ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 222 เหล่าชายหนุ่มที่กอดแผ่นป้ายอนุสรณ์

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เห็นเงาหลังที่เร่งของเฉินฉางเซิงบนเส้นทางภูเขา ถังซานสือลิ่วรู้สึกงุนงงเล็กน้อย เจ๋อซิ่วก็รู้สึกอย่างนี้เช่นกัน ใบหน้าที่เดิมไม่ค่อยมีสีหน้าใดๆ มีความสงสัยเพิ่มขึ้นมา คิดอย่างเงียบๆ หรือว่าเฉินฉางเซิงอยากหลบหนีบางสิ่งบางอย่าง? เพียงแต่คิดถึงการผ่านร้อนผ่านหนาวที่สำนักฝึกหลวงตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เฉินฉางเซิงอย่างไรก็ไม่น่าจะเป็นคนเช่นนี้

โก่วหานสือเก็บสายตากลับจากการมองลงไปข้างล่างภูเขา มิได้ไปคิดถึงความคิดของเฉินฉางเซิงอีก พูดกับชีเจียนศิษย์น้องทั้งสามคนว่า “เมื่อคืนให้พวกเจ้าดูสมุดบันทึกของสวินเหมยแค่หนึ่งท่อน เพราะไม่อยากให้พวกเจ้าแยกสมาธิ หลังดูสมุดบันทึกแล้ว พวกเจ้าก็น่าจะต้องรู้ แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์สามารถแก้ได้หลายมุมมอง แล้วพวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร?”

กวนเฟยไป๋หลังหยุดคิดนิดหนึ่ง ค่อยกล่าวขึ้น “ในบันทึกของสวินเหมย แค่แผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้าก็มีไว้ให้สิบกว่าแบบ ค่อยๆ คิดวิเคราะห์ดูแล้ว จริงๆ ทั้งหมดล้วนมีเหตุผล เพียงแต่หลีซานของพวกเราอยู่ทางใต้ ข้ายังคงถนัดการนำความหมายแผ่นป้ายอนุสรณ์แล้วขยับจิตวิญญาณ ให้เวลาข้าอีกหน่อย ก็น่าจะสามารถอ่านแก้แผ่นป้ายนี้ได้”

ชีเจียนและเหลียงปั้นหูก็พูดเช่นนี้เช่นกัน โก่วหานสือกลับพูดว่า “ถ้าเมื่อไรที่พวกเจ้าสามารถลืมความคิดท่อนนั้นหรือประสบการณ์ที่เขียนในบันทึกของสวินเหมยได้หมด ก็อาจจะแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ได้”

หลังพูดประโยคนี้เสร็จ เขาพลันนึกถึงบทสนทนาระหว่างเขาและเฉินฉางเซิงเมื่อคืน ในมุมมองของเขา เห็นได้ชัดเจนว่าเฉินฉางเซิงเข้าใจมากกับเหตุผลในนั้น ถึงได้เลือกเส้นทางใหม่โดยการหาความหมายที่แท้จริงท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง เพียงแต่วิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์นี้อาจใหม่ไปหน่อย คิดอยากจะบุกเบิกเส้นทางใหม่ หาใช่เรื่องง่ายดายจริงๆ

กลุ่มกวนเฟยไป๋ได้ยินคำพูดนี้ของเขา ตกใจเล็กน้อย เมื่อสงบจิตลงมาถึงพอเข้าใจความหมายของศิษย์พี่ เดินไปที่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ ต่างคนต่างหาพื้นที่เรียบหน่อยแล้วนั่งลงไป มองแผ่นป้ายหินสีดำแผ่นนั้นที่ใต้ชายคา เริ่มเงียบขรึมไม่เปล่งวาจา พยายามเอาตัวอักษรในสมุดบันทึกเหล่านั้นวางลงไปที่แผ่นป้ายอนุสรณ์ จากนั้นค่อยๆ ไล่ออกจากสมอง เจ๋อซิ่วและถังซานสือลิ่วจ้องมองซึ่งกันและกัน เดินตามไปด้วย ศิษย์สามขั้นการสอบใหญ่นับสิบคนที่เพิ่งเข้าสุสานเทียนซูในปีนี้ ก็ล้วนนั่งขัดสมาธิลงที่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ มีเพียงโก่วหานสือที่ยืนอยู่ไกลๆ มองภูเขาไกลๆ เงียบสงบไม่พูดจา ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่

เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป กระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ตั้งแต่แรกจนจบเงียบสนิทไร้สุ้มเสียง ไฟตะเกียงน้ำมันดวงนั้นที่แขวนอยู่บนต้นไม้ข้างกระท่อม ไม่รู้ว่าถูกคนเก็บไปตั้งแต่เมื่อใด กิ่งไม้กลับมาโล่งสบายอีกครั้ง พัดขยับเบาๆ ตามสายลมฤดูใบไม้ผลิ ดีดเป็นครั้งคราวให้กับท้องฟ้าสีคราม นานๆ ทีมีใบไม้เขียวตกลงมาจากกิ่งไม้ ลอยลิ่วไปตามลมมาถึงหน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์

ชีเจียนจู่ๆ ลืมตาขึ้น ยกใบไม้เขียวที่ตกอยู่บนไหล่อันผอมแห้ง จากนั้นลุกขึ้นมา ลังเลสักพัก แล้วเดินไปในกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์

พวกเขาที่อาศัยอยู่ในกระท่อมที่สวินเหมยทิ้งไว้ให้ เป็นเป้าหมายที่เหล่านักเรียนที่ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์จับตามองมากที่สุด มิฉะนั้นก็คงไม่มีนามกระท่อมเจ็ดตัวน้อยนี้ เวลาที่เงียบสงบในก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่ามีสายตากี่คู่ตกลงบนตัวพวกเขาเป็นระยะๆ เห็นชีเจียนเหมือนจะมีนัยว่าจะแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ที่เงียบสงบก็เริ่มเกิดความวุ่นวายเล็กน้อย

จงฮุ่ยเป็นคนแรกที่แก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ ทุกคนล้วนอยากรู้มากว่า ใครจะเป็นคนแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์คนที่สอง คนส่วนใหญ่ล้วนคิดว่าคนนั้นน่าจะเป็นโก่วหานสือ เพราะว่าเฉินฉางเซิงไม่ได้อยู่ในสนาม แล้วคนต่อไปน่าจะเป็นเจ๋อซิ่ว หรืออาจจะเป็นกวนเฟยไป๋และเหลียงปั้นหูที่มีระยะเวลาการบำเพ็ญที่ยาวนานกว่า ใครเลยจะคาดคิด ว่าจะเป็นชีเจียนที่ยังเยาว์

ชีเจียนเดินมาถึงหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า หันหัวกลับไปมองนอกกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ตาหนึ่ง ใบหน้าเล็กน้อยของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ

โก่วหานสือยืนอยู่ใต้ต้นซงที่อยู่ไกลๆ ไม่ได้พูดอะไร บนใบหน้ากลับแสดงรอยยิ้มออกมา จากนั้น ชีเจียนก็ยิ้มออกมา สีหน้าแห่งความลังเลก็หายไป เหลือเพียงแต่ความเบิกบาน

เขาเดินไปที่แผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้าอีกก้าว จากนั้นยื่นมือขวาออกอย่างระมัดระวัง วางอยู่บนขอบของแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ ไม่ได้แตะถูกเส้นสายใดๆ หน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์

ลมสดชื่นสายหนึ่งพัดมาจากใต้หน้าผาแผ่นป้ายอนุสรณ์ พัดโชยจนผมข้างๆ ใบหน้าของชีเจียนสะบัดปลิวเล็กน้อย พัดขนานผ่านคิ้วที่สดใสงดงาม จากนั้นเขาก็หายไป

หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์สงบเงียบสงัดไปทั่ว เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เพิ่งดังขึ้นในก่อนหน้า ก็หายไปเหมือนกับเงาหลังที่ผอมบางของชีเจียน คนที่สองที่ผ่านแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า ก็ปรากฏขึ้นอย่างตามใจชอบ

ผู้คนยังไม่ทันได้ตื่นจากความสะเทือนใจเช่นนี้ ก็เห็นเพียงกวนเฟยไป๋ลุกขึ้นมา เดินไปในกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์

