กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 607
นางรู้เพียงแค่ อันที่จริงเยี่ยจิ่งหานไม่ได้น่ารังเกียจ

มีคนให้คอยพึ่งพาก็ดีเหมือนกัน

สองคนพูดคุยกันอย่างสบายใจ

อาการป่วยของกู้ชูหน่วนยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ และอากาศก็ยิ่งเบาบางลง

ความหิวโหย ความหนาวเหน็บและอาการบาดเจ็บยังคงกัดเซาะพวกเขา

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร กู้ชูหน่วนเริ่มจะอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว สติของนางเริ่มลดลง

ข้างกายของนางมีเยี่ยจิ่งหานคอยเรียกด้วยความตื่นตระหนกและประหม่า คำพูดนั้นพูดพล่ามราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ โดยพูดไม่หยุด และถึงขั้นเขย่าร่างกายของนางอย่างไม่หยุดหย่อน

กู้ชูหน่วนอยากจะบอกเขาว่า

ให้เขาหุบปาก หยุดพูดมาก หยุดเขย่าร่างกายของนางได้แล้ว ร่างกายของนางแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว

แต่นางกลับไม่มีแรงพูดออกมาสักคำ แม้แต่เรี่ยวแรงกะพริบตาเพื่อส่งสัญญาณเตือนก็ไม่มี

ในระหว่างนั้น กู้ชูหน่วนเหมือนได้ยินเผ่าหยกและไข่มุกมังกร

ทันใดนั้นนางก็มีสติและลืมตาขึ้น และมองไปที่เยี่ยจิ่งหานที่ดวงตาแดงก่ำซึ่งเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและประหม่า

“กู้ชูหน่วน เจ้าฟื้นสิ เจ้าจะตายไปเช่นนี้ไม่ได้ หากเจ้าตายไป เช่นนั้นแล้วไข่มุกมังกรจะทำอย่างไร เผ่าหยกจะทำอย่างไร ไหนเจ้าบอกว่าจะนำไข่มุกมังกรไปมอบให้กับเผ่าหยกไม่ใช่หรือ? เจ้าบอกเองว่าจะช่วยพวกเขาให้หลุดพ้นจากคำสาปโลหิตไม่ใช่หรือ? หากเจ้าตายไป ไข่มุกมังกรเม็ดที่หกก็จะสูญสลายไปพร้อมกับเจ้า ถึงตอนนั้นประชาชนชาวเผ่าหยกนับพันนับหมื่นคนจะต้องทุกข์ทนต่อความเจ็บปวดของคำสาปโลหิตไปตลอดชีวิต และข้าก็ต้องทุกข์ทรมานจากคำสาปโลหิตด้วยเช่นกัน”

ใช่……

นางจะตายไม่ได้

หากนางตายเช่นนั้นจะนำไข่มุกมังกรออกไปได้อย่างไร?

เผ่าหยกจะทำอย่างไร?

คำสาปโลหิตจะทำอย่างไร?

นางจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป

นางจะตายลงที่นี่ไม่ได้

แต่นางไม่สามารถผลักถ้ำหิมะได้……

นางควรทำเช่นไรดี?

กู้ชูหน่วนหยิบไข่มุกมังกรออกมาจากอกด้วยความสั่นเทาและกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง “ท่าน……ท่านช่วยข้าเถอะ……นำไข่มุกมังกรมอบ……มอบให้กับเผ่าหยก……”

เยี่ยจิ่งหานไม่แม้แต่จะมองไข่มุกมังกรเลยแม้แต่นิดเดียว เขาเพียงแค่กอดกู้ชูหน่วนเขาไว้แน่น “ข้าจะไม่ช่วยเจ้านำไข่มุกมังกรออกไป หากต้องการนำออกไป เจ้าต้องนำออกไปด้วยตัวเจ้าเอง ไม่เช่นนั้นเจ้าก็รอให้ประชาชนของเผ่าหยกนับพันนับหมื่นคนทุกข์ทรมานจากคำสาปโลหิตไปตลอดชีวิต”

