ภาค 3 บทที่ 180 เปิดฉากไม่ดี

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ทหารศัตรูประชิดชายแดน ชาวบ้านหวาดหวั่น แม้มีเฉิงกั๋วกงรวมถึงกองทหารใหญ่ห้ามณฑลรวมพลป้องกัน ทั้งแดนเหนือก็ยังปกคลุมไปด้วยความอึมครึม 

 

กวาดตามองไป ตลาดที่คึกคักครึกครื้นหายไปแล้ว ทหารวิ่งไปมาไม่หยุดสักครู่ แต่ละคนๆ ชุดเกราะเต็มยศ ทำให้คนมองเห็นพวกเขาแล้วหวาดกลัว 

 

คนเดินถนนหัวไหล่เบียดเสียด ขับรถเร่งม้า พาครอบครัวออกจากบ้านชนบทที่อาศัยไปอยู่รวมตัวในเมืองที่มีการป้องกันแน่นหนาซึ่งทางการจัดไว้รวมถึงป้อมปราการป้องกันใกล้ๆ 

 

คนไปได้ แต่สัตว์เลี้ยงและอาหารมากมายจำต้องละทิ้ง ความเสียหายไม่อาจหลีกเลี่ยง แต่ขอเพียงคนยังอยู่ เฉิงกั๋วกงป้องกันชายแดนตีโจรจินล่าถอยได้ ถ้าอย่างนั้นความเสียหายเหล่านี้ก็ไม่นับเป็นอะไร 

 

นอกจากนี้แดนเหนือสงบสุขมาสิบปีแล้ว ทุกคนเชื่อมั่นว่าเฉิงกั๋วกงจะยังคงรักษาความสงบสุของแดนเหนือไว้ได้เช่นเดิม ดังนั้นแม้ความอึกครึมปกคลุมไปทั่ว แม้ชาวบ้านรีบร้อนเดินวิ่งย้ายที่อยู่แต่กลับไม่โกลาหล 

 

ทว่าเมื่อข่าวส่งไปถึงเมืองหลวง คนทั้งเมืองหลวงล้วนตระหนก สงบสุขมาสิบปีแล้ว แต่ความทรงจำเมื่อครั้งยี่สิบกว่าปีก่อนหน้าเมื่อกีบเท้าเหล็กของโจรจินเหยียบทำลายเมืองหลวงบุกตรงดิ่งมากระทั่งฮ่องเต้ก็ถูกจับตัวไป ยังคงหลงเหลืออยู่ก้นบึ้งหัวใจของคนมากมาย 

 

ในราชสำนักบรรยากาศยิ่งเคร่งเครียด 

 

ประชุมขุนนางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างจนกระทั่งฟ้ามืด ขุนนางตำแหน่งใหญ่ในราชสำนักถึงออกจากวังกลับบ้าน วันรุ่งขึ้นก็ต่ออีก 

 

“มณฑลเหอเป่ยซี มณฑลเหอเป่ยตงทั้งหมดระวังกวดขัน ทั้งชายแดนปิดประตูปิดถนน” หนิงเหยียนอ่านเสียงดังต่อ แล้วมองผู้คนอีกครั้ง “วันนี้ข้าศึกประชิดชายแดน พวกข้าบนล่างร่วมใจต้องโจมตีข้าศึกล่าถอยได้แน่” 

 

ฮ่องเต้ผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์คล้ายร้อนรนกังวลอยู่บ้างขัดเขา 

 

“เฉิงกั๋วกงจะทำอย่างไร ข้าไม่อยากฟังอีกแล้ว” เขาเอ่ย สีหน้าเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย เห็นชัดยิ่งว่าหลายวันนี้หลับไม่สบาย “ยืนยันหรือยังว่าครั้งนี้ข้าศึกมาเท่าไร? ใครเป็นแม่ทัพ?” 

 

หนิงเหยียนยังไม่ทันเอ่ย หวงเฉิงที่นั่งอยู่ด้านข้างก็เอ่ยปากเสียงเบาๆ ก่อนแล้ว 

 

“ข้าศึกห้าหมื่น มีต้าเผิงอ๋องทั่วป๋าอูเป็นแม่ทัพพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย  

 

ได้ยินจำนวนนี้กับแม่ทัพ ในราชสำนักเสียงสูดหายใจก็ดังขึ้นระลอกหนึ่ง 

 

ห้าหมื่น! 

