ตอนที่ 585 รู้สึกอยู่ในใจ

พันธกานต์ปราณอัคคี

สติสัมปชัญญะของมั่วโฉวได้รับความเสียหาย เมื่อพบหน้ามั่วต้าเหนียนแน่นอนว่าย่อมไม่ได้ดีใจหรือร้องไห้ที่ได้พบญาติ มั่วต้าเหนียนยังคงรู้สึกชื่นมื่น มองมั่วโฉวน้ำตาคลอ

แม้ว่ามั่วชิงเฉินจะสังหารอาจารย์ชิงหยวนไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด แต่กลับรู้ว่าราชันฉินก่วงที่เขาเอ่ยถึงนั้นก็คือเจ้าเมืองฉินก่วง

แม้ว่าสิบมหาราชันผีจะเป็นเทพมังกรเห็นเศียรไม่เห็นหาง เมื่ออยู่ในเขตแดนของเขาแน่นอนว่าย่อมรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อเห็นท่านปู่ฟื้นฟูสติสัมปชัญญะกลับมา ก็คิดจะพาท่านปู่จากไป

คิดไม่ถึงว่าไม่ว่ามั่วโฉวจะไม่ยอมกลับเข้าไปในไข่มุกหยินอย่างสุดชีวิต ขมวดคิ้วมิงมั่วชิงเฉิน กอดแขนมั่วต้าเหนียนแน่นไม่ปล่อย

ในช่วงเวลาอันสั้นที่มั่วชิงเฉินอยู่ในแดนผี ก็เข้าใจในองค์ความรู้ทั่วไปอยู่ไม่น้อย แม้ว่าไข่มุกหยินจะเป็นสมบัติวิญญาณ แต่สำหรับดวงวิญญาณแล้ว อย่างไรก็ไม่สบายใจเท่ากลิ่นอายบริสุทธิ์สุขสบายในแดนผี

มั่วโฉวมีสีหน้าเลื่อนลอย แสดงออกตามสัญชาตญาณ

“นางหนู อย่าให้ท่านอาหกของเจ้าเข้าไปเลย นางเป็นร่างผี เดิมทีก็ควรอยู่ข้างนอก” มั่วต้าเหนียนเห็นมั่วโฉวจับแขนตนแน่นเหมือนเด็ก ก็อดที่จะเอ่ยขึ้นไม่ได้

มั่วชิงเฉินอยากให้มั่วโฉวกลับไปในไข่มุกหยิน ความจริงแล้วเพราะกลัวว่านางสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พาไปด้วยจะเกิดปัญหา เมื่อได้ยินท่านปู่กล่าวเช่นนี้ อย่างนั้นก็ช่างเถิด

ตนเป็นถึงอาจารย์ผี หากปกป้องท่านปู่และท่านอาหกไม่ได้ นั่นก็ไม่ต้องมีชีวิตอยู่แล้ว

“นางหนูเอ๋ย ท่านอาหกของเจ้านางยังมีหวังจะกลับมาเป็นปกติหรือไม่” มั่วต้าเหนียนเอ่ยถาม

มั่วชิงเฉินเม้มปากพลางเอ่ยว่า “ดวงวิญญาณที่สติสัมปชัญญะได้รับความเสียหายในยามที่มีชีวิตอยู่อย่างท่านอาหก หากคิดจะฟื้นฟูสติสัมปชัญญะกลับมามีสามวิธี วิธีแรกเข้าสู่วัฏสงสาร กลับไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์ แน่นอนว่าย่อมต้องตัดเรื่องราวในอดีตไปจนหมด วิธีที่สองคือหาสมบัติวิเศษที่ใช้ซ่อมแซมดวงวิญญาณโดยเฉพาะของแดนผี วิธีสุดท้ายก็คือเปลี่ยนไปเป็นผีบำเพ็ญเพียร รอจนพลังยุทธ์อยู่ในระดับอาจารย์ผี แน่นอนว่าย่อมมีสติปัญญาได้”

เอ่ยไปพลางมองมั่วโฉวพร้อมยิ้มน้อยๆ “ท่านปู่ท่านวางใจเถิด วาสนาของท่านอาหกได้เข้าไปในหอกักวิญญาณโดยบังเอิญ ยามนี้มีพลังยุทธ์ระดับขุนพลผีแล้ว คุณสมบัติของการเป็นผีลำเพ็ญเพียรก็ยอดเยี่ยมมาก ชิงเฉินจะช่วยท่านอาหกพัฒนาพลังยุทธ์ให้เต็มที่”

