ภาค 3 บทที่ 177 บอกชื่อแซ่ถามถึงคนที่จากไป

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

นี่เป็นสิ่งที่พ่อของข้าสอนให้นางงั้นหรือ? 

 

 

ได้ยินประโยคนี้ที่นิวหนิ่วถาม หยางจิ่งสีหน้ายิ่งไม่สบายใจ 

 

 

“นั่น เป็นอาจารย์ของคุณหนูจวินสอน” เขาเอ่ย 

 

 

นิวหนิ่วนั่งลงบนก้อนหินมองไปทางตีนเขา 

 

 

“อาหยาง ทุกคนล้วนรู้ว่าอาจารย์ของนางเป็นใคร เพียงแต่แม่ข้าไม่ยอมรับ พวกท่านจึงไม่กล้ายอมรับก็เท่านั้น” นางเอ่ยแล้วหยุดไปนิดหนึ่ง “อาหยางท่านวางใจ ข้าไม่เอ่ยต่อหน้าแม่ของข้าหรอก” 

 

 

ใช่สิ ตอนนี้ไม่ใช่ปัญหาว่าใช่หรือไม่ใช่แล้ว แต่เป็นยอมรับหรือไม่ยอมรับ หยางจิ่งยิ้มขมขื่นวูบหนึ่ง 

 

 

“นิวหนิ่วรู้ความที่สุด” เขาเอ่ย 

 

 

นิวหนิ่วก้มศีรษะลง 

 

 

“รู้ความแล้วอย่างไร” นางเอ่ยพึมพำ “พ่อข้าก็ไม่ต้องการข้าอยู่ดี” 

 

 

หยางจิ่งสีหน้ากระสับกระส่ายทันที 

 

 

“ไม่ใช่แบบนั้น” เขารีบร้อนเอ่ย 

 

 

อยากจะพูดอะไรบางอย่างก็ไม่รู้ควรปลอบคนอย่างไร กำลังมือไม้สับสนอยู่ ทางตีนเขาพลันมีคนวิ่งมา มองเห็นพวกเขาไกลๆ ก็ชูมือขึ้น 

 

 

“พี่ใหญ่หยาง พี่ใหย่หยาง รีบมาดูเร็ว” เขาร้องตะโกน เสียงสั่นด้วยความตื่นเต้น “คุณหนูจวินบอกว่าจะเปลี่ยนเท้าให้เถี่ยเจี่ยว” 

 

 

คำพูดนี้อยู่ที่อื่นคงรู้สึกว่าเป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง 

 

 

เท้าของคนจะเปลี่ยนตามใจได้อย่างไร แต่หยางจิ่งได้ยินคำนี้กลับตื่นเต้นทันที 

 

 

“จริงหรือ?” เขาเอ่ยถาม 

 

 

“ใช่แล้ว จริงๆ เมื่อครู่คุณหนูจวินไปส่งยาให้เมียของเหล่าไล่ พบเถี่ยเจี่ยวเข้า นางเห็นขาของเถี่ยเจี่ยวก็โพล่งออกมาว่าควรเปลี่ยนได้แล้ว เท้าข้างนี้ใช้มานานเกินไปแล้ว” คนผู้นั้นตะโกนอยู่ที่ตีนเขาพลางกวักมือให้หยางจิ่ง ตนเองก็หันกลังกลับวิ่ง “ทุกคนล้วนไปดูแล้ว” 

 

 

หยางจิ่งก็รีบร้อนก้าวไวๆ ไปทางตีนเขาด้วย ก้าวไปหลายก้าวก็หันกลับมา 

 

 

“นิวหนิ่ว ข้าไปดูก่อนนะ” เขาเอ่ย 

 

 

นิวหนิ่วพยักหน้าให้เขา มองหยางจิ่งวิ่งลงเขาไปจากนั้นค่อยมองไกลออกไป เห็นในหมู่บ้านมีคนไม่น้อยวิ่งไปยังทิศทางหนึ่ง 

 

 

เปลี่ยนเท้าข้างหนึ่งหรือ 

 

 

