลนลาน กระบี่น้ำแข็งที่แตกได้เปลี่ยนพื้นที่โดยรอบให้มีแต่คมน้ำแข็งที่ศีรษะของหลู่มู่ เขาที่ไม่ทันระวังตัวยกมือขึ้นมากันโดยไม่ทันคิด
แมวกับขวดมรกตนั้นถูกซือหยูคว้าเอาไว้ เขาแบกเซี่ยจิงหยูด้วยมือข้างเดียวและพ่นพลังในขวดใส่ตัวเองกับเซี่ยจิงหยูโดยไม่ลังเล
“ขอบคุณสำหรับของขวัญของเจ้า…”
ซือหยูประสานหมัดและหัวเราะ จากนั้นจึงสยายปีกกว้างออกมา
“แล้วพบกันใหม่”
เขาสะบัดปีกและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
หลู่มู่โกรธแค้น! เขาคิดจะใช้พวกซือหยูเพื่อถ่วงเวลา แต่เขากลับทำให้พวกนั้นหนีไปได้และกลายเป็นเป้านิ่งให้กับตังกุยเสียเอง! ทั้งสองร่วมมือกันด้วยวิชาน้ำแข็งและวารีจากนั้นจึงชิงของของเขาไป!
ความชิงชังเอ่อล้นออกมาแต่พลังอันน่ากลัวก็เข้ามาใกล้เขา หลู่มู่รีบหนีอย่างบ้าคลั่ง
******
ที่หลายพันลี้ ซือหยูกับเซี่ยจิงหยูมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นและหัวเราะ การที่ทั้งสองร่วมมือกันได้ดีนั้นเป็นดั่งสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งที่ประหลาด ซือหยูเริ่มรู้สึกว่านางคือคนคนเดียวที่จะร่วมมือกับเขาได้ดี และบังเอิญยิ่งนักที่นางใช้วิชาวารี ทั้งคู่นั้นมีสมดุลอันสมบูรณ์แบบ
เซี่ยจิงหยูรู้สึกแปลกยิ่งกว่าเดิม นางมองซือหยูอีกครั้งและรู้สึกว่าราชาปีศาจหิมะทมิฬตรงหน้านางซ้อนทับกับซือหยู
ทั้งสองมองกันและกัน ในหัวใจมีคำถามแบบเดียวกัน บรรยากาศเริ่มแปลกไป
ซือหยูวิเคราะห์จ้าวยี่หยู ระดับสติปัญญาอันเหนือชั้น บ่มเพาะวิชาวารี…นี่ไม่เหมือนกับเซี่ยจิงหยูหรอกรึ? และเซี่ยจิงหยูยังมีส่วนร่วมในการคัดเลือดจ้าวยี่หยู หรือว่านางจะทำสำเร็จ? ในความทรงจำของซือหยู แม้เซี่ยจิงหยูจะมีระดับปัญญาที่สูงส่ง แต่ระดับนั้นก็ยังไม่ถึงจุดที่นางจะเชี่ยวชาญได้ทุกวิชาบนโลก ไม่ต้องพูดถึงการสร้างวิชาที่ระดับด้อยกว่าวิชาระดับตำนานเพียงน้อยนิดเลย…แต่ทั้งคู่นั้นก็คล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อ
ซือหยูริมฝีปากขยับ ในตอนนั้นเซี่ยจิงหยูก็รวบรวมความกล้าที่จะพูดออกมา แต่เมื่อทั้งสองรับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดก็ได้แต่โพล่งออกมาพร้อมกัน
“เจ้าพูดก่อนสิ!”
ทั้งสองพูดพร้อมกันและตัวแข็งทื่อ
“ข้าก่อน…”
ทั้งสองพูดพร้อมกันอีกครั้ง
เซี่ยจิงหยูหน้าแดง หัวใจนางเต้นแรง ราวกับมีอะไรขวางลำคอของนาง หรือว่าจะเป็นเขาจริงๆ!
ซือหยูตกตะลึงเช่นกัน หรือนางจะเป็นเซี่ยจิงหยู?
ทั้งสองมองกันและกันและหายใจเข้าลึกเพื่อเตรียมเสียงที่จะเดา
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงหวานๆดังขึ้นมา
“พี่ชาย พี่สาว…ทำอะไรกันอยู่รึ?”
มั้งสองตัวสั่นและหัวไปมอง
ที่พื้นข้างใต้พวกเขานั้นมีเด็กสาวน่ารักที่มัดผมสองข้าง นางเงยหน้ามองพวกเขาอย่างไร้เดียงสาและยิ้มแย้ม นางดูอายุราวห้าขวบและสวมชุดสีสันสดใส ผิวของนางเรียบเนียน ไม่มีสิ่งใดที่เกินคำว่าสมบูรณ์แบบ นางมองทั้งสองด้วยสายตาซุกซน
ซือหยูก้าวไปข้างหน้าเพื่อขวางเซี่ยจิงหยู
“เจ้าเป็นใคร?”
