ปรมาจารย์จารึกเซียน 3 ดาว ป๋ายลี่หง!
“โทษทีพี่ชาย…ท่านพอรู้หรือไม่ว่าคฤหาสน์ของผู้อาวุโสฟ่านเฉียนคือหลังไหน?”
ต้วนหลิงเทียนเดินไปหยุดศิษย์ฝ่ายในคนหนึ่ง ค่อยกล่าวถามด้วยรอยยิ้มอย่างสุภาพ
“คฤหาสน์หลังนั้นน่ะ”
ศิษย์ฝ่ายในชี้ไปยังคฤหาสน์หลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล
“ขอบคุณพี่ชาย”
ต้วนหลิงเทียนรีบขอบคุณอีกฝ่าย ก่อนที่จะก้าวอาดๆไปยังคฤหาสน์หลังที่ว่า
“ศิษย์ฝ่ายนอกนี่นา…ไฉนมาหาอาวุโสฟ่านเฉียนได้ล่ะ?”
เห็นป้ายแสดงฐานะศิษย์ฝ่ายนอกที่ห้อยแขวนไว้ที่เอวของต้วนหลิงเทียน ศิษย์ฝ่ายในที่ชี้บอกทางอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
ในสำนักจันทร์จรัสแสงนั้น ช่องว่างระหว่างศิษย์ฝ่ายนอกกับอาวุโสฝ่ายในเป็นเหมือนหุบเหวกว้างที่ยากจะข้าม กล่าวกันตามหลักเหตุผลแล้ว ศิษย์ฝ่ายนอกไม่น่าจะมีปฏิสัมพันธ์อะไรกับอาวุโสฝ่ายในได้
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะเดินเข้าไปในคฤหาสน์ เขาก็ถูกชายชราผู้หนึ่งหยุดเอาไว้ด้านหน้า
“ท่านลุง คฤหาสน์หลังนี้ใช่คฤหาสน์ของอาวุโสฟ่านเฉียนหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนมองถามชายชราร่างผอมที่หยุดเขาไว้อย่างสุภาพ
“พ่อหนุ่มเจ้ามีธุระอันใดหรือ ถึงได้มาหานายน้อยของข้า?”
ชายชรากล่าวถาม
นายน้อย?
ได้ยินคำกล่าวถามของชายชรา ต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้งไปพักหนึ่ง และเขาก็ฉุกคิดได้ว่า ‘นายน้อย’ ที่อีกฝ่ายกล่าวถึงสมควรเป็นอาวุโสฟ่างเฉียน
“ท่านลุง ข้ารบกวนท่านลุงไปแจ้งอาวุโสฟ่านเฉียนให้ข้าได้หรือไม่ ว่าศิษย์ฝ่ายนอกต้วนหลิงเทียนมาคารวะอาวุโสฟ่างเฉียน”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มกล่าว
“ที่แท้เจ้าคือต้วนหลิงเทียนรึ?”
พอได้ยินคำที่ต้วนหลิงเทียนกล่าว ลูกตาของผู้ชราสว่างขึ้นมาทันใด เห็นได้ชัดว่ามันเคยได้ยินเรื่องราวของต้วนหลิงเทียนมาบ้าง
ต่อมามันก็หันมองไปยังป้ายที่ห้อยแขวนบริเวณเอวของต้วนหลิงเทียน และพบว่าเป็นป้ายของศิษย์ฝ่ายนอกจริงๆ
“นายน้อยกล่าวแจ้งข้าไว้แล้ว ว่าหากเจ้ามาก็ให้ข้าพาไปพบนายน้อยได้ทันที”
ชายชรากล่าวขณะผายมือเชื้อเชิญต้วนหลิงเทียนให้เข้ามา
ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่คิดเลยว่าอาวุโสฟ่างเฉียนจะให้ความสำคัญกับเขาแบบนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะแปลกใจอยู่บ้าง
ภายใต้การนำทางของผู้ชรา ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็มาถึงสวนหลังบ้าน และแลเห็นอาวุโสฟ่านเฉียนยืนอยู่หน้าแปลงดอกไม้
ตอนนี้อาวุโสฟ่านเฉียนกำรังรดน้ำต้นไม้อยู่ มองไปยังคล้ายมีแปลงผักอยู่ด้วย อีกฝ่ายจดจ่ออยู่กับการรดน้ำต้นไม้จนไม่ทันสังเกตการมาถึงของพวกเขา
“นายน้อย ต้วนหลิงเทียนมาหาท่านแล้ว”
ชายชรามองฟ่างเฉียนค่อยกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพมากเคารพ
“ต้วนหลิงเทียน?”
