สู้ให้ตายกันไปข้าง โดย Ink Stone_Fantasy
คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าใช่ ตอนนั้นไฉจวิ้นนำศิษย์พี่ศิษย์น้องระดับบงกชทองไปเป็นกลุ่ม แต่ก็ยังทำอะไรปีศาจโลหิตไม่ได้ อาศัยแค่พวกเขาสองคน คิดจะกำจัดปีศาจโลหิตทิ้งก็ไม่ง่ายขนาดนั้น มหาอิทธิฤทธิ์หลีกโลหิตของปีศาจตนนั้นร้ายกาจจริงๆ เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ปีศาจตนนี้เพ่งเล็งข้าไม่ปล่อย น่าปวดหัวจริงๆ”
“น่าเสียดายที่เรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหัน ถ้ารู้ตั้งแต่แรก เชิญให้อาจารย์อาหมิวจ้าวมาด้วยก็สิ้นเรื่องแล้ว ถ้าเชิญมาตอนนี้ ก็เหมือนเป็นน้ำที่อยู่ไกล ช่วยดับไฟที่อยู่ใกล้ไม่ทัน” จงหลีค่วยกล่าว
“ถ้าฆ่าได้ก็ฆ่า ถ้าฆ่าไม่ได้ก็ช่างเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน เออใช่ ลุงหนวด ท่านมาหาข้าด้วยธุระอะไรกันแน่?” เหมียวอี้ถาม
จงหลีค่วยตอบว่า “มีสองเรื่อง ปราสาทดำเนินนภาได้ยินเรื่องร้านขายของชำซื่อตรงของพวกเจ้ามาบ้างแล้ว เลยส่งข้ามาเจรจาการค้ากับพวกเจ้า ในแต่ละปีศิษย์ปราสาทดำเนินนภาได้ของเบ็ดเตล็ดมาไม่น้อย เที่ยวหาคนซื้อไปทั่วยุ่งยากจริงๆ ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็รับซื้อทุกอย่าง ดังนั้นจึงอยากสร้างเครือข่ายทางการค้าที่มั่นคงกับร้านขายของชำอย่างพวกเจ้า ไม่ทราบว่าสะดวกหรือเปล่า?”
เหมียวอี้ยิ้มตอบ “ทำไมจะคุยไม่ได้ล่ะ มีการซื้อขายมาหาถึงที่ก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว คนทำการค้าก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น แล้วอีกอย่าง ด้วยความสนิทสนมของพวกเรา ทุกอย่างก็ย่อมคุยง่าย ข้าไม่ให้ท่านมาเสียเที่ยวหรอก เดี๋ยวท่านไปคุยกับอวี้ซวีเจินเหรินก็เรียบร้อยแล้ว พวกเราจะพยายามให้ความสะดวกกับพวกท่าน ยังมีเรื่องอะไรอีกล่ะ?”
จงหลีค่วยกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “แผนที่ซ่อนสมบัตินั่น พวกเราพอจะมองเบาะแสออกบ้างแล้ว ของสิ่งนั้นน่าจะซ่อนอยู่ในสถานที่ไร้ระเบียบ สำนักกำลังรวบรวมกำลังคนไปค้นหา ข้าเลยมาบอกเจ้าสักหน่อย ถ้าเจ้าอยากไป สำนักก็จะตอบตกลงให้เจ้าร่วมเดินทางไปด้วย แต่อาจจะมีอันตรายนะ เจ้าคิดให้ดีแล้วกัน”
เหมียวอี้ตาเป็นประกาย ถ้าตัวเองไม่ไปด้วย แล้วจะรู้ชัดได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายเจอสมบัติมากเท่าไร คงไม่รู้ว่ามีการแบ่งจำนวนสมบัติอย่างไร ถึงตอนนั้นถ้าอีกฝ่ายบอกว่าได้เท่าไรเขาก็จะได้เท่านั้นเหรอ จะทำแบบนั้นได้อย่างไร สถานที่ซ่อนสมบัติของราชันลัทธิมารในยุคนั้นเชียวนะ ต้องร่ำรวยมหาศาลแน่ เห็นได้ชัดเจนมาก ที่อีกฝ่ายมาเรียกตนให้ร่วมเดินทางไปด้วย ก็เพื่อจะแสดงความบริสุทธิ์ใจ เมื่อเจอสมบัติแล้วจะได้ป้องกันไม่ให้เกิดความคลุมเครือ ไม่ให้นึกว่าปราสาทดำเนินนภาฮุบสมบัติเอาไว้ฝ่ายเดียว