ปัดโธ่……

ผู้ชายคนนี้……

น่าเสียดายที่เมื่อสักครู่นางบอกว่าเขาดี

หากนางสามารถฝืนอดทนต่อไปได้ เช่นนั้นนางก็อยากฝืนต่อไป

แต่นางอดทนจนถึงขีดสุดแล้ว

“อาหน่วน เจ้าจะตายไม่ได้ เจ้าตายไปข้าจะอยู่อย่างไร ต่อให้เจ้าไม่นึกถึงเผ่าหยก เช่นนั้นเจ้าก็ควรนึกถึงข้าบ้าง ข้าไม่สามารถอยู่โดยไม่มีเจ้าได้”

กู้ชูหน่วนถูกเขากอดรักเอาไว้ในอ้อมอก ทำให้นางรับรู้ได้ถึงจังหวะหัวใจของเขาอย่างชัดเจน

หัวใจของเขาเต้นแรงมาก มีความประหม่าและตื่นตระหนก แม้แต่ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้าน ราวกับกำลังหวาดกลัวอะไร

ความหวาดกลัวเช่นนี้ ออกมาจากใจ ออกมาจากกระดูก ออกมาจากจิตวิญญาณ……

กู้ชูหน่วนอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา

นางกัดริมฝีปากจนแตก เพื่อให้ตัวเองมีสติ

นางจะหลับไปไม่ได้

หากนางหลับไป เช่นนั้นก็อาจจะไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้อีก

“ข้าสัญญากับท่านว่าข้าจะฝืนอดทนต่อไป อดทนจนกว่าจะมีคนมาช่วยชีวิต”

“ได้ ข้าจะอยู่กับเจ้า”

เวลาผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม ด้านบนยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

และตอนนี้เยี่ยจิ่งหานก็นั่งรอต่อไปไม่ไหวแล้ว เขาอยากจะทำลายขีดจำกัด โดยใช้ชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน เพื่อจะดูว่าเขาสามารถทำลายภูเขาหิมะได้หรือไม่

ทันใดนั้น ได้ยินเพียงเสียงระเบิดดังขึ้น

ภูเขาหิมะระเบิดออกเป็นชั้นๆ

เยี่ยจิ่งหานรู้สึกดีใจและกอดกู้ชูหน่วนที่ใกล้จะหมดสติและพูดด้วยเสียงแหบ “อาหน่วน เจ้าเห็นหรือไม่ มีคนมาช่วยเราแล้ว”

เยี่ยจิ่งหานตะโกนเสียงดังเพื่อให้คนที่อยู่ข้างบนรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่นี่

“ตู้มๆ……”

“กรึก……”

มีเสียงดังกึกก้องอีกครั้ง

เห็นเพียงศีรษะเก้าเศียรปรากฏขึ้นเหนือถ้ำหิมะ

ดวงตาเหล่านั้นมองไปที่พวกเขาอย่างงุนงง

อากาศที่บริสุทธิ์ค่อยๆ ไหลเข้ามาอย่างบางเบา และกู้ชูหน่วนก็กลับมามีสติอีกครั้งหนึ่ง

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์……

เป็นศีรษะของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์

ในที่สุดเจ้างูจอมตะกละก็มาช่วยพวกเขา

เยี่ยจิ่งหานกล่าวขึ้นด้วยความดีใจ “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ เร็วเข้า แยกภูเขาหิมะออกและนำอาหน่วนขึ้นไปจากที่นี่”

เบื้องบนเป็นเสียงของชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ย “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ เจ้าหาเจอหรือยังว่านายท่านของข้าอยู่ในนี้หรือไม่”

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์มองเห็นใบหน้าของกู้ชูหน่วนที่เต็มไปด้วยความสุข

มันส่ายหัวไปมา แล้วกระแทกเข้าไป ไม่รู้ว่ามันทำได้อย่างไร แต่มันพลิกภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะได้