 

“ตอนนั้นบ้านเมืองหายนะข้าศึกยังไม่เกินสามหมื่นเลย” ขุนนางที่หนวดเคราเส้นผมขาวคนหนึ่งเอ่ยพึมพำ 

 

“นอกจากนี้ครั้งนี้ถึงกับเป็นทั่วป๋าอูนำทัพ” ขุนนางอีกคนหนึ่งก็เอ่ยกับตนเองบ้าง 

 

ตอนนั้นพี่ชายของเขาทั่วป๋าซูถูกเฉิงกั๋วกงยิงตายระหว่างที่กองทัพวุ่นวาย ราชวงศ์โจรจินตกสู่ความวุ่นวาย ทั่วป๋าอูหนีตายห้าปีจึงกลับมาสังหารน้องของตน สนับสนุนบุตรชายคนโตของทั่วป๋าซูครองบัลลังก์ ถูกแต่งตั้งเป็นต้าเผิงอ๋อง 

 

ทั่วป๋าอูสนิทกับพี่ชายของเขามาก ครั้งนี้ยกพลยิ่งใหญ่มาคงต้องการแก้แค้นแน่นอน 

 

หนิงเหยียนเห็นสีพระพักตร์ของฮ่องเต้ซีดขาวอย่างชัดเจน ระหว่างที่มองดูบรรยากาศในท้องพระโรง เขาก็รีบร้อนยกมือส่งสัญญาณ 

 

“พวกเขาชำระแค้นรึ? พวกเราสิถึงมีแค้นล้ำลึก” เขาตวาดเสียงเข้ม “พวกเขาทหารโจรห้าหมื่น พวกเราต้าโจวแม่ทัพทหารมากมายแสนกว่านายมีอันใดต้องกลัว?” 

 

เขาพูดพลางประสานมือหันไปทางฮ่องเต้ 

 

“เหนือมีเฉิงกั๋วกงนำกองทหารห้ามณฑล ตะวันตกมีไท่หยวน ตะวันออกมีซานตง ใต้มีเหอหนาน ทหารทั้งหมดมากมาย ต้าโจวของเราประหนึ่งกำแพงทองแดงปราการเหล็ก ต่อให้โจรจินยกพลยิ่งใหญ่มาก็ต้องไร้ผลงานกลับไป สังหารราบตายสิ้น” 

 

ใช่แล้วไม่ผิด สิบปีแห่งความสงบสุขเลี้ยงดูทหารแข็งแกร่งม้ากำยำ 

 

“เลี้ยงทหารพันวันใช้ทหารเพลาเดียว ฝ่าบาท แม่ทัพทหารของพวกเราต้าโจวไหนเลยจะหวาดกลัวโจรจิน ครั้งนั้นโจรจวินทำลายเมืองของพวกเรา ปล้นชิงประชาชนของเรา วันนี้เป็นเวลาชำระแค้น แย่งชิงแผ่นดินที่เสียไปของพวกเรากลับคืนมา” 

 

มีขุนนางใหญ่หลายคนก้าวออกมาโขกศีรษะคำนับ 

 

“ฝ่าบาท โลงศพของฮ่องเต้เหรินเสี้ยวยังคงถูกจองจำอยู่ในแผ่นดินจิน เพื่อความสงบสุขของหมื่นประชาพวกเรารักษาคำมั่นสัญญา ครั้งนี้โจรจินฉีกสัญญาตระบัดสัตย์ กระหม่อมขอฝ่าบาทบัญชากองทัพใหญ่รับวิญญาณของฮ่องเต้เหรินเสี้ยวกลับคืนพ่ะย่ะค่ะ” 

 

เสียงของพวกเขาสะอื้นไห้ ยิ่งมีขุนนางเฒ่าสองคนร่ำไห้ ศีรษะจรดพื้น เส้นผมสีขาวโพลนยิ่งกระเซอะกระเซิง 

 

นี่ทำให้บรรยากาศหวาดกลัวหวั่นผวาก่อนหน้านี้ในท้องพระโรงถูกกวาดทีเดียวเกลี้ยง ที่มาแทนที่คือความเศร้าโศกโกรธแค้น 

 

และความเศร้าโศกโกรธแค้นก็คือแหล่งที่มาของพลัง 

 

“ฝ่าบาท โปรดทำศึก!” 