และแน่นอน เรื่องเงินก็ส่วนเรื่องเงิน เหมียวอี้อยากให้อวิ๋นจือชิวได้เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานมาไว้ในมือมากที่สุด ถ้าอวิ๋นจือชิวได้เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานที่เป็นภาคดิน แบบนั้นก็จะช่วยเหลือเขาได้เยอะมาก เมียตัวเองไม่มีปัญหาเรื่องจงรักภักดีหรือไม่จงรักภักดีแล้ว เขาพยักหน้าซ้ำๆ ทันที “ไปๆๆ”
“จะหาเจอหรือไม่เจอมันก็อีกเรื่องหนึ่งนะ แต่ข้าจะบอกให้ชัดเจนเอาไว้ก่อน เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานเป็นของปราสาทดำเนินนภา ส่วนทรัพย์สินอย่างอื่นเจ้าเอาไปได้ครึ่งหนึ่ง” จงหลีค่วยกล่าว
เหมียวอี้หรี่ตายิ้ม “ได้อยู่แล้วๆ ” ในใจกลับพึมพำว่า งั้นก็ต้องดูว่าใครจะหาเจอก่อน ข้าน่ะถนัดเรื่องนี้ที่สุดแล้ว
เรื่องราวก็ตกลงกันตามนี้ แล้วเหมียวอี้ก็พาเขาไปพบอวี้ซวีเจินเหรินเพื่อเจรจาเรื่องซื้อขาย เรื่องนี้อวี้ซวีเจินเหรินย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว มีช่องทางจัดหาสินค้าที่มั่นคงเพิ่มขึ้น ทั้งยังได้สานสัมพันธ์กับปราสาทดำเนินนภา เป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว
หลังจากเจรจาเสร็จ เหมียวอี้กับจงหลีค่วยก็ออกไปด้วยกัน ไม่ได้รอให้ถึงพรุ่งนี้แล้วค่อยไป ตอนนี้มีเรื่องให้จัดการน้อยๆ เข้าไว้จะดีกว่า เรื่องที่ซ่อนเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินต้องมาเป็นอันดับแรก เหมียวอี้โยนเรื่องสู้กับปีศาจโลหิตทิ้งไปก่อน เอาไว้ตอนหลังค่อยไปคิดบัญชีกับปีศาจโลหิตก็ได้
หลังจากออกจากเมือง ทั้งสองก็เหาะขึ้นฟ้าไปพร้อมกัน จงหลีค่วยอยากจะจูงเหมียวอี้ออกไปด้วยกัน แต่คาดไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะปฏิเสธ จงหลีค่วยเพิ่งรู้ว่าเหมียวอี้บรรลุระดับบงกชทองแล้ว หลังจากรู้ว่าเหมียวอี้ได้ทุกขลาภเพราะโดนปีศาจโลหิตวางยาพิษ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะลั่น
พอทั้งสองทะลุชั้นบรรยากาศออกไป ถึงได้พบว่ามีคนกำลังไล่ตามหลังมา เป็นชายสองหญิงหนึ่ง คนที่นำหน้ามาเป็นสตรีวัยกลางคนสวมชุดสีเขียว
ทั้งสองเหาะด้วยความเร็วสูง สามคนที่ตามหลังมาก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“เป็นใครกัน?” จงหลีค่วยถาม
เหมียวอี้ส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้จัก
จงหลีค่วยคล้องแขนเขาไว้ทันที แล้วเริ่มเหาะเบนออกนอกเส้นทาง ใครจะคิดว่าสามคนข้างหลังจะเหาะเบนออกเหมือนกัน ยังคงตามหลังทั้งคู่อยู่
ทั้งสองสีหน้าเปลี่ยนนิดหน่อย ชัดเจนว่าพุ่งเป้ามาที่พวกเขา จงหลีค่วยดึงเหมียวอี้เร่งความเร็วเหาะหนีทันที หวังว่าจะทิ้งระยะห่างได้ แต่ความเร็วของสามคนที่ไล่ตามอยู่ข้างหลังก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าจงหลีค่วยเลย จงหลีค่วยหันกลับไปร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนถามทันที “ใครกันมาทำลับๆ ล่อๆ?”