อาเถี่ยเจี่ยวทำไมชื่อว่าเถี่ยเจี่ยว เรื่องนี้นางรู้มาตั้งแต่เล็ก นั่นเป็นสงครามที่ดุเดือดครั้งหนึ่ง เฉกเช่นเดียวกับเวลาอื่น พวกเขายังคงได้รับชัยชนะ ทว่าขอเพียงเป็นสงครามย่อมโหดร้าย อาเถี่ยเจี่ยวเสียขาข้างหนึ่งไป 

 

 

อาเถี่ยเจี่ยวเพราะตนเองกลายเป็นคนพิการคนหนึ่งจึงโศกเศร้า ท่านพ่อจึงบอกว่าเท้าข้างเดียวเท่านั้น ทำให้เจ้าใหม่อีกอัน เจ้าก็ลุกขึ้นมาเดินได้แล้ว อย่าคิดขี้เกียจหนีทหาร 

 

 

หลังจากนั้นท่านพ่อก็ทำเท้าข้างหนึ่งออกมาจริงๆ ติดให้กับอาเถี่ยเจี่ยว 

 

 

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาอาเถี่ยเจี่ยวก็เดินได้อีกครั้ง ขี่ม้าง้างคันศรยิงธนูสังหารศัตรูได้ต่อ 

 

 

แต่นี่ล้วนเป็นเรื่องที่พวกผู้ใหญ่เล่า เหมือนกับเรื่องเล่าอื่นๆ เหล่านั้นที่เด็กทุกคนได้ยินคุ้นหูตั้งแต่เล็กยันโตจนเล่าได้ เรื่องเล่าของพ่อของนางแล้วยังมีเรื่องเล่าของพวกเขาเหล่านี้ 

 

 

ที่เรียกว่าเรื่องเล่าก็เพราะนางไม่เคยเห็นกับตา 

 

 

อาเถี่ยเจี่ยวในความทรงจำของนาง เป็นเพียงบุรุษวัยกลางคนผอมแห้งสงบปากสงบคำที่ทุกวันนั่งพิงไม้เท้า กระทั่งแพะก็เลี้ยงไม่ไหว ได้แต่ทำงานแยกผลไม้ป่า ตากผักป่าที่เก็บมาซึ่งพวกผู้หญิงทำ 

 

 

นางจินตนาการท่าทางขี่ม้าง้างคันศรยิงธนูสังหารศัตรูของคนผู้นี้ไม่ออก 

 

 

พ่อทำเท้าข้างหนึ่งให้เขา ตอนนี้คุณหนูจวินก็บอกว่าจะเปลี่ยนเท้าข้างหนึ่งให้อีก ท่านพ่อร้ายกาจมาก คุณหนูจวินก็ร้ายกาจมาก 

 

 

คุณหนูจวินคนนั้นหน้าตาน่ามองปานนั้น ฉลาดปานนั้น ร้ายกาจปานนั้น ทุกคนล้วนชมชอบ 

 

 

นิวหนิ่วก้มศีรษะมองมือของตนเอง แล้วยกมือปิดหน้าช้าๆ กั้นด้วยผืนผ้าชั้นหนึ่งก็สัมผัสความขรุขระหลุมร่องบนใบหน้าได้ 

 

 

นางลุกขึ้นวิ่งไปยังป่าภูเขา ทำเหล่าสกุณากระต่ายป่าในพนาตกใจอลหม่าน 

 

 

………………………………………. 

 

 

เสียงนกร้องแหลมหลายเสียงดังมาจากที่ไกล นี่เป็นข่าวที่หน่วยรักษาการณ์ลับนอกหมู่บ้านส่งมา ได้ยินเสียงนกร้องยาวทีหนึ่งสั้นสองที เด็กๆ ที่นั่งเด็ดหญ้าอยู่บนพื้นก็กระโดดผลุงขึ้นมา 

 

 

“รถสินค้ามาแล้ว” 

 

 

พวกเขาตะโกนเสียงดัง ดีใจเริงร่าวิ่งไปบนถนน 

 

 

รถม้าสามคันหยุดหน้าหมู่บ้านท่ามกลางเด็กๆ ที่ห้อมล้อม ภรรยาของเซี่ยหย่งพาพวกผู้หญิงมารับ พวกผู้ชายที่ทำงานกลับมาแม้ไม่ได้ล้อมเข้ามาแต่ก็หยุดเท้า นั่งยองบนก้อนหินใหญ่คุยเล่นสัพเพเหระ 