 

“ฝ่าบาท โปรดรวมกำลังพลขึ้นเหนือ” 

 

ชั่วขณะหนึ่งขุนนางใหญ่มากมายก้าวออกมา พากันเอ่ยวาจา 

 

ฮ่องเต้ก็ถูกความโศกเศร้าโกรธแค้นนี่ปลอบประโลม สีหน้าฟื้นกลับมานิ่งสงบ นั่งตัวตรง 

 

“ขุนนางที่รัก…” เขาเอ่ย 

 

วาจาเพิ่งออกจากปากก็ได้ยินเสียงถวายรายงานแหลมสูงเสียงหนึ่งดังมาจากด้านนอก 

 

“ข่าวด่วน! ข่าวด่วน! ด่านเย่าจื่อแตกแล้ว! โจรจินข้ามแม่น้ำจวี้หม่าแล้ว เมืองหรงแตกแล้ว สยงโจวแจ้งสถานการณ์วิกฤติ!” 

 

พร้อมกับเสียงตะโกน องครักษ์คนหนึ่งก็พุ่งเข้ามา หลังร่างเขาขันทีติดตาม ในมือขันทีชูสารฉบับหนึ่งอยู่ 

 

ในท้องพระโรงเงียบกริบทันที 

 

หนิงอวิ๋นเจาที่ยืนอยู่ท้ายสุดของแถวเงยหน้าขึ้น 

 

“นี่มัน ท่าไม่ดีแล้ว” เขาเอ่ยกับตนเอง 

 

ในท้องพระโรงกลายเป็นวุ่นวายประหนึ่งตลาด 

 

บรรดาขันทียกแผนที่ออกมาวาง ฮ่องเต้เดินลงมาจากบัลลังก์มังกร เหล่าขุนนางก็ล้วนเบียดอยู่หน้าแผนที่ มองดูตำแหน่งแน่ชัดที่แม่ทัพหลายคนชี้ 

 

“เส้นทางนี้ยังไงก็ต้องโจมตีเมืองเหอเจียนก่อน” 

 

“ครั้งก่อนบอกว่าไม่ทันระวังมีเหตุผลน่าอภัย ถ้าเช่นนั้นครั้งนี้เล่า?” 

 

“เตรียมรบมานานปานนี้ยังถูกคนโจมตีแตกอย่างง่ายดาย กองทหารอันซู่ด้านนั้นตายแล้วหรือ?” 

 

เสียงตะโกนเสียงตั้งคำถามวุ่นวายไม่ขาด 

 

หน้าผากของฮ่องเต้เหงื่อเม็ดเล็กผุดออกมา จับแขนของขันทีไว้ 

 

“เฉิงกั๋วกงอยู่ที่ไหนเล่า?” เขาเอ่ยถาม 

 

หนิงเหยียนยื่นมือชี้สถานที่หนึ่ง 

 

“ตอนนี้เฉิงกั๋วกงอยู่ที่ซุ่ยเฉิง” เขาเอ่ย “นำกองทหารกว่างซิ่นวางการป้องกัน” 

 

“นี่วางการป้องกันอะไร? วางการป้องกันอะไร? โจรจินนี่ข้ามมาแล้ว…” มีขุนนางใหญ่ลนลานเอ่ย 

 

“ข้ามมาแล้วอย่างไร?” หนิงเหยียนตวาดอีกหน ขัดวาจาของคุณนางใหญ่คนนี้ ยื่นมือชี้แนวแม่น้ำจวี้หม่าบนแผนที่ “กองทัพใหญ่ห้าหมื่นของชาวจิน ส่งสาส์นประกาศสงคราม รวดเดียวโจมตีทำลายแม่น้ำจวี้หม่าที่หนึ่ง โจมตีเมืองแตกมีอะไรแปลก” 

 