แม้ว่าพวกเขาจะวอกแวกไปเมื่อสักครู่แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สัมผัสได้ถึงคนใกล้ๆ และยิ่งไปกว่านั้น เหตุใดเด็กไร้พิษภัยถึงมาอยู่ในสถานที่อันตรายอย่างก้นบึ้งมังกรเก้านรก?
เซี่ยจิงหยูรู้สึกหวาดกลัวเช่นกัน นางมองเด็กสาวตัวน้อย
เด็กสาวลืมตากว้างและยิ้ม
“ข้าคือจางตี๋เก้อ จางตี๋ที่แปลว่าขลุ่ย เก้อที่แปลว่าบทเพลง หึหึ! ชื่อข้าเพราะใช่ไหมล่ะ?”
จางตี๋เก้อ จางตี๋เก้อ…เซี่ยจิงหยูคิดถึงชื่อนี้ นางมั่นใจว่าได้ยินชื่อนี้มาก่อน!
******
หลู่มู่มิอาจรอดพ้นมือของตังกุย ตังกุยใช้พลังสีดำสนิทปกคลุมศีรษะของหลู่มู่โดยไม่สนใจเสียงกรีดร้องอันปวดใจ
“ฮื่ม!”
“เจ้าไม่รู้เรื่องแก้วกำเนิดห้าธาตุเรอะ! แล้วเจ้าจะหนีทำไมกัน? ดูเหมือนเจ้าจะระวังข้ามานานแล้ว แม้แต่เตรียมการหาที่หลบภัยกับตระกูลกุย! ข้าคงปล่อยให้เจ้ามีชีวิตไม่ได้อีกแล้ว!”
ฉั่วะ–
สมองของหลู่มู่ถูกเฉือนหายไป
ตังกุยหัวเราะและปล่อยให้ร่างไร้วิญญาณของหลู่มู่ร่วงลงสู่พื้น
“ถ้าอย่างนั้น…”
“ฮงมู่จะต้องเป็นพันธมิตรกับตระกูลกุย ตระกูลกุยบอกให้เขาชิงแก้วกำเนิดห้าธาตุไปงั้นรึ? บังเอิญที่คนนอกสองคนนั้นมาที่นี่ มิเช่นนั้นแก้มกำเนิดห้าธาตุก็คงไปอยู่ที่ตระกูลกุยแล้ว!”
ตอนนี้คนนอกไม่มีพลังอสูรติดตัว ตังกุยทำได้แค่ติดต่อเล่ยมู่
“ช่วยข้าหาคนนอกสองคนนั้นเร็ว!”
“พวกนั้นมีแก้วกำเนิดห้าธาตุในมือ!”
เล่ยมู่ที่อยู่ในเมืองวางสร้อยหยกและสาปแช่งอย่างโกรธแค้น
“เจ้าขยะเอ้ย!”
“คลาดกับเจ้าสองคนนั้นได้ยังไง!”
แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเมืองก้นบึ้ง เล่ยมู่ทำอย่างที่ตังกุยพูด เขาใช้สมบัติเทพเพื่อตามหาซือหยูกับเซี่ยจิงหยู ทั้งสองไม่มีทางรอดพ้นสมบัติเทพไปได้นอกจากจะมีฐานพลังที่เหนือกว่า
“ข้าเจอแล้ว…”
“พวกนั้นอยู่ในเส้นทางของเมืองก้นบึ้ง”
ตังกุยพยักหน้า
“มีอะไรอีกหรือไม่?”
เล่ยมู่มองรอบๆและพบเพียงแค่สองคนนั้น
“ข้าเห็นแค่สองคนนั้น…เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน…”
เล่ยมู่มองใกล้ๆและเห็นภาษากายของคนนอกทั้งสอง ดูเหมือนว่าทั้งสองจะกำลังคุยกับใครบางคนอยู่ ทั้งคู่ระวังตัวอย่างมาก…ราวกับว่ากำลังเจอศัตรู แต่ก็ไม่มีใครอยู่เบื้องหน้าพวกเขาที่กำลังพูด!
หยดเหงื่อเย็นไหลซึมบนแผ่นหลังเล่ยมู่
เล่ยมู่มองใกล้ขึ้นและพบกับสิ่งประหลาด เด็กสาวตัวน้อยปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า
นางมองผ่านมุมมองนั้นตรงมายังเล่ยมู่
ตึก ตึก ตึก–
เล่ยมู่ละสายตาออกจากเครื่องติดตาม เขาล้มลงกับพื้น
ใบหน้าเขาสลักด้วยความกลัว เขาตัวสั่นอย่างกระวนกระวาย
“จางตี๋…เก้อ…นั่นมัน…ภูติสวรรค์!”
ราชินีแห่งเหล่าภูติ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในก้นบึ้งมังกรเก้านรก ภูติสวรรค์ขอบเขตภูติ จางตี๋เก้อ!
******
เด็กสาวตัวน้อยมองซือหยูกับเซี่ยจิงหยู นางยิ้ม
“ข้าชื่อ จางตี๋เก้อ พี่ชาย พี่สาว พวกท่านชื่ออะไรรึ?”