เทียบกับชีเจียน สี่คำโคลงแห่งแดนเทพที่สันโดษมีชื่อเสียงผู้นี้ ถึงจะตามอำเภอใจที่แท้จริง ไม่ว่าสิ่งที่เขาเผชิญหน้าจะเป็นแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ที่ศักดิ์สิทธิ์

มือขวาของเขาก็ตกลงบนแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า ไม่ได้ดูว่ามือของตัวเองวางอยู่ตำแหน่งไหนโดยสิ้นเชิง ก็เหมือนกับตบเบาๆ ตามอำเภอใจ เตรียมที่จะพูดคุยสัพเพเหระเกี่ยวกับสภาพฟ้าอากาศ

ลมสดชื่นพัดขึ้นมาอีกครั้ง แสงเขียวปรากฏ จากนั้นหายวับไป เงาหลังของเขาก็หายวับไปเช่นกัน

เป็นเหตุให้ผู้คนที่ยังวิเคราะห์อย่างยากลำบากที่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์เหล่านั้นสะเทือนใจไร้ใดเปรียบ กระทั่งที่ทำให้ทำอะไรไม่ถูกอีกคือ เหลียงปั้นหูก็ยืนขึ้นมาเช่นกัน เดินเข้าไปในกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ ลูกหลานชาวบ้านที่ถ่อมตัวมากที่สุดและเงียบขรึมมากที่สุดในเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ ขยับจัดการเสื้อผ้าอย่างละเอียดก่อน ทำความเคารพอย่างนอบน้อม จากนั้นค่อยเอามือไปวางบนแผ่นป้ายหินอนุสรณ์อย่างตั้งใจมาก

ไม่มีการหยุดใดๆ ไม่มีการคั่นใดๆ ลูกศิษย์สามคนของพรรคกระบี่หลีซาน ก็แก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ตามกันไปติดๆ ออกเช่นนี้ ไปยังแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แห่งที่สอง

หลังเงียบขรึมสักพัก หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์มีเสียงถอนหายใจจำนวนหนึ่งดังขึ้นมา ในลมถอนหายใจเต็มไปด้วยความชื่นชมอิจฉา กลับก็มีความผิดหวังบ้าง

พรสวรรค์ของผู้บำเพ็ญ ไม่เหมือนกันจริงๆ

พรรคกระบี่หลีซาน เก่งจริงๆ

เทียบกับเมื่อเช้าที่จงฮุ่ยผ่านแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า การแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์สามคนของพรรคกระบี่หลีซาน ไม่มีอภินิหารที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นแม้แต่น้อย อีกทั้งยังไม่มีผู้อาวุโสในสำนักมาช่วยปกป้องวิทยายุทธ์อยู่ข้างๆ ยิ่งไม่มีการทะลุระดับขั้นไปทะลวงอเวจี เพียงแต่ลุกขึ้นมาอย่างปกติ เดินเข้าไปในกระท่อม จากนั้นก็หายไปจากสายตาของทุกคน นี่ถึงจะเรียกว่าตามใจชอบของแท้

สี่คนของพรรคกระบี่หลีซานที่เข้ามา ตอนนี้เหลือเพียงโก่วหานสือที่ยังอยู่ที่เดิม หลายคนหันไปมองเขาด้วยจิตใต้สำนึก รู้สึกประหลาดเล็กน้อย ระดับขั้นการบำเพ็ญรวมถึงความรู้ของเขา ล้วนเหนือกว่าศิษย์น้องชายทั้งสามคนของเขา เหตุใดความเร็วในการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ของเขากลับช้ากว่าศิษย์น้องชายสามคน มีบางคนเดาอะไรออกบางอย่าง เห็นโก่วหานสือในที่สุดก็จากไปจากต้นซงต้นนั้นเดินมายังหน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ มั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองเดานั้นไม่ผิด

โก่วหานสือเดินมาถึงหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า ไม่ได้ปิดตาคิดวิเคราะห์ และก็ไม่ได้มองเส้นสายบนแผ่นป้ายอนุสรณ์ ยังคงมองภูเขาไกลๆ จากนั้นมือขวาวางลง

ลมสดชื่นพัดขึ้นมา นกน้อยในป่าไม้กระพือปีกบิน ใต้กระท่อมไม่มีเงาหลังของเขาแล้ว

ถึงตรงนี้ ผู้คนถึงเข้าใจว่า โก่วหานสือแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้าออกนานแล้ว เพียงแต่รอศิษย์น้องชายสามคนอยู่