คนรอบด้านล้วนอึ้งไปวูบหนึ่ง เสียงวุ่นวายหยุดลง 

 

“สงครามเพิ่งเริ่ม แพ้ชนะยังไม่แน่ ชัยชนะครั้งหนึ่งไม่ใช่ได้ชัย แพ้ครั้งหนึ่งก็หาใช่ปราชัย” หนิงเหยียนเอ่ยต่อ ยื่นมือชี้บนแผนที่อีกครั้ง “ข้าเชื่อว่า ไม่กี่วันหลังจากนี้เมื่อกองทหารใหญ่ของเฉิงกั๋วกงเร่งเดินทางมาถึง ตอนนั้นถึงเป็นการรบอย่างแท้จริง ข้าเชื่อเช่นกันว่าเฉิงกั๋วกงต้องได้ชัยชนะแน่!” 

 

ในท้องกระโรงเงียบไปพักหนึ่ง ความเงียบนี้ทำให้ความร้อนรนลนลานเมื่อครู่สงบลงไปบ้าง 

 

“ถูกแล้ว ใต้เท้าหนิงเอ่ยมีเหตุผล” 

 

“ไม่ผิด แม้ส่งสาส์นประกาศสงคราม แต่นี่ก็ยังคงเป็นการลอบจู่โจม” 

 

“แม่น้ำจวี้หม่านั้นมีแค่ป้อมปราการเล็กๆ สามแห่ง จะเป็นคู่ต่อสู้ของกองทหารใหญ่ห้าหมื่นได้อย่างไร” 

 

ในท้องพระโรงเสียงถกเถียงดังขึ้นอีกครั้ง ยิ่งมีแม่ทัพหลายคนก้าวเข้าไปชี้แผนที่ อธิบายเส้นทางที่กองทหารเป่าติ้ง ซิ่นอัน หย่งซิ่งเป็นต้นรวมตัววางแนวป้องกันอยู่ รับประกันครั้งแล้วครั้งเล่าว่ากำลังทหารเพียงพอ 

 

ฮ่องเต้จับขันทีไว้สีหน้าดีขึ้น 

 

“ในเมื่อโจรจินกล้ารุกราน พวกเราก็ต้องให้พวกเขารู้ สิบปีก่อนพวกเราตีพวกเขาถอยห่างเก้าสิบลี้ได้ สิบปีให้หลังพวกเราก็ยังคงทำได้” หนิงเหยียนสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ย “ศึกนี้จะให้โจรจินได้ยินชื่อพวกเราต้าโจวก็หวาดกลัว ให้พวกเขาไม่กล้าเหยียบเข้าเขตแดนต้าโจวของเราสักก้าวอีกต่อไป” 

 

หนิงเหยียนหมุนตัวคำนับฮ่องเต้ 

 

“ฝ่าบาท ขอทรงชนะศึก!” เขาค้อมกายเอ่ย 

 

ขุนนางใหญ่กลุ่มหนึ่งพากันคำนับ 

 

“ขอทรงชนะศึก ขอทรงชนะศึก” 

 

ฮ่องเต้มองบรรดาขุนนาง เค้นรอยยิ้มจางๆ ออกมา 

 

“ดี ดี ชนะศึก” พระองค์สีหน้าจริงจังตรัส 

 

ในท้องพระโรงบรรยากาศฮึกเหิมอีกครั้ง คนแทบทั้งหมดล้วนค้อมกายตะโกนเสียงดัง นอกจากลู่อวิ๋นฉีที่ดุจดั่งหลักไม้รูปสลักหินชั่วนิรันดร์ รวมถึงหวงเฉิงที่ได้รับพระราชทานพระกรุณาให้นั่งหน้าพระพักตร์ 

 

สำหรับลู่อวิ๋นฉีแล้ว นอกจากคำพูดของฮ่องเต้ สิ่งอื่นใดเขาล้วนไม่ฟัง ไม่ว่าเรื่องใหญ่ของบ้านเมืองหรือความเป็นความตายของประชาชน 

 

ส่วนหวงเฉิงที่นั่งอยู่ก้มต้วเล็กน้อย ไม่ได้ยกมือ หลุบสายตาคล้ายหลับใหลอยู่