ร่างงูขนาดใหญ่โฉบเฉี่ยวและเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ก็รัดเยี่ยจิ่งหานและกู้ชูหน่วนขึ้นไป

หลังจากอยู่ในถ้ำหิมะหลายวันเกินไป จู่ๆ เมื่อต้องเจอกับแสงอาทิตย์เข้า ทั้งสองคนก็เกิดอาการแสบตา เยี่ยจิ่งหานรีบเอามือปิดตากู้ชูหน่วน เพราะเกรงว่านางจะปวดตา

“นายท่าน ข้าน้อยมาช่วยช้าเกินไป นายท่านได้โปรดลงโทษ” ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยคุกเข่าลง

หลังจากเยี่ยจิ่งหานวางกู้ชูหน่วนลงกับพื้น เขาก็พูดขึ้นอย่างตีโพยตีพาย “มีอาหารและน้ำดื่มหรือไม่”

เขาเหมือนกับหมาป่าผู้เดียวดายที่เกือบจะสูญเสียคู่รักได้ตลอดเวลา เขาร้อนรน เป็นกังวลและประหม่า

ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยต่างตกใจและรีบหยิบเสบียงอาหารแห้งและน้ำดื่มออกมาอย่างสั่นเทา

ยังไม่ทันที่จะส่งให้ เยี่ยจิ่งหานก็แย่งไปจากมือ จากนั้นประคองกู้ชูหน่วนขึ้นมาป้อนน้ำและขนมปังชิ้นเล็กๆ ให้กู้ชูหน่วนกิน

เมื่อได้กินน้ำและอาหาร ทำให้กู้ชูหน่วนรู้สึกดีขึ้น

เมื่อเจี้ยงเสวี่ยเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็รีบหยิบผ้าคลุมไหล่มาให้พวกเขา

“หมอล่ะ ข้าถามพวกเจ้าว่ามีหมอหรือไม่” เยี่ยจิ่งหานถาม

“นายท่าน ข้าน้อยมาอย่างเร่งรีบ แม้ว่าจะพาหมอมาด้วยสองคน แต่ก็จบชีวิตลงระหว่างทางเพราะหนาวตาย แต่ห่างออกไปจากขั้วโลกเหนือเพียงไม่เท่าไรจะมีรัฐชาววะ ข้าน้อยจะรีบไปตามหาหมอในรัฐชาววะขอรับ”

“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ เจ้าเร็วกว่า รีบพาพวกข้าไปหาหมอที่รัฐชาววะเดี๋ยวนี้”

“ซือ…….”

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์มองไปยังกู้ชูหน่วนอย่างลำบากใจ

หลายวันมานี้ มันตามหาเจ้านายของมันมาโดยตลอด เนื้อสัตว์ก็ไม่ได้กิน นอนก็ไม่ได้นอน มันเหนื่อยเหลือเกิน มันขอนอนพักผ่อนสักหน่อยไม่ได้หรือ

“ขอเพียงแค่เจ้าพาพวกข้าไปยังรัฐชาววะตอนนี้ หมูย่างที่จวนหานอ๋อง เจ้าอยากกินเท่าไรก็มีไม่อั้น”

“ซู่……”

ดวงตาของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เปล่งประกาย และดูตื่นตัวมีชีวิตชีวาขึ้นมา

หมูย่าง……

มีเท่าไรกินไม่อั้น?

มันชอบเหลือเกิน

กู้ชูหน่วนดึงชุดของเขาอย่างอ่อนแรง “ข้าไม่เป็นไร ท่าน……ท่านก็กิน……กินอะไรสักหน่อย”

ความกลัดกลุ้มของเยี่ยจิ่งหายผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ข้าไม่หิว เจ้าตัวร้อนเหลือเกิน จำเป็นต้องไปหาหมอเพื่อทำการรักษาโดยเร็ว”