สตรีชุดเขียวพลิกตัวกลางอากาศ เสื้อผ้าระเบิดกระจายออก เปล่งเงามายาสีแดง ราวกับดอกไม้สีแดงเลือดเบ่งบาน ผ้ามุ้งสีแดงผืนหนึ่งโบยบินมาครอบไว้ทั้งตัว นางคือปีศาจโลหิต
“สมาคมวีรชนจะทำงาน! คนที่ไม่เกี่ยวข้องหลีกไป อย่าแส่หาเรื่องใส่ตัว” ปีศาจโลหิตตะโกนเตือน ตอนนี้นางไม่รู้ว่าอีกคนคือจงหลีค่วย นางไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของจงหลีค่วย จึงอ้างสมาคมวีรชนมากดดัน หวังว่าอีกฝ่ายจะอ่านสถานการณ์ออก นางอยากจับแค่เหมียวอี้คนเดียวเท่านั้น ไม่อยากมีปัญหากับคนอื่น
เหมียวอี้หน้าบึ้งทันที จะเห็นได้เลยว่าปีศาจโลหิตกลัวว่าตนจะหนีไปขนาดไหน ตนบอกไว้ว่าพรุ่งนี้จะจากไป ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้นางจะตามมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าหวงฝู่จวินโหรวบอกข้อมูลกับนางในทันที นางจึงไปเฝ้ารออยู่นอกเมืองล่วงหน้าเพราะกลัวเขาหนี ที่ยุ่งยากกว่าเดิมก็คือ ครั้งนี้นางพาผู้ช่วยมาด้วย เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นคนของสมาคมวีรชน นางตัวแสบหวงฝู่จวินโหรว ช่างไม่ปรานีกันเลยสักนิด!
“สมาคมวีรชนแล้วยังไงล่ะ หรืออยากจะมีเรื่องกับปราสาทดำเนินนภาของข้า?” จงหลีค่วยตะโกนตอบเสียงดัง พลังอิทธิฤทธิ์บนตัวระเบิดออก ปรากฏโฉมหน้าที่แท้จริงของลุงหนวด มือข้างหนึ่งถือระฆังดาราขึ้นมา รีบติดต่อกับปราสาทดำเนินนภา เห็นได้ชัดว่าวรยุทธ์ของสามคนข้างหลังต่างกับเขาไม่เท่าไร ยากที่จะตัดสินแพ้ชนะ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นสำนักจะได้รู้ว่าเขาตายด้วยน้ำมือใคร ถึงตอนนั้นปราสาทดำเนินนภาย่อมไปคิดบัญชีกับสมาคมวีรชน!
“คนของปราสาทดำเนินนภา!” ชายที่อยู่ทางซ้ายและขวาของปีศาจโลหิตอุทานตกใจ จำเครื่องแบบบนตัวจงหลีค่วยได้ โดยเฉพาะตอนที่เห็นจงหลีค่วยหยิบระฆังดาราออกมาส่งข่าว พวกเขาก็หันไปมองปีศาจโลหิตพร้อมกัน หนึ่งในนั้นถามว่า “ปีศาจโลหิต ทำไมมีคนของปราสาทดำเนินนภาล่ะ?”
ถึงแม้สมาคมวีรชนจะมีอำนาจมาก แต่กำลังของปราสาทดำเนินนภาก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน ไม่กลัวสมาคมวีรชนแน่ ทั้งสองทำสีหน้ากังวลหวาดหวั่น ถ้าจะให้สมาคมวีรชนกับปราสาทดำเนินนภาแลกเลือดกันเพื่อความแค้นของปีศาจโลหิตคนเดียว นั่นไม่ใช่การกระทำที่ฉลาด
ปีศาจโลหิตก็ตกใจไม่เบาเช่นกัน แน่นอนว่านางรู้จักจงหลีค่วย ทั้งสองไม่ได้สู้กันเป็นครั้งแรก นี่ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน คนของปราสาทดำเนินนภาก็มาถึงแล้วเหรอ?
ที่นางกล้าไล่ตามเหมียวอี้มาในทันที ก็เพราะแน่ใจว่าตอนนี้เหมียวอี้ยังหาคนที่เหมาะสมมาช่วยเหลือไม่ทัน บวกกับการคำนึงถึงความมั่นคงปลอดภัย หวงฝู่จวินโหรวยังเรียกผู้ช่วยสองคนมาให้นางด้วย
พอจงหลีค่วยปรากฏตัว นางก็นึกถึงเรื่องที่พวกหมิงจ้าววางกับดักนางครั้งก่อนทันที อดสงสัยไม่ได้ว่าครั้งนี้เหมียวอี้คิดจะวางแผนกับนางอีกหรือเปล่า นางจึงรีบกวาดสายตามองไปรอบๆ
แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่ใช่ ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ จงหลีค่วยก็ไม่จำเป็นต้องปรากฏตัวเลย หลอกล่อให้นางติดกับดักต่อไปก็พอแล้ว
ทว่าอาจจะเป็นแผนซ้อนแผน ไม่แน่ว่าคิดจะใช้วิธีนี้เพื่อให้นางติดกับดัก
เมื่อเห็นผู้ช่วยสองคนกำลังจะถอนตัวออกกลางคัน ปีศาจโลหิตก็เตือนทันที “พวกเจ้าอย่าลืมนะว่าเถ้าแก่น้อยให้พวกเจ้ามาช่วยข้า? นี่ไม่ใช่ผลประโยชน์ของข้าคนเดียว เพราะเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของร้านค้าสมาคมวีรชนด้วย”
ชายคนนั้นบอกว่า “เถ้าแก่น้อยไม่ได้บอกว่าจะสู้กับคนของปราสาทดำเนินนภา แล้วเถ้าแก่น้อยก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องนี้ด้วย!”