มั่วต้าเหนียนพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง “เช่นนั้นก็ดีๆ โฉวเอ๋อร์นางหนูผู้นี้ มีช่วงชีวิตที่เจ็บปวดที่สุด”

“ท่านปู่ เช่นนั้นพวกเราไปจากที่นี่กันก่อนเถิด” มั่วชิงเฉินเอ่ยพลางกวาดตาไปที่เถียนหยวน

ยามที่พวกนางปู่หลานรำลึกถึงอดีต เถียนหยวนก็ติดอยู่ในอาณาเขตวงกลม ได้ยินมั่วชิงเฉินกล่าวว่าจะไปแล้ว ก็หวังว่าจะลืมตนไปแล้ว

เห็นมั่วชิงเฉินเดินมา ชั่วขณะนั้นพลันหน้าซีดเผือด “เจ้า เจ้าตกลงแล้วว่าจะไม่ฆ่าข้า!”

“ข้าตกลงตอนไหน” มั่วชิงเฉินงุนงงแล้ว

เถียนหยวนร้อนรน “ก็ ก็ตอนที่ให้ข้าไปคาบกระดูกไง”

มั่วชิงเฉินย้อนนึกไปคราหนึ่ง แล้วฉีกยิ้มเอ่ยว่า “ตอนนั้นข้าเหมือนจะบอกว่า ‘ยังไม่รีบไป’ ไม่ใช่หรือ”

“เจ้า เจ้ามันหญิงแพศยา…” เถียนหยวนก่นด่าอย่างไร้ยางอาย

รอจนเขาด่าเสร็จ ก็ได้ยินมั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างเย็นชา “วางใจ ข้าไม่ได้คิดจะฆ่าเจ้าจริงๆ”

ล้อเล่นแล้ว สังหารเขาร้อยรอบ มันจะให้ประโยชน์แก่เขาเกินไป!

เถียนหยวนยังไม่ทันได้ดีใจ ก็รู้สึกเจ็บหน้าท้อง แล้วชักดิ้นชักงออยู่บนพื้น

“เจ้า คิดไม่ถึงว่าจะทำลายฐานรากวิญญาณของข้า!” เถียนหยวนมองมั่วชิงเฉินด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและบ้าคลั่ง

ชีวิตก่อน เขาไปข่มขืนแล้วสังหารหรือสังหารแล้วข่มขืนสตรีผู้นี้มาหรือไม่ ชีวิตนี้ถึงต้องชดใช้เช่นนี้

สังหารเขายังไม่นับ คาดไม่ถึงว่าจะไล่ตามมาถึงแดนผีแล้วทำลายฐานรากวิญญาณของเขา

ต้องเข้าใจว่าพลังยุทธ์ไม่มีแล้วก็สามารถฝึกฝนกลับมาได้ แต่ฐานรากวิญญาณถูกทำลายแล้ว กลับจะกลายเป็นเพียงคนพิการเท่านั้น

เขาไม่ยินยอม เขาเป็นผีบำเพ็ญเพียรอัจฉริยะ แรกมาถึงก็ถูกอาจารย์ผีผู้ยิ่งใหญ่ให้ความสำคัญแล้วรับเป็นศิษย์ เพียงร้อยกว่าปีก็ฝึกฝนสำเร็จบรรลุเป็นขุนพลผี อนาคตยังไร้ขีดจำกัด

เหตุใดสตรีผู้นี้พอมาถึงก็ทำลายทั้งหมดทิ้ง!

มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก “เลิกถลึงตาได้แล้ว หากจะโทษก็โทษจิตใจที่คับแคบของเจ้าเถิด เดิมทีความแค้นของเจ้ากับข้าก็ควรจะหายไปพร้อมกับร่างที่ตายไปแล้ว แต่เจ้ากลับดื้อรั้นร้ายกาจ รังแกญาติของข้า นั่นก็โทษว่าข้าใจร้ายไม่ได้”

มั่วชิงเฉินคว้าเถียนหยวนขึ้นมา “ไป ข้าจะส่งเจ้าไปยังสถานที่ดีๆ”

หลังจากนั้นไม่นาน หน้าประตูหอนางโลมที่ใหญ่ที่สุดของเมืองฉินก่วง ก็มีบุรุษนอนอยู่คนหนึ่ง