อาวุโสฟ่านเฉียนพอได้ยิน ก็วางมือจากสิ่งที่ทำอยู่ทันที ค่อยหันกลับมามองจนพบต้วนหลิงเทียน “เป็นสหายน้อยต้วน เจ้ามาแล้ว…ว่าแต่เจ้ามาหาข้าเช่นนี้ มีอันใดให้ข้าช่วยเหลือเล่า?”
ฟ่างเฉียนกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
“อาวุโสฟ่านเฉียนเฉียบแหลมนัก ข้ามีเรื่องคิดรบกวนให้ท่านช่วยเหลือจริงๆ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ายิ้มกล่าว ดั่งคำว่า ‘ไม่มีเรื่องไม่เข้าวัด’ เขาคงไม่มาหาฟ่านเฉียนหากไม่มีเรื่องราวอะไร
เมื่อฟ่านเฉียนเริ่มคุยกับต้วนหลิงเทียน ชายชราก็ค่อยๆปลีกตัวจากไปเงียบๆ
“ฮ่าๆๆ ข้าเคยบอกเจ้าไว้แล้วมิใช่รึ หากมีปัญหาอันใดให้มาหาข้าได้ทุกเมื่อ ตราบใดที่อยู่ในขอบเขตความสามารถของข้าๆยินดีจัดแจงให้เจ้า…นั่งสิ”
ฟ่านเฉียนผายมือให้ต้วนหลิงเทียนนั่งลงที่โต๊ะไม้หอมแกะสลักข้างแปลงดอกไม้ ค่อยรินชาร้อนๆให้ต้วนหลิงเทียนจอกหนึ่ง ควันชาโชยฟุ้งขโมงโฉงเฉง โชยกลิ่นหอมจรุงไม่ต่างใดจากบุปผาในแปลง
“ขอบคุณอาวุโสฟ่านเฉียน”
ต้วนหลิงเทียนประสานมือขอบคุณ ยกชาขึ้นมาจิบบางๆ หลับตาพริ้มดื่มด่ำรสชาครู่หนึ่งค่อยกล่าวบอกถึงเจตนาการมาครั้งนี้ “อาวุโสฟ่านวันนี้ที่ข้ามาหาท่านเพราะคิดไถ่ถามท่านเสียเป็นส่วนใหญ่…ในสำนักจันทร์จรัสแสงเรา มีปรมาจารย์จารึกเซียนอยู่บ้างหรือไม่?”
“มี”
ฟ่านเฉียนพยักหน้า “ในสำนักจันทร์จรัสแสงของเรา ตราบใดที่เป็นอาวุโสฝ่ายในหรือสูงกว่านั้น เกือบทุกคนมีศาสตราที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวเอาไว้ทั้งสิ้น…และทั้งหมดนั้นล้วนเป็นฝีมือของปรมาจารย์จารึกเซียน 3 ดาว อาวุโสป๋ายลี่!”
