องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 349 เดินไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้าอย่าร้องไห้เลย บอกเรื่องที่เจ้าต้องการจะฟ้องร้องให้ชัดเจน เจ้าร้องไห้จนข้ารู้สึกรำคาญ” ฉีเฟยอวิ๋นทำอะไรไม่ถูก นี่มันอะไรกัน มาร้องไห้หน้าจวนอ๋องเย่ดึกดื่นเช่นนี้
เมื่อโจวต้าหมานได้เช่นนั้นก็หยุดร้องไห้ นางเช็ดน้ำตาและพูดเรื่องในครอบครัว
จางเฉิงเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย มีเพียงฮุหยินชราที่เลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่
ครอบครัวของโจวต้าหมานถือว่าร่ำรวยและไม่มีบุตร โจวต้าหมานชอบจางเฉิงและทั้งสองก็โตมาด้วยกัน
ตอนที่ท่านย่าของจางเฉิงป่วย โจวต้าหมานก็เฝ้าดูแลจนฮูหยินชราเสียชีวิต
ฮูหยินชรารู้สึกซาบซึ้งใจโจวต้าหมาน ก่อนที่จะเสียชีวิต จึงให้จางเฉิงแต่งงานกับโจวต้าหมาน และแน่นอนว่าโจวต้าหมานเต็มใจ แต่จางเฉิงไม่ค่อยเต็มใจ
หากตระกูลจางไม่มีโจวต้าหมานก็คงจะล่มสลายไปนานแล้ว จางเฉิงต้องการตอบแทนบุญคุณก่อนที่ฮูหยินชราจะจากไป เขาจึงยอมแต่งงานกับโจวต้าหมาน
หลังจากแต่งงานกับจางเฉิงแล้ว โจวต้าหมานก็รู้ว่าจางเฉิงมีความทะเยอทะยานและต้องการมีส่วนร่วมในบ้านเมือง ดังนั้นนางจึงไม่ให้จางเฉิงทำงาน นางยังซื้อหนังสือและเครื่องเขียนให้จางเฉิงด้วย
จากนั้นก็ให้จางเฉิงอ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน นางไม่เพียงแต่ดูแลความเป็นอยู่ของครอบครัว แต่ยังปรนนิบัติรับใช้จางเฉิงด้วย
แม้ว่าจะไม่ได้ยากลำบากเป็นสิบปี แต่หลังจากสามปีให้หลัง จางเฉิงก็ประสบความสำเร็จเขาเข้ามาสอบในเมืองหลวงและสอบขุนนางผ่าน
แต่ตำแหน่งไม่ได้ใหญ่โตและเงินเดือนที่ได้รับก็ไม่มาก โจวต้าหมานดีใจเป็นอย่างมาก นางวิ่งไปรอบ ๆ และบอกทุกคนว่าสามีของนาง จางเฉิงได้เป็นขุนนางแล้ว
ในตอนแรกที่โจวต้าหมานซื้อหนังสือให้เขา นางถูกหัวเราะเยาะและผู้คนก็กล่าวว่าจางเฉิงไม่ได้เรื่อง และนางก็โง่ แต่นางไม่เชื่อและมักจะทะเลาะกับคนอื่น ๆ
เมื่อจางเฉิงได้เป็นขุนนางแล้ว นางก็เดินตามเข้าไปในเมืองหลวง
ในตอนแรกที่เข้ามาในเมืองนั้น แต่ละวันผ่านไปอย่างลำบาก โจวต้าหมานต้องตื่นเช้ามาทำงานเป็นกรรมกรทุกวัน ขุดมูลสัตว์นางก็เคยทำมาแล้ว และเหนื่อยแทบแย่
ต่อมาจางเฉิงทำงานได้ดีและได้เลื่อนตำแหน่งเป็นขุนนางชั้นสูง ไม่เมื่อไม่นานมานี้ จางเฉิงก็ได้รับเลือกให้เป็นรองเสนาบดีกรมขุนนาง
โจวต้าหมานดีใจมาก แต่นางไม่คิดว่าหลังจากมีความสุขได้เพียงไม่กี่วัน ความกระตือรือร้นก็หายไป
สามีของนางต้องการมีภรรยาน้อย และหญิงคนนั้นก็อายุเพียงแค่ไม่กี่สิบปี ตอนนี้โจวต้าหมานอายุยี่สิบห้าปี นางแต่งงานกับจางเฉิงมาหลายปีและลำบากมาโดยตลอด ได้เมื่อได้เสวยสุข สามีกลับต้องการมีภรรยาน้อย
นางไม่ยินยอม จึงทะเลาะกับสามีและสามีบอกว่านางไม่สามารถทำอะไรได้
ดังคำกล่าวที่ว่าความอกตัญญูมีอยู่สามประการ แต่ที่เป็นที่สุดของความอกตัญญูก็คือการไร้ทายาทสืบสกุล
โจวต้าหมานดีทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องที่นางไม่สามารถมีบุตรได้ ซึ่งเรื่องนี้อยู่เหนือธรรมชาติ