ผู้ดูแลออกมาเจอบุรุษหน้าตางดงามเข้าพอดี ดวงวิญญาณก็ผนึกสร้างเป็นร่างจริง ทำให้เหล่าผีสาวต่างใจเต้นขึ้นมา ทั้งยังไม่มีพลังยุทธ์เลยสักนิด จึงรีบยกเข้าไปข้างในอย่างเบิกบาน

ตั้งแต่นั้นมาหอนางโลมก็มีต้นไม้ทำเงินเพิ่มขึ้นอีกต้น

ยามนั้นมั่วชิงเฉินพาท่านปู่และท่านอาหกออกจากเมืองฉินก่วงมานานแล้ว กำลังเดินอยู่บนถนน

มั่วชิงเฉินรู้ว่า โลกมนุษย์ที่ทำให้นางอาลัยอาวรณ์อย่างหาที่สุดไม่ได้แห่งนั้น ไม่มีทางกลับไปได้แล้ว ยังดีที่มีท่านปู่และท่านอาหกอยู่ด้วยที่แดนผี ก็นับว่าสวรรค์ทรงเมตตาแล้ว

ในเมื่อคิดจะอยู่อาศัยระยะยาว เลือกเมืองผีสักเมืองก็เป็นเรื่องที่ทำลวกๆ ไม่ได้

มั่วชิงเฉินครุ่นคิดเล็กน้อย ก็เลือกเมืองเซียวเหยา

เมืองเซียวเหยามีผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษอยู่จำนวนมาก ระดับอาจารย์ผีก็มี ระดับอาจารย์ผีสิบกว่าคนในเมืองล้วนเป็นที่รู้จักกว้างขวาง

เป็นเพราะพาท่านปู่และท่านอาหกมาด้วย มั่วชิงเฉินจึงไม่อยากโอ้อวดมากมาย จึงกดระดับพลังยุทธ์เอาไว้ให้อยู่ในระดับแม่ทัพผี ในเมืองเซียวเหยาทั้งไม่มีผีน้อยหาเรื่อง และไม่ได้เป็นจุดสังเกต

ชีวิตที่เรียบง่ายเช่นนี้ดำเนินไปหลายวัน

วันนี้ มั่วชิงเฉินพาท่านปู่และท่านอาหกไปที่ย่านร้านค้า คิดจะศึกษาเคล็ดวิชาปรุงยาของผีบำเพ็ญเพียร พลันสัมผัสได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องบนร่างของตนเองโดยบังเอิญ

จึงเงยหน้าขึ้นมอง แล้วอดที่จะตกตะลึงไม่ได้

ผู้ที่พิจารณานางอยู่ ก็คือแม่ทัพชุดขาวที่เคยมีวาสนาพบกันครั้งหนึ่งที่เมืองวิ่งเซิง

เมื่อเห็นว่ามั่วชิงเฉินสังเกตเห็นเขาแล้ว แม่ทัพหลิงก็สาวเท้ายาวๆ เข้ามา ฉีกยิ้มอย่างสง่างามแล้วเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า แม่นางจะมาที่เมืองเซียวเหยา”

เซียวเหยากว้างใหญ่มาก มั่วชิงเฉินคิดไม่ถึงว่าจะพบคนผู้นี้ได้ ทว่านางก็ไม่ได้เป็นเหมือนในวันวาน สีหน้าจึงราบเรียบ “หากรู้ว่าจะพบแม่ทัพหลิง ข้าน้อยคงไม่กล้ามา”

แม่ทัพหลิงหยักมุมปากขึ้น “แม่นางกล่าวเช่นนี้ ช่างทำให้ข้าน้อยละอายใจจริงๆ เรียนเชิญไม่สู้การบังเอิญพบ มิสู้ให้ข้าน้อยเป็นเจ้าภาพเชิญแม่นางดื่มสุราเป็นการขอโทษสักหน่อยล่ะ”

“แม่ทัพหลิงเกรงใจแล้ว ข้าน้อยมีธุระต้องทำ” มั่วชิงเฉินกวาดสายตาไปขณะเอ่ย พลางหน้าเปลี่ยนสี “ท่านปู่ ท่านอาหกล่ะ”

มั่วต้าเหนียนเห็นหลานสาวและแม่ทัพชุดขาวที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวพูดคุยกัน แม่ทัพชุดขาวมีใบหน้าหล่อเหลา ท่วงท่าสง่างาม เพลิงอยากรู้อยากเห็นพลันลุกโชนในใจ จึงตั้งใจแอบฟังอยู่ด้านข้าง คาดไม่ถึงว่าจะไม่รู้ตัวว่ามั่วโฉวหายไปแล้ว