ถ้าดูจากอย่างนี้แล้ว เพียงแค่เขาสะดวกใจ ก็สามารถกลายเป็นผู้แก้แผ่นป้ายอนุสรณ์คนแรกในสุสานเทียนซูของปีนี้อย่างสบายๆ มิใช่หรือ? ผู้คนคิดภาพย้อนหลังกลับไปยังตอนที่จงฮุ่ยแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์สำเร็จ ความตื่นเต้นและสะใจของเหล่าคนสำนักต้นไหว รู้สึกว่าภาพเหล่านั้นทำให้ผู้คนอับอายอย่างห้ามมิได้ สานุศิษย์หนุ่มสำนักต้นไหวสองคนที่ตอนนี้ยังอยู่หน้ากระท่อม สีหน้าอับอายขึ้นมาจริงๆ

โก่วหานสือสามารถแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์แต่ไม่ไป เป็นเพราะว่าจะรอคนสำนักเดียวกัน แล้วเฉินฉางเซิงล่ะ? ผู้คนเชื่อมโยงคิดถึงคำถามนี้อย่างเป็นธรรมชาติ เขาเหมือนโก่วหานสือหรือไม่ ที่แก้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แห่งนี้ออกตั้งนานแล้ว? ถ้าเป็นเช่นนี้ แล้วเขากำลังรอใครอยู่? หรือว่าเหมือนที่จงฮุ่ยพูด เขาไม่มีพรสวรรค์ที่เพียงพอกับการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ที่แท้จริง?

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ค่อยๆ ดังขึ้น จากนั้นค่อยๆ ยุติ

เวลาผ่านไปไม่นาน จวงห้วนอวี่มาถึงหน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ ในฐานะที่เป็นนักเรียนที่เก่งที่สุดในปีนี้ของสำนักเทียนเต้า หลายคนล้วนรู้จักเขา เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลังเข้าสุสานเทียนซู เขาก็หายไป ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปไหน ทำอะไรอยู่ แม้กระทั่งตอนที่จงฮุ่ยทะลุระดับขั้นแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ก็ไม่เห็นเขาปรากฏออกมา ตอนนี้เห็นเขา ผู้คนรู้สึกแปลกประหลาดตกตะลึงเล็กน้อย

บนเสื้อผ้าของจวงห้วนอวี่เต็มไปด้วยเศษหญ้าใบไม้ เหมือนกับอยู่ในป่าไม้มาสองคืน ดูโทรมเล็กน้อย แต่สีหน้าอารมณ์ของเขากลับเงียบสงบมาก ระหว่างคิ้วแสดงออกถึงความมั่นใจ

ถังซานสือลิ่วมองเขาพลางพูดว่า “เจ้าไม่ได้ไปเรือนเล็กชิงหลิน?”

หกสำนักไม้เลื้อยเดิมก็อยู่ที่นครจิงตู ใกล้กับสุสานเทียนซูมาก ง่ายที่จะได้รับการอำนวยความสะดวก สำนักเทียนเต้าในฐานะที่เป็นสำนักที่ไม่กี่ปีนี้มีหน้ามีตามากที่สุดในต้าโจว แน่นอนว่ามีการวางแผนไว้ให้สำหรับนักเรียนที่ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ของสำนักดังกล่าวไว้เรียบร้อย เรือนเล็กชิงหลินเป็นหอพักของสำนักเทียนเต้าที่ใต้สุสานเทียนซู ส่วนที่เหลืออย่างหอจงซื่อหรือสำนักเด็ดดารา ก็ล้วนมีการจัดการด้านสถานที่ที่คล้ายกัน

“ข้าไม่ได้ไปเรือนเล็กชิงหลิน เพราะว่าข้าไม่มีเวลา”

จวงห้วนอวี่ดีดฝุ่นและเศษหญ้าบนเสื้อออก เดินไปยังในกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์โดยตรง

ถังซานสือลิ่วมองเงาหลังของเขาพลางกล่าวว่า “แม้ตอนนี้เจ้าจะแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์สำเร็จ ก็ได้เรียงลำดับเพียงแค่ที่หก เหตุใดต้องทำให้ลำบากปานนี้?”