“ปีศาจโลหิต ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่อยากช่วยเจ้านะ อีกฝ่ายแสดงตัวชัดเจนแล้วว่าเป็นคนของปราสาทดำเนินนภา ถ้าพวกเรายังลงมืออีก งั้นก็เป็นการสู้กันระหว่างสมาคมวีรชนกับปราสาทดำเนินนภาแล้ว ถ้าเจ้าบ้านหวงฝู่ไม่ได้ออกคำสั่ง พวกเราก็รับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ไหว ถ้าเจ้ายังดึงดันจะลงมือต่อ พวกเราก็ทำได้เพียงถอย เจ้าเชิญจัดการตามสะดวกในนามของตัวเองเถอะ!” ชายอีกคนกล่าว
ชายสองคนสบตาและพยักหน้าให้กัน รีบเลี้ยวแล้วเหาะกลับไปอย่างรวดเร็ว
“เอ๋! ทำไมหนีไปแล้วสองคน?” เหมียวอี้สวมเกราะรบสีทองและถือทวนไว้ในมือแล้ว ตอนนี้หันมาถามอย่างแปลกใจ
จงหลีค่วยแสยะยิ้ม “สมาคมวีรชนอยากจะปะทะกับปราสาทดำเนินนภาเหรอ ยังห่างชั้นกัน!”
ปีศาจโลหิตแค้นจนกัดฟันกรอด แต่ก็ไม่มีทางเลือก เดิมทีสมาคมวีรชนก็เป็นการรวมกลุ่มที่หละหลวมอยู่แล้ว เพียงแต่มีตระกูลหวงฝู่เป็นแกนกลางเท่านั้น เทียบกับตอแข็งที่รวมกำลังกันอย่างปราสาทดำเนินนภาไม่ติด เมื่อเจอกับการกดดันก็ย่อมไม่กลัว เมื่อเจอกับตอแข็งแบบนี้ เว้นเสียแต่ว่าทุกคนจะเจรจาให้เรียบร้อยลงตัว ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครอยากปะทะตรงๆ กับสำนักที่มีกำลังอำนาจมากอย่างปราสาทดำเนินนภา
แต่นางไม่อยากจะปล่อยเหมียวอี้ไปเลยจริงๆ ถ้าเหมียวอี้ไม่ได้เตรียมการอย่างอื่นไว้ ถ้าครั้งนี้เหมียวอี้ไปแล้วไม่กลับมาอีกจริงๆ ใต้หล้าใหญ่ขนาดนี้ นางจะไปหาเจอได้จากไหน?
ที่จริงนางมีบางสิ่งที่ไม่สะดวกจะบอกใคร ที่จริงการทวงยาเม็ดโลหิตกลับมาเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญที่สุดคือบัวโลหิตต้นนั้น นั่นคือสมบัติอันงดงามที่คนในโลกนี้พบเจอได้แต่ไม่อาจครอบครอง มีเพียงการนำบัวโลหิตกลับมาเท่านั้น ในภายหลังจะได้ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มียาเม็ดโลหิตช่วยเพิ่มวรยุทธ์ จะเสียมันไปไม่ได้
สุดท้ายนางก็ตัดสินใจจะสู้ตายสักยก ถึงแม้ตอนนี้วรยุทธ์ของตนจะสูสีกับจงหลีค่วย แต่ถ้าจงหลีค่วยคิดจะสังหารนาง ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ต่อให้เป็นไฉจวิ้นก็อาจจะทำอะไรนางไม่ได้เช่นกัน
ภายใต้การชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย ผลประโยชน์ก็อยู่เหนืออันตราย ปีศาจโลหิตกัดฟัน ไล่ตามต่อไปเพียงลำพัง
เหมียวอี้เพิ่มระดับความเร็วในการเหาะไม่ไหว ถึงแม้วรยุทธ์ของจงหลีค่วยจะสูสีกับปีศาจโลหิต แต่เมื่อมีเหมียวอี้เป็นตัวถ่วงอีกคน ความเร็วในการเหาะก็ย่อมได้รับผลกระทบ
เมื่อเห็นระยะห่างของสองฝ่ายเข้าใกล้กันเรื่อยๆ เหมียวอี้ก็เอียงหน้ากล่าวอย่างดุร้ายว่า “ก็แค่นางคนเดียว พวกเราร่วมมือกันก็ได้!”