เมื่อได้ยินคำถามของมั่วชิงเฉิน ก็ตบตัวเองทีหนึ่งด้วยความหงุดหงิด “ไอ้หยา ตาเฒ่าเลอะเลือนแล้ว ทำท่านอาหกของเจ้าหายไป”

มั่วชิงเฉินเอ่ยปลุกปลอบ “ท่านปู่ไม่ได้เลอะเลือน ข้าจะไปตามหา”

เรื่องนี้โทษท่านปู่ไม่ได้ แม้ว่าท่านอาหกจะมีสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทุกครั้งที่ออกมาข้างนอกก็จะอยู่ข้างกายท่านปู่อย่างเงียบๆ การวิ่งไปวิ่งมาเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก

มั่วชิงเฉินแผ่จิตสัมผัสออกไปตรวจสอบรอบหนึ่ง แล้วบอกลาแม่ทัพหลิงอย่างรีบร้อน พาท่านปู่รีบมุ่งตรงไป

แม่ทัพหลิงครุ่นคิดเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าจะตามไป

ผีน้อยฝูงหนึ่งมาโอบล้อมเอาไว้ ด้านในมีเสียงลอยออกมา

“หญิงบ้านี้มาจากไหนกัน คาดไม่ถึงว่าจะมาเกาะแกะไม่เลิกรา!”

“ข้าจะเอาอันนี้ เอาอันนี้” เป็นเสียงของมั่วโฉว

“เจ้ามีหินวิญญาณหรือไม่” เสียงรำคาญของบุรุษดังออกมา

“หินวิญญาณ…หินวิญญาณคืออะไร”

เหล่าผีน้อยพลันหัวเราะลั่น บ้างก็โยนของในมือเข้าไป

“ไปๆๆ นางหญิงบ้า ไม่มีหินวิญญาณแล้วยังไม่ไปอีก หากเกาะแกะต่อไป ข้าจะหาเรื่องมาจัดการเจ้าแล้วนะ”

มั่วชิงเฉินแผ่แรงกดดันออกไป เหล่าผีน้อยพลันแตกฮือ เห็นท่านอาหกคว้าชายเสื้อบุรุษผู้หนึ่งเอาไว้แน่น ดวงตาจ้องเขม็งไปยังของบนแผง

บุรุษผู้นั้นอยู่แค่ระดับผีธรรมดา เมื่อเผชิญหน้ากับมั่วโฉวที่อยู่ในระดับขุนพลผี ก็ไม่อาจหลบหลีกได้ จะผลักก็ไม่ได้ จึงมีสีหน้ากลัดกลุ้ม

“นางจะซื้ออะไร ข้าจะจ่ายเงินเอง” มั่วชิงเฉินเดินเข้าไป ท่าทางอ่อนโยน

บุรุษหยิบของที่เหมือนกับบนแผงออกมา ส่งให้มั่วโฉวราวกับเผือกร้อน แล้วเอ่ยว่า “หนึ่งหินวิญญาณก็พอแล้ว ท่านแม่ทัพ รีบให้แม่นางผู้นี้ปล่อยข้าน้อยเถิดขอรับ”

มั่วโฉวกำสิ่งนั้นแน่น แล้วหัวเราะร่าเหมือนเด็กๆ

แม่ทัพหลิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักพลันมีแววตาเขม็งเกลียว เผยท่าทีครุ่นคิดออกมา

ของสิ่งนั้น หากเป็นเหล่าผีน้อยและแม่นางที่เพิ่งบรรลุระดับขุนพลได้ไม่นานผู้นี้คงไม่รู้จัก แต่กลับไม่อาจปิดบังสายตาของเขาได้

ต้องเข้าใจว่าท่านอาจารย์ของเขา นับได้ว่าเป็นอาจารย์ผีผู้มีความรู้กว้างขวางที่สุดในเมืองเหยากวง อาจารย์หย่า

ในฐานะที่เป็นศิษย์ของอาจารย์หย่า แน่นอนว่าย่อมมีความรู้ไม่น้อย

ศิลาที่ดูธรรมดาไร้ความพิเศษ ความจริงแล้วคือศิลาห้าวิญญาณ

ผีบำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ล้วนคิดว่าศิลาห้าวิญญาณต้องมีห้าสี ดูแล้วไม่ใช่ของธรรมดา แต่กลับไม่รู้ว่าศิลาห้าวิญญาณที่แท้จริง มีรูปร่างธรรมดาๆ เช่นนี้