มือขวาของจวงห้วนอวี่หยุดอยู่ข้างบนแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ พูดว่า “อย่างน้อยก็อยู่หน้าเฉินฉางเซิง มิใช่หรือ?”

พูดประโยคนี้เสร็จ มือขวาของเขาก็วางลงมา

ผ่านไปไม่นาน ซูม่ออวี่ก็ยืนขึ้นมา เดินไปในกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ กลายเป็นคนที่เจ็ดที่แก้แผ่นป้ายอนุสรณ์สำเร็จ

มองคนที่แก้แผ่นป้ายอนุสรณ์สำเร็จคนแล้วคนเล่า ถังซานสือลิ่วที่ทะนงตนขนาดนี้จะไม่ร้อนใจได้อย่างไร โดยเฉพาะลำดับของซูม่ออวี่บนประกาศชิงอวิ๋น ตอนนี้อยู่หลังเขาแล้ว นี่ทำให้เขายิ่งใจร้อน

และแล้วเค่อต่อไป เขาก็ฟื้นสติกลับมา ขมวดคิ้วเล็กน้อย หลับตา ไม่ไปคิดเรื่องเหล่านี้อีก สติสมาธิท่องไปนอกสิ่งของ ไม่ได้อยู่บนแผ่นป้ายอนุสรณ์ ผ่านไปสักพักกลับเหมือนจะหลับไป

ตอนเขาตื่นขึ้นมา แสงพลบค่ำมาถึง แสงสนธยาเต็มท้องฟ้า ป่าไม้ฤดูใบไม้ผลิในสุสานเทียนซูกำลังมอดไหม้

เขายืนขึ้นมา เดินเข้าไปในกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ ตอนเดินผ่านเจ๋อซิ่ว พูดว่า “บอกเฉินฉางเซิง คืนนี้ไม่ต้องรอข้ากินข้าวแล้ว”

เดินไปถึงหน้าแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ เขาหัวเราะอย่างมีความสุข เปิดแขนสองข้างแล้วกางอ้อมกอดอันกว้างใหญ่กับแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ที่เยือกเย็นแห่งนี้

……

……

อ่านแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์เข้าใจ สามารถได้รับความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะบรรยายด้วยคำพูด ความรู้สึกเหล่านั้นสำหรับผู้บำเพ็ญแล้ว ต้องหอมหวนมากกว่าไขกระดูกมังกร ดึงดูดใจมากกว่าดวงดาริกา การเติมเต็มความต้องการที่ยิ่งใหญ่ชนิดหนึ่ง เหมือนที่เรียกว่าเสพติดรสชาติไขกระดูก คนส่วนใหญ่แก้แผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นแรกออก จากนั้นตอนมาถึงแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นที่สอง เสพติดกับในนั้น ไม่รู้เวลาที่หลั่งไหลไป

ถังซานสือลิ่วรู้ชัดเจนว่าตัวเองไม่สามารถต้านทานกับความรู้สึกที่เมามายนี้ได้ คืนนี้ต้องนอนกอดซึ่งกันและกันกับแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นที่สองพร้อมกับแสงดวงดาวแน่นอน ฉะนั้นถึงได้ฝากคำพูดไว้กับเจ๋อซิ่วไปให้เฉินฉางเซิง ไม่ต้องรอเขากินข้าว เหมือนกับเขา จงฮุ่ย จวงห้วนอวี่ และพวกชีเจียน ล้วนลืมคำว่ากลับไปสองคำนี้ว่าเขียนอย่างไรที่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นที่สอง

แต่ในโลกมนุษย์จะมีบุคคลผู้ไม่เหมือนใคร พรสวรรค์ยอดเยี่ยม แต่ความมุ่งมั่นจะทำให้ผู้คนตกตะลึงอยู่เสมอ ไม่ถูกกิเลสใดยั่วยวน

โก่วหานสือกลับมาในกระท่อมตามแสงพลบค่ำ

ดมกลิ่นหอมของไข่ตุ๋นที่ลอยมาจากในห้องครัว

มองเฉินฉางเซิงที่นั่งเหม่อลอยมองพระอาทิตย์ตกอยู่บนธรณีประตู เขาถามว่า “จริงๆ แล้วเจ้ารออะไรอยู่?”