“อาวุโสป๋ายลี่?”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนทอแสงสว่างวาบขึ้นมาทันที
“อาวุโสป๋ายลี่นั้น เป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวเพียงคนเดียวในสำนักจันทร์จรัสแสงของเรา นอกจากนี้ท่านยังเป็นผู้อาวุโสที่ทุกผู้คนในสำนักจันทร์จรัสแสงเราให้ความเคารพนับถืออย่างยิ่ง”
“แน่นอนว่าด้วยสถานะไม่ธรรมดาอย่างปรมาจารย์จารึกเซียน 3 ดาวของท่าน กระทั่งยอดฝีมือขอบเขตเซียนของสำนักจันทร์จรัสแสงเรายังให้ความเคารพและปฏิบัติด้วยสุภาพนักเมื่อพบท่าน…กล่าวไปในสำนักจันทร์จรัสแสงเรา กระทั่งเหล่ารองเจ้าสำนักยังมิมีอำนาจเท่าท่าน…”
ฟ่านเฉียนกล่าว
เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร
ถึงแม้ว่าจะอยู่ในขุมพลังชั้น 6 ทว่าปรมาจารย์จารึกเซียนก็นับว่าเป็นบุคคลที่สำคัญไม่น้อย
ไม่ต้องกล่าวถึงความจริงที่ว่าอีกฝ่ายมาอยู่ในสำนักจันทร์จรัสแสงอันเป็นขุมพลังชั้น 7 เลย…
“หากข้าอยากรบกวนให้ท่านผู้อาวุโสป๋ายลี่จารึกอาคมเซียนลงอาวุธเซียนของข้า…มิทราบว่าเรื่องนี้พอจะเป็นไปได้หรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองถามอาวุโสฟ่านเฉียนด้วยความคาดหวัง
นี่คือสาเหตุที่เขามาพบอาวุโสฟ่านเฉียน
ตั้งแต่ที่เขาได้เห็นอานุภาพของอาคมเซียน ‘เจาะทะลวง’ ที่จารึกไว้บนกระบี่ที่เฮ่อจงใช้เมื่อวาน เขาก็อยากได้จารึกอาคมเซียน ‘เจาะทะลวง’ ไว้บนเกาทัณฑ์ดับตะวันของเขาบ้าง
ด้วยวิธีนี้ยามที่เขายิงศรออกไปมันย่อมได้รับพลังอำนาจของอาคมเซียน ‘เจาะทะลวง’ ที่แข็งแกร่งนั่น!
เพียงหนึ่งศรก็สามารถทะลวงได้ทุกสิ่ง!
อย่างไรก็ตามแม้ว่าอาจจะมีปรมาจารย์จารึกเซียนที่สามารถจารึกอาคมลงบนเกาทัณฑ์ดับตะวันได้อยู่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดว่าจะมีปรมาจารย์จารึกเซียนในสำนักจันทร์จรัสแสงที่สามารถจารึกอาคมเซียนลงบนเกาทัณฑ์ดับตะวันของเขาได้
สิ่งที่ต้วนหลิงเทียนคิดไว้นั้น เพียงอยากให้มีผู้ที่สามารถจารึกอาคมเซียนเจาะทะลวงลงบนสายเกาทัณฑ์ดับตะวันของเขาได้ก็พอ
สายเกาทัณฑ์ที่เขาติดตั้งไว้บนเกาทัณฑ์ดับตะวัน ถึงแม้มันจะเป็นเส้นเอ็นของมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บอันแข็งแกร่ง แต่อย่างไรเสีย มันก็ย่อมง่ายดายกว่าการจารึกอาคมเซียนลงบนตัวเกาทัณฑ์ดับตะวันแน่ๆ
“จารึกอาคมเซียนงั้นหรือ? เจ้าอยากให้อาวุโสป๋ายลี่จารึกอาคมเซียนอันใดให้เล่า?”
ฟ่านเฉียนกล่าวถามด้วยความอยากรู้
“อาคมเซียนเจาะทะลวง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบออกไปตามตรง
“อาคมเซียนเจาะทะลวงงั้นหรือ? เป็นอาคมเซียนเจาะทะลวงระดับ 3 ดาวแบบเดียวกับกระบี่ของหลิวฮ่วนน่ะรึ?”
ฟ่านเฉียนเองก็รู้ด้วยเช่นกันว่ากระบี่ของหลิวฮ่วนจารึกอาคมเซียนเจาะทะลวงระดับ 3 ดาวเอาไว้
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “ตอนนี้วรยุทธ์เซียนที่ข้าฝึกปรือจนใช้ออกได้ชำนาญที่สุดเป็นวรยุทธ์เกาทัณฑ์…หากข้าสามารถจารึกอาคมเซียนเจาะทะลวงลงบนเกาทัณฑ์ข้าได้…พลังทำลายของลูกเกาทัณฑ์ข้า ย่อมเพิ่มพูนขึ้นหลายส่วน…”
“อืม…จารึกอาคมเซียนเจาะทะลวงลงบนเกาทัณฑ์ ดอกศรย่อมมีพลังทะลุทะลวงเพิ่มขึ้นจนน่ากลัวจริงๆ…”