นี่คือสาเหตุที่ศิลาห้าวิญญาณหายาก กลับบังเอิญมาปรากฏตัวบนแผงในย่านร้านค้า

ผีบำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ ล้วนไม่รู้จักสิ่งนี้

มองมั่วโฉวแวบหนึ่ง แม่ทัพหลิงขบคิดในใจ สตรีผู้นี้ดูแล้วสติเลอะเลือน แต่กลับรู้จักศิลาห้าวิญญาณในปราดเดียว

หรือว่า…

เมื่อคิดถึงสิ่งที่เป็นไปได้ ก็ใจเต้น

“แม่ทัพหลิง เจ้า…” เมื่อเห็นแม่ทัพหลิงตามมา มั่วชิงเฉินก็เลิกคิ้ว

แม่ทัพหลิงได้สติกลับคืนมา “เพราะว่าพูดคุยกับข้าน้อยถึงได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ข้าน้อยจึงมาดูสักหน่อย หาคนพบแล้ว ข้าน้อยก็วางใจ”

“ขอบพระคุณแม่ทัพหลิง” มั่วชิงเฉินพาท่านปู่และพวกทั้งสองหันกายจากไป

แม่ทัพหลิงเหลือบตามองมั่วโฉว แล้วตะโกนว่า “แม่นาง แม่นางผู้นี้ดูแล้วไม่ธรรมดา ให้ข้าน้อยดูสักหน่อยได้หรือไม่”

เห็นมั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว ก็รีบร้อนเอ่ยว่า “ข้าน้อยเป็นศิษย์ของใต้เท้าอาจารย์หย่า ร่ำเรียนมาหลายแขนง แม้ว่าแม่นางผู้นี้จะสติสัมปชัญญะเลอะเลือนแต่กลับมีปฏิภาณไหวพริบเฉียบแหลม ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิธีช่วยได้”

มั่วชิงเฉินเข้ามาพักในเมืองเซียวเหยา ก็เคยได้ยินชื่อของอาจารย์ผีสิบกว่าตนของเมืองเซียวเหยามาบ้าง ชื่อของอาจารย์หย่าก็เคยได้ยินมาก่อน

อาจารย์หย่าผู้นั้น ว่ากันว่ามีความรู้ลึกล้ำ เชี่ยวชาญทั้งพิณหมากรุกคัมภีร์วาดภาพ นิสัยอ่อนโยนและไม่สนใจลาภยศสรรเสริญ ชื่อเสียงดีมาก

แม้ว่าตนจะมีพลังยุทธ์ระดับอาจารย์ผี แต่กลับรู้ว่าในด้านความรู้นั้นคงสู้แม้กระทั่งขุนพลผีของที่นี่ไม่ได้ อยากให้ท่านอาหญิงฝึกฝนจนถึงระดับอาจารย์ผีก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกกี่ปี ตนเองไม่อาจให้นางอยู่ข้างกายได้ตลอด หากฟื้นฟูสติสัมปชัญญะได้ก็คงจะดีมาก จึงพยักหน้าตอบตกลง

แม่ทัพหลิงหลุบเปลือกตาลงปกปิดแววตาที่เปล่งประกายเอาไว้ คว้าข้อมือของมั่วโฉวมาตรวจสอบ

ตราประทับวาดลายห้าผีเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อพลันเปล่งแสงสว่างวาบ

เป็นร่างห้าวิญญาณดังคาด!

แม่ทัพหลิงฝืนระงับความดีใจเอาไว้ กลับประสานสายตากับสายตาที่เย็นชาของมั่วชิงเฉิน

“ไม่ทราบว่าแม่ทัพหลิงพบเงื่อนงำอะไรหรือไม่” มั่วชิงเฉินเอ่ยถามพร้อมกับอมยิ้ม

ดูจากสีหน้าของนาง แม่ทัพหลิงกลั้นหายใจเพราะเหตุใดก็ไม่รู้ ดูเหมือนว่าจะมองอะไรออก จึงอ้าปาก คาดไม่ถึงว่าไม่รู้จะพูดอะไรออกมา

มั่วชิงเฉินกำลังจะเปิดปาก ก็ใจเต้นอย่างแปลกประหลาด