สามีของนางต้องการมีภรรยาน้อย นางจึงไปฟ้องร้องต่อกรมขุนนาง แต่กรมขุนนางไม่รับฟ้องร้อง นางได้ยินมาว่าพระชายาเย่ตรวจสอบคดีในศาลชั้นใน และมีหน้าที่ดูแลเรื่องภายในศาลชั้นใน ดังนั้นนางจึงวิ่งมาหาถึงที่นี่
หลังจากที่โจวต้าหมานพูดจบ ฉีเฟยอวิ๋นก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและมองไปที่อาอวี่:“ไปตรวจสอบดูว่าคำพูดของโจวต้าหมานเป็นความจริงหรือไม่ และนำคำให้การกลับมาด้วย ข้าต้องการพยานสิบคนขึ้นไป เนื่องจากเป็นเรื่องหลายปีแล้ว ดังนั้นจึงต้องไปตรวจสอบเรื่องนี้ที่บ้านเกิดของพวกเขา และถามผู้คนในหมู่บ้านให้ชัดเจน
นอกจากนี้ยังต้องไปตรวจสอบสถานที่ที่พวกเขาอยู่ในเมืองหลวงด้วย ข้าต้องการเห็นผลการตรวจสอบก่อนพรุ่งนี้เช้า”
“พ่ะย่ะค่ะ”
อาอวี่หันหลังจากไป ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่โจวต้าหมาน:“เจ้านั่งลงก่อน ข้าจะตรวดูอาการให้เจ้า ว่าการไม่มีบุตรเป็นปัญหาของเจ้าหรือไม่”
โจวต้าหมานตกตะลึงอยู่นาน และรีบพยักหน้าด้วยความซาบซึ้งใจ:“ขอบพระทัยพระชายาเย่เพคะ”
โจวต้าหมานนั่งลงข้าง ๆ ฉีเฟยอวิ๋นจับข้อมือของโจวต้าหมานและเริ่มใช้สมาธิ นางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง:“เจ้าไม่ป่วยใด ๆ ร่างกายแข็งแรงดี และไม่ใช่ว่าจะมีบุตรไม่ได้ หรือว่าเป็นปัญหาของสามีเจ้า?”
เมื่อพูดเช่นนี้ โจวต้าหมานก็ไม่สบายใจมาก:“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่กล้าที่จะปิดบังพระชายาเย่อีกต่อไป อันที่จริงจางเฉิงไม่เต็มใจที่จะแต่งงานกับข้า เพียงแต่ข้ามีบุญคุณที่ดูแลท่านย่าก็เท่านั้น เขาจึงตอบแทนด้วยการแต่งงานกับข้า
หลังจากแต่งงานกับข้าแล้ว เขาก็ไม่ยอมร่วมห้องหอกับข้า และไม่ว่าจะทำอย่างไร เขาก็ไม่สนใจข้าเลย
เราแต่งงานกันมาสิบกว่าปี เขาร่วมเตียงกับข้าเป็นครั้งคราวเท่านั้น”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่โจวต้าหมาน และรู้สึกว่านางน่าสงสารมาก เพียงแค่ชอบคนที่ไม่ควรชอบ และได้พบกับสามีที่ทรยศต่อภรรยาของตนเอง ช่างโชคร้ายเสียจริง
นึกถึงในตอนแรกที่นางมาที่นี่ นึกถึงเจ้าของร่างเดิม ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกหมดหนทาง แม้ว่าจะอยู่ด้วยกัน แต่ก็จะสามารถทำอะไรได้เลย?
ผู้ชายที่เอาเปรียบผู้หญิง เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ผู้หญิงสงบเสงี่ยมมากกว่าผู้ชาย มีความป่าเถื่อนน้อยกว่า และต้องเผชิญกับการเสียเปรียบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นยืน:“เจ้ากลับไปก่อน และอย่าเปิดเผยเรื่องการฟ้องร้อง อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น แล้วพรุ่งนี้เช้าเจ้าค่อยกลับมาใหม่ หากสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง ข้าจะช่วยตัดสินให้เจ้าเอง”
“ขอบพระทัยพระชายาเย่ ขอบพระทัยเพคะ!”
ฉีเฟยอวิ๋นเดินจากไป และโจวต้าหมานก็ถูกพาออกไป
หนานกงเย่กลับมาตอนดึก ฉีเฟยอวิ๋นยังไม่นอน
หนานกงเย่ถอดเสื้อผ้าแล้วขึ้นมาบนเตียง ฉีเฟยอวิ๋นกอดเขา:“ท่านอ๋อง ตรวจสอบพบกี่คนแล้วเพคะ?”