ฟ่านเฉียนกล่าวสืบต่อ “อย่างไรก็ตามมิใช่เรื่องราวอันง่ายดายที่จะให้อาวุโสป๋ายลี่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาว…อาวุโสป๋ายลี่นั้น มักจารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวตามอารมณ์ของท่าน เช่นนั้นแล้วมิใช่อาวุโสฝ่ายในทุกคนจักมีศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวของท่านไว้ใช้งาน”
ในเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนเองก็เตรียมใจมานานแล้ว
ผู้มากฝีมือย่อมมีอิสระที่จะเลือกกระทำตามใจ
“ในเมื่อไหนๆเจ้าก็เข้ามาถึงฝ่ายในแล้วแบบนี้ เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าไปพบอาวุโสป๋ายลี่สักครา…และข้าจักพยายามโน้วน้าวอาวุโสให้มากที่สุด แต่ข้าเองก็มิกล้ารับประกันกับเจ้าหรอกนะ ว่าท่านจะเห็นด้วย”
ฟ่านเฉียนกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนล่วงหน้า
“ข้าเข้าใจ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“เช่นนั้นเราไปบ้านอาวุโสป๋ายลี่กันเลยเถอะ”
ฟ่านเฉียนยืนขึ้นค่อยกล่าว
เมื่อเห็นว่าฟ่านเฉียนกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือเขามาก ต้วนหลิงเทียนก็ยินดีเพราะเขาเองก็ต้องการเช่นกัน
หลังออกจากคฤหาสน์ของฟ่านเฉียนแล้ว อีกฝ่ายก็เดินพาต้วนหลิงเทียนไป ขณะที่เดินฟ่านเฉียนก็กล่าวบอกเรื่องราวบางอย่างของอาวุโสป๋ายลี่ให้ต้วนหลิงเทียนฟัง จึงได้รับทราบว่าอาวุโสป๋ายลี่นั้นชื่อเต็มจริงๆ เรียกว่าป๋ายลี่หง อีกฝ่ายมาอยู่ในสำนักจันทร์จรัสแสงได้ 30 ปีแล้ว
ในตอนที่อีกฝ่ายเข้าร่วมกับสำนักจันทร์จรัสแสง พลังฝึกปรือก็อยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ ซึ่งหากจากขอบเขตเซียนไม่กี่ก้าว
ทว่าหลายปีต่อมา สุดท้ายป๋ายลี่หงก็ยังคงค้างอยู่ที่ขอบเขตสู่เซียนไม่อาจตัดผ่านเข้าขอบเขตเซียนได้เสียที
“ยากนักที่จะทะลวงไปยังขอบเขตเซียน…ข้าเองก็ทะลวงผ่านมายังขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ได้ตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว ทว่าตอนนี้ข้ายังมิอาจก้าวผ่านไปยังขอบเขตเซียนได้”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องของป๋ายลี่หง ฟ่านเฉียนก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน
เช่นเดียวกันกับป๋ายลี่หง ด่านพลังฝึกปรือของมันก็ค้างเติ่งอยู่ที่ขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่มา 20 ปี ไม่อาจทะลวงผ่านไปยังขอบเขตเซียนได้
ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ขั้นเดียวที่แบ่งระหว่างขอบเขตสู่เซียนกับเซียน ทว่าความแตกต่างของพลังนั้นช่างใหญ่หลวงนัก
หนึ่งตัวตนในขอบเขตเซียนที่อ่อนแอที่สุด สามารถสังหารตัวตนขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ทั่วไปหลายคนที่ผนึกกำลังกันง่ายดาย
ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ายังมีวาจากล่าวไว้ว่า…
หากไม่บรรลุถึงขอบเขตเซียนผู้คนก็เสมือนไก่สุนัข จนเมื่อทะลวงถึงขอบเขตเซียนได้ สุนัขไก่นั่นก็เสมือนได้ทะยานสู่สวรรค์แล้ว!