จงหลีค่วยเตือนทันทีว่า “เจ้าอย่าทำเป็นเล่น เมื่อวรยุทธ์ถึงระดับทะยานสวรรค์แล้ว ความต่างของวรยุทธ์เพียงหนึ่งขั้นนั้นไม่ใช่น้อยๆ ไม่ใช่สิ่งที่ระดับก่อนหน้านี้จะเทียบได้ มิหนำซ้ำอีกฝ่ายก็เหนือกว่าเจ้าหกขั้น ให้ข้าลงมือคนเดียวก็พอ!”
“มหาอิทธิฤทธิ์หลีกโลหิตของนางร้ายกาจเกินไป ต่อให้เป็นศิษย์พี่ไฉจวิ้นของท่าน ก็อาจจะทำอะไรนางไม่ได้เช่นกัน ท่านสังหารนางไม่ไหวเลย!” เหมียวอี้กล่าวเตือน
จงหลีค่วยจึงตอบว่า “ต่อให้ฆ่าไม่ได้ แต่ทำให้นางตกใจหนีไปก็ยังดี อย่าบอกนะว่ามีเจ้าเพิ่มขึ้นมาคนเดียวแล้วจะฆ่านางสำเร็จ!”
เหมียวอี้กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ปีศาจตนนี้จ้องข้าไม่ยอมปล่อย นางเป็นภัยอันใหญ่หลวงสำหรับข้า ในเมื่อมีโอกาส จะปล่อยให้นางจองเวรไม่จบไม่สิ้นได้อย่างไร วันนี้ข้ากับนางต้องสู้ให้ตายกันไปข้าง! ลุงหนวด ท่านหานางพัวพันนางให้ได้ ทางที่ดีทำให้นางเข้าใจผิดว่าท่านสู้นางไม่ไหว แบบนี้ข้าถึงจะมีโอกาสลงมือ ลุงหนวด ท่านจำไว้นะ ถ้าข้าโจมตีครั้งเดียวแล้วพลาด ท่านต้องเก็บข้าใส่กระเป๋าสัตว์แล้วหนีไปทันที!”
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” จงหลีค่วยสงสัย
“ตอนนี้อธิบายลำบาก อีกประเดี๋ยวท่านก็จะรู้เอง!” เหมียวอี้สะบัดแขนดิ้นรนออกจากตัวเขา
จงหลีค่วยใช้ดรรชนีกระบี่ทันที ลำแสงกลุ่มหนึ่งยิงออกจากกำไลเก็บสมบัติ พอหันตัวมาชี้ กระบี่บินก็ยิงออกมาด้วยความเร็วสูงราวกับผีพุ่งใต้ ฟันสังหารใส่ปีศาจโลหิตที่ไล่ตามมาอย่างบ้าคลั่ง ส่วนคนก็ไล่ตามกระบี่บินไป
เหมียวอี้ถือทวนอยู่ในมือ ไล่สังหารตามหลังจงหลีค่วยไปเช่นกัน
ปีศาจโลหิตถือดาบนกเป็ดน้ำอยู่ในมือ แล้วไขว้ดาบต้านเอาไว้ ปั้ง! กระบี่บินที่ฟันเข้ามาสะเทือนกระเด็นกลับไปทันที
ปีศาจโลหิตฉวยโอกาสไล่โจมตี จงหลีค่วยคว้ากระบี่บินกลับมา แล้วพุ่งชนใส่ปีศาจโลหิต พร้อมมือสองข้างควงกระบี่ฟันไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง
ปีศาจโลหิตยกมุมปากยิ้มเจ้าเล่ห์ วินาทีที่เห็นแสงสะท้อนของคมกระบี่ฟันแสกหน้าเข้ามา ทั้งร่างกายของนางก็พลันกลายเป็นเงามายาเลือดสิบร่าง แล้วพุ่งยิงกระจายไปสี่ทิศ กลายเป็นร่างสิบร่างที่วนอ้อมจงหลีค่วยที่โจมตีเข้ามาตรงหน้า จากนั้นไปรวมร่างกันอีกครั้งตรงจุดที่ไม่ไกลจากข้างหลังเขา ไปสู้กับเหมียวอี้ที่พุ่งเข้ามา