“หลายร้อยคน” หนานกงเย่ตอบอย่างราบเรียบ จากนั้นก็กอดฉีเฟยอวิ๋นและพักผ่อนต่อ
ฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่ถามอะไรอีก ในวังมีผู้คนมากมาย ไม่กี่ร้อยคนถือว่าไม่มาก
หลังจากที่พักผ่อนทั้งคืนแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ไปทานอาหารเช้า อาอวี่ก็กลับมาแล้ว และในมือของเขาก็นำบันทึกคำให้การกลับมาด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นทานอาหารไปพลางอ่านไปพลาง ในนั้นมีมากกว่ายี่สิบแผ่น นั่นก็หมายความว่ามีมากกว่ายี่สิบคน ทุกคนเป็นพยานว่าสิ่งที่โจวต้าหมานพูดนั้นเป็นความจริง
ฉีเฟยอวิ๋นถามอาอวี่อีกครั้ง และอาอวี่ก็กล่าวว่า:“พ่อแม่ของโจวต้าหมานไม่แล้ว ได้ยินมาว่าโกรธโจวต้าหมานจนตรอมใจตาย
โจวต้าหมานเป็นบุตรสาวของพ่อแม่ที่อายุมากแล้ว ตอนที่นางอายุสิบกว่าปี พ่อแม่ของนางก็อายุหกเจ็ดสิบแล้ว พ่อแม่ของนางไม่ชอบจางเฉิง และบอกว่าจากเฉิงเห็นแก่เงินของพวกเขา เขาไม่ชอบทำงานและไม่ได้ปฏิบัติต่อโจวต้าหมานเป็นอย่างดี
แต่โจวต้าหมานหัวรั้นและยืนยันที่จะอยู่กับจางเฉิง
ต่อมาเมื่อเห็นว่าโจวต้าหมานตกทุกข์ได้ยาก พ่อแม่ของนางก็ล้มป่วย และต่อมาก็ป่วยตายไปทีละคน
แต่จางเฉิงก็ถือว่าไม่เลว ว่ากันว่าตอนที่ที่พ่อตาแม่ยายของเขาตาย ล้วนแต่เป็นเขาที่สวมผ้าป่านเพื่อไว้ทุกข์”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกขบขัน:“กินดื่มของคนอื่น อาศัยอยู่ในบ้านของคนอื่น แล้วยังให้อ่านเขียนเรียนหนังสือ หากไม่สวมผ้าป่านเพื่อไว้ทุกข์ จะนับเป็นอะไรได้?
หรือว่าโจวต้าหมานไม่ได้สวมผ้าป่านเพื่อไว้ทุกข์ให้กับย่าของจางเฉิง?”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากกินอาหารแล้ว หนานกงเย่นั่งข้าง ๆ นางโดยไม่พูดอะไร และคีบอาหารให้ฉีเฟยอวิ๋น แม้ว่าไม่อยากกินก็ต้องกิน
อาอวี่กล่าวว่า:“คนที่กำลังจะแต่งงานกับจางเฉิงคนนี้ มีพื้นฐานครอบครัวที่ดี นางเป็นเป็นญาติห่าง ๆ ของเสมียนกรมขุนนาง และนางเต็มใจที่จะเป็นภรรยาน้อยของจางเฉิง”
“จางเฉิงคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา เขามีความสามารถที่ยอดเยี่ยม อาอวี่ เจ้าไปเชิญโจวต้าหมานมา อีกเดี๋ยวพวกเราจะไปที่บ้านของนาง”
สิ่งที่ฉีเฟยอวิ๋นทนมองไม่ได้คือสามีที่ทรยศต่อภรรยาของตน และนางจะต้องบำบัดทุกข์ให้แก่ราษฎร
อาอวี่กล่าวว่า:“โจวต้าหมานไม่ได้กลับไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ นางรออยู่ที่นอกจวนของพวกเรา ตอนที่ข้าอยู่กลับมานางก็อยู่ที่นั่นแล้ว ข้าจึงถามนางสองสามคำว่าทำไมนางถึงไม่กลับไป นางบอกว่าไม่สามารถยอมรับเรื่องที่สามีของนางมีภรรยาน้อยได้ จางเฉิงพาภรรยาน้อยมาอยู่ด้วยแล้ว และในเวลานี้ก็ไม่ยอมให้นางกลับไปที่จวน”
ฉีเฟยอวิ๋นเลิกคิ้วขึ้น:“เช่นนั้นก็ให้นางมากินข้าวเป็นเพื่อนข้าเถิด หลายวันมานี้ข้าไม่ค่อยเจริญอาหาร อาจเป็นเพราะไม่มีใครกินเป็นเพื่อน”
อาอวี่เหลือบไปที่หนานกงเย่และหันลับไปจัดการ
หนานกงเย่ลุกขึ้นและกล่าวว่า:“ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำ และไม่อยากทำให้พระชายาต้องเสียเวลา”
หลังจากที่พูดจบแล้ว หนานกงเย่ก็เดินไปอย่างรวดเร็วและหายวับไปในพริบตา