 

 

“ครั้งนี้ไม่มีของกินแล้ว” พ่อค้าคนหนึ่งเอ่ย 

 

 

นี่เป็นสิ่งที่คุณหนูจวินบอก ค่าตอบแทนที่ส่งมาตามกำหนดเพื่อให้พวกผู้คุ้มกันฝึกทหาร ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นของกินเครื่องดื่ม 

 

 

ไม่ส่งมาก็ไม่เป็นไร พวกเขาปกติประหยัดจนชินแล้ว ข้าวสาร เนื้อ ผักที่ส่งมาหลายครั้งก่อนเพียงพอให้พวกเขากินจนสิ้นปี 

 

 

“เพราะจะเข้าหน้าหนาวแล้ว ดังนั้นจึงส่งผ้าไหมแพรพรรณจำนวนหนึ่งมาให้ทุกคนทำเสื้อผ้าหน้าหนาว” พ่อค้าเอ่ยต่อ พลางดึงผ้าคลุมบนรถออก เผยม้วนผ้าหลากหลายสีสัน 

 

 

เสื้อผ้าใหม่ แพรพรรณสีสันสดใสสำหรับเด็กน้อยและพวกผู้หญิงแล้วเป็นสมบัติล้ำค่า ปากทางเข้าหมู่บ้านเสียงอุทานตื่นเต้นดังกระหึ่มทันที เด็กๆ ล้อมเข้าไปใช้มือลูบม้วนผ้า 

 

 

ผ้าเหล่านี้เรียบลื่นเนียนละเอียดไม่เหมือนกับที่พวกเขาสวมใส่ก่อนหน้านี้  

 

 

“เอามือสกปรกออกไป” 

 

 

พวกผู้หญิงรีบร้อนดุเด็กๆ ปกป้องผ้าบนรถ มองสำรวจอย่างยากปิดบังความยินดี 

 

 

“นี่คือทำผ้าห่มรึ? นั่นสิ้นเปลืองเกินไปแล้ว” 

 

 

“มากเกินไปแล้วกระมัง จะใช้หมดได้อย่างไร?” 

 

 

“อาสะใภ้สามฝีเข็มดียิ่ง นางทำเร็ว ให้นางช่วยเถอะ” 

 

 

เสียงปรึกษาหารือเจื้อยแจ้วไม่หยุดสักครู่ 

 

 

พวกผู้ชายที่เดิมทีนั่งยองอยู่ก็อดไม่ได้ยื่นศีรษะมองมา หน้าหมู่บ้านเสียงหัวเราะเริงร่าดังไม่ขาด 

 

 

“พูดขึ้นมาแล้วเหมือนไม่ได้สวมเสื้อผ้าใหม่มานานนักแล้วจริงๆ” 

 

 

เสียงอ่อนหวานของผู้หญิงดังขึ้นด้านหลัง 

 

 

สตรีผู้นี้ลงเขาน้อยครั้งนัก คุณหนูจวินได้ยินเสียงตื่นเต้นดีใจมาก 

 

 

“น้าเซียว” นางหมุนตัวร้องเรียกอย่างดีใจ “ท่านมาแล้ว” 

 

 

นางยิ้มแล้ว 

 

 

“ข้าแซ่เซียว ชื่อตัวเดียวว่าจือ” นางเอ่ย 

 

 

นี่เป็นการแจ้งชื่อแซ่ คุณหนูจวินรีบสำรวมสีหน้าคำนับ 

 

 

“จวินจิ่วหลิง” นางเอ่ย 

 

 

“ขอบคุณมากที่ท่านใส่ใจ” เซียวจืออมยิ้มเอ่ย “ทุกคนไม่เคยเบิกบานเช่นนี้มาก่อน” 

 

 

คุณหนูจวินรีบส่ายศีรษะเอ่ยว่าไม่กล้ารับ ลังเลครู่หนึ่งก็มองไปทาง**บยา 

 

 

“อาจารย์หญิง…” นางเอ่ย อยากไปเอาจดหมาย 

 

 