กู้ชูหน่วนมองไปที่ทิศทางที่หุบเขาน้ำแข็งถล่มลง แววตาของนางเจ็บปวดอย่างมาก

ท่าทางของนาง เยี่ยจิ่งหานก็สามารถรู้ได้ว่านางกำลังคิดอะไร

จากนั้นจึงถามว่า “ชิงเฟิงเจี้ยงเสวี่ย พวกเจ้าเห็นเหวินเส่าอี๋บ้างหรือไม่”

“นายท่าน ขั้วโลกเหนือกว้างใหญ่เหลือเกิน ขาน้อยและคนอื่นๆ ได้แยกกันออกตามหานายท่านและพระชายา แต่นอกจากเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์แล้ว ข้าน้อยไม่ได้รับข่าวคราวอีกเลยว่าที่นี่ยังมีคนอื่นอีก”

“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์แล้วเจ้าล่ะ เห็นเหวินเส่าอี๋บ้างหรือไม่?”

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ส่ายหัว

วันนั้นมันกินอิ่มมากและกำลังนอนหลับ ไม่คิดเลยว่าหุบเขาน้ำแข็งจะถล่มลงมาอย่างกะทันหัน หากมันไม่หนีออกไปอย่างรวดเร็ว มันคงจบชีวิตลงแล้ว

หลังจากนั้นมันก็ตามหาเจ้านายมาโดยตลอดอย่างเหน็ดเหนื่อย แต่ก็ไม่พบร่องรอยของเจ้านายเลย

จนมาถึง……ตอนที่ได้พบกับเจี้ยงเสวี่ยและชิงเฟิง

ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยบอกให้มันพยายามตามหาบริเวณนี้ มันจนได้พบกับเจ้านาย

เจี้ยงเสวี่ยขมวดคิ้วและกล่าวว่า “แต่มีเรื่องหนึ่งที่น่าประหลาดใจ บริเวณใกล้เคียงมีเศษผ้าสีแดงตกอยู่ เศษผ้าสีแดงนั้นราวกับเป็นของพระชายา ข้าน้อยเห็นเศษผ้าสีแดง จึงได้สงสัยว่าพระชายาและนายท่านน่าจะอยู่บริเวณใกล้เคียง”

เจี้ยงเสวี่ยหยิบเศษผ้าสีแดงออกมา

เศษผ้าสีแดงนั้นเป็นมุมหนึ่งของชุดของกู้ชูหน่วนจริง คาดว่าน่าจะเกิดจากตอนที่พวกเขากลิ้งตกลงมาและไปเกี่ยวโดนอะไรเข้า

แต่……

หิมะตกถล่มทลายหนักเช่นนั้น

ต่อให้มีเศษผ้าสีแดง เช่นนั้นก็ควรถูกทับถมจนมองไม่เห็นไม่ใช่หรือ มันจะปรากฏอยู่บนหิมะได้อย่างไร?

เจี้ยงเสวี่ยอธิบาย “ก็ไม่ใช่ว่าจะอยู่บนหิมะ มันถูกฝังในหิมะ แต่ตอนที่ข้าน้อยขุดหิมะก็ได้ขุดไปเจอขอรับ”

เยี่ยจิ่งหานพยักหน้าและมองไปยังกู้ชูหน่วน

ทั้งสองต่างรับรู้ว่าทิศทางของถ้ำน้ำแข็งนั้นเป็นพื้นที่ที่ประสบภัยพิบัติหนักมากและพื้นที่นั้นใหญ่มาก ไม่ว่าเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์จะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหาเหวินเส่าอี๋ออกมาได้

แม้แต่ลูกน้องของเยี่ยจิ่งหานทั้งหมด ในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ก็ไม่สามารถเปิดทางหิมะน้ำแข็งเหล่านั้นและกำจัดก้อนน้ำแข็งที่ถล่มลงมาออกไปได้ เพื่อตามหาเหวินเส่าอี๋

เขา……

คาดว่าคงไม่มีหวังว่าจะยังมีชีวิตอยู่แล้ว

“ไปกันเถอะ” เยี่ยจิ่งหานกล่าว