เรื่องนี้บ่งบอกถึงความห่างระหว่างขอบเขตสู่เซียนกับขอบเขตเซียนได้ชัดเจนนัก
แน่นอนว่ายังมีความแตกต่างทางพลังฝีมือไม่น้อย ถึงแม้จะอยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่เหมือนกัน
จากคำที่ฟ่านเฉียนบอก มันเองก็ไม่ใช่คู่มือของป๋ายลี่หง
ศาสตราเซียนที่ป๋ายลี่หงมีนั้นมันเป็นศาสตราเซียนระดับปฐพีดั้งเดิม ที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวเอาไว้ถึง 3 อาคม…นับว่ามันเป็นศาสตราเซียนที่ร้ายกาจและทรงอานุภาพที่สุดในสำนักจันทร์จรัสแสงแล้ว
ด้วยมีศาสตราเซียนเล่มนั้นเล่มเดียว พลังฝีมือของป๋ายลี่หงถึงกับเทียบได้กับชนชั้นรองเจ้าสำนักที่มีไม่กี่คนในสำนักจันทร์จรัสแสง
ต้องทราบด้วยว่าชนชั้นรองเจ้าสำนักในสำนักจันทร์จรัสแสงนั้น โดยมากแล้วล้วนอยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวบรรลุเซียนทั้งสิ้น อีกทั้งทุกคนยังมีศักยภาพมากพอที่จะทะลวงไปถึงขอบเขตเซียน พวกมันขาดเพียงวาสนาและโอกาสบางประการเท่านั้นก็จะสามารถทะลวงได้
ครึ่งก้าวเซียนก็คือขอบเขตที่อยู่ระหว่างสูงสุดสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ กับขอบเขตเซียน
แข็งแกร่งยิ่งกว่าตัวตนที่บรรลุสูงสุดสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ ทว่าอ่อนด้อยกว่าตัวตนในขอบเขตเซียน
“จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวไว้ถึง 3 อาคม?!”
หลังจากได้ยินเรื่องศาสตราเซียนที่อาวุโสป๋ายลี่หงใช้ ต้วนหลิงเทียนถึงกับอดอุทานในใจไม่ได้ ‘รวยจริงอะไรจริง!’
“ต้วนหลิงเทียน ถึงแม้อาวุโสป๋ายลี่ยินดีจารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวให้เจ้า…แต่ค่าใช้จ่ายมันก็ยังมากกว่า 1,000,000 คะแนนอุทิศเสียอีก…”
ก่อนที่จะถึงคฤหาสน์ของอาวุโสป๋ายลี่หง ฟ่านเฉียนพลันกล่าวเตือนอีกเรื่อง
“ข้าทราบแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ เขาเองก็เตรียมใจเอาไว้แล้ว
“อาวุโสฟ่านเฉียน คะแนนอุทิศข้าเหลืออยู่ราวๆ 1,100,000 แต้ม…หากว่ามันไม่พอข้าขอยืมท่านก่อนได้หรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนมองถามฟ่านเฉียน “ข้าสัญญาว่าจะคืนท่านให้เร็วที่สุด”
“เรื่องเล็กน้อย”
ฟ่านเฉียนกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่แจ้งผู้ดูแลหน้าคฤหาสน์ป๋ายลี่หงแล้ว ผู้ดูแลคนนั้นก็พาฟ่านเฉียนกับต้วนหลิงเทียนเดินเข้ามายังคฤหาสน์ของป๋ายลี่หง ไม่นานก็เดินนำมาถึงห้องโถงอันกว้างใหญ่
ในห้องโถงมีชายวัยกลางคนที่คล้ายคิดไม่ตกเดินวนไปมาทั้งขมวดคิ้วอยู่ ท่าทางกำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างอย่างเคร่งเครียด
“ท่านอาวุโสป๋าย อาวุโสฟ่านเฉียนมาเยือนขอรับ”
ผู้ที่นำต้วนหลิงเทียนกับฟ่านเฉียนมากล่าวแจ้ง
‘คนนี้เหรอ ป๋ายลี่หง’
ทันใดนั้นลูกตาต้วนหลิงเทียนก็ทอประกายเรืองวูบมองสำรวจป๋ายลี่หงด้วยความสนใจ
“อืม เจ้าไปเถอะ”
คิ้วชายวัยกลางคนที่ขมวดอยู่คลายออก ค่อยหันไปโบกมือให้ผู้ดูแลออกไป
หลังจากนั้นมันก็หันมามองฟ่านเฉียน “อาวุโสฟ่านเฉียน ลมอะไรหอบท่านมาหาข้าได้เล่า?”
“อาวุโสป๋ายลี่ ท่านสบาย”
ต่อหน้าอาวุโสป๋ายลี่หง ฟ่านเฉียนเองก็ไม่กล้าละเลยมารยาท มันประสานมือโค้งคารวะเล็กน้อย ก่อนที่จะผายมือไปยังต้วนหลิงเทียน พร้อมกล่าวแนะนำ “นี่คือศิษย์ฝ่ายนอกต้วนหลิงเทียน ที่ข้ามาเยือนท่านโดยมิบอกกล่าวล่วงหน้าเพราะคิดพาเขามาพบท่าน”