เซียวจือยื่นมือห้ามนางไว้ 

 

 

“ข้าบอกชื่อแซ่ของข้าก็เพื่อให้ท่านเรียกชื่อของข้า” นางเอ่ย “แต่คนที่ข้าต้องการขอบคุณคือท่าน น้ำใจอันจริงใจที่ท่านมีต่อพวกเรา ส่วนเรื่องอื่น พวกเรายังคงอย่าพูดมากเลย” 

 

 

ยังไม่ได้หรือ แต่เทียบกับที่ห่างไกลพันลี้ก่อนหน้านี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว ไม่รีบร้อน พวกเขารอมาสิบกว่าปีแล้ว ตนเองเพิ่งเดือนเดียวเท่านั้น ค่อยเป็นค่อยไป คุณหนูจวินรั้งมือกลับยิ้มพลางพยักหน้า 

 

 

พวกผู้หญิงด้านนั้นก็มองเห็นเซียวจือแล้วเช่นกัน พากันยิ้มแย้มทักทาย เซียวจือยิ้มให้คุณหนูจวินแล้วก็เดินเข้าไป 

 

 

คุณหนูจวินไม่ได้ตามไป นางหิ้ว**บยาขึ้นไปบนเขา 

 

 

ส่วนใหญ่ล้วนให้ในเมืองส่งมา แต่เพื่อไม่ให้ชาวบ้านทั้งหลายรู้สึกไม่สบายใจ เวลาส่วนมากนางล้วนเก็บสมุนไพรที่บนเขา ถือโอกาสทำความคุ้นเคยกับของเล่นทั้งหลายที่อาจารย์ซ่อนอยู่ในเขาจางชิงซานนี่ 

 

 

ของเล่นหมายถึงอาวุธลับกลไกค่ายกลลับ ส่วนมากล้วนเสียหายแล้ว คุณหนูจวินก็ติดตั้งใหม่อีกครั้งประหนึ่งมองเห็นอาจารย์ทำครั้งกระโน้นแบบนั้น 

 

 

คุณหนูจวินวางศรไม้ไผ่กระบอกหนึ่งลงจากนั้นนั่งอยู่บนหินภูเขาพักผ่อนสักครู่ หลังร่างก็มีเสียงแสกสากดังมา นางหันไปมอง เห็นเด็กสาวที่ปิดหน้าอยู่คนนั้นยืนอยู่หลังต้นไม้ 

 

 

“นิวหนิ่ว” นางยิ้มพลางลุกขึ้นยืน 

 

 

“ฮั่นชิง” เด็กสาวพลันเอ่ย 

 

 

เสียงของนางเล็กเบา พูดก็เร็ว คุณหนูจวินอึ้งไปนิดหนึ่งฟังไม่เข้าใจ 

 

 

“ข้าชื่อจ้าวฮั่นชิง” เด็กสาวเอ่ยอีกครั้ง ครั้งนี้เสียงดังขึ้นนิดหน่อย 

 

 

วันนี้ไม่เลวจริงๆ นะ ทั้งสองคนยอมเข้าใกล้นางแล้ว บนหน้าคุณหนูจวินรอยยิ้มยิ่งกว้าง 

 

 

“ข้าชื่อจวินจิ่วหลิง” นางเอ่ย ย่อเข่าคำนับเด็กสาวคนนี้ 

 

 

เด็กสาวแม้สีหน้าเขินอายแต่ยังคงย่อเข่าคำนับโดยไม่รู้ตัว 

 

 

การเคลื่อนไหวของนางเก้กังมาก เห็นชัดว่าคำนับผู้คนน้อยครั้งยิ่ง แต่ยังคงถูกต้องตามแบบแผนมาตรฐานยิ่งนัก เห็นชัดยิ่งว่าถูกคนสั่งสอนมา 

 

 

“เจ้านั่งสิ” คุณหนูจวินชี้หินภูเขาข้างกายตน 

 

 

จ้าวฮั่นชิงไม่ได้เดินเข้ามา มือยันลำต้นของต้นไม้ เงยหน้านิดๆ มองมาหานาง 

 

 

“เขาเป็นอย่างไร?” นางเอ่ยถาม 

 

 

……………………………………….