ตอนที่ 1473

War sovereign Soaring The Heavens

ปรมาจารย์จารึกเซียน 3 ดาว ป๋ายลี่หง!

 

“โทษทีพี่ชาย…ท่านพอรู้หรือไม่ว่าคฤหาสน์ของผู้อาวุโสฟ่านเฉียนคือหลังไหน?”

 

ต้วนหลิงเทียนเดินไปหยุดศิษย์ฝ่ายในคนหนึ่ง ค่อยกล่าวถามด้วยรอยยิ้มอย่างสุภาพ

 

“คฤหาสน์หลังนั้นน่ะ”

 

ศิษย์ฝ่ายในชี้ไปยังคฤหาสน์หลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล

 

“ขอบคุณพี่ชาย”

 

ต้วนหลิงเทียนรีบขอบคุณอีกฝ่าย ก่อนที่จะก้าวอาดๆไปยังคฤหาสน์หลังที่ว่า

 

“ศิษย์ฝ่ายนอกนี่นา…ไฉนมาหาอาวุโสฟ่านเฉียนได้ล่ะ?”

 

เห็นป้ายแสดงฐานะศิษย์ฝ่ายนอกที่ห้อยแขวนไว้ที่เอวของต้วนหลิงเทียน ศิษย์ฝ่ายในที่ชี้บอกทางอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ

 

ในสำนักจันทร์จรัสแสงนั้น ช่องว่างระหว่างศิษย์ฝ่ายนอกกับอาวุโสฝ่ายในเป็นเหมือนหุบเหวกว้างที่ยากจะข้าม กล่าวกันตามหลักเหตุผลแล้ว ศิษย์ฝ่ายนอกไม่น่าจะมีปฏิสัมพันธ์อะไรกับอาวุโสฝ่ายในได้

 

ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะเดินเข้าไปในคฤหาสน์ เขาก็ถูกชายชราผู้หนึ่งหยุดเอาไว้ด้านหน้า

 

“ท่านลุง คฤหาสน์หลังนี้ใช่คฤหาสน์ของอาวุโสฟ่านเฉียนหรือไม่?”

 

ต้วนหลิงเทียนมองถามชายชราร่างผอมที่หยุดเขาไว้อย่างสุภาพ

 

“พ่อหนุ่มเจ้ามีธุระอันใดหรือ ถึงได้มาหานายน้อยของข้า?”

 

ชายชรากล่าวถาม

 

นายน้อย?

 

ได้ยินคำกล่าวถามของชายชรา ต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้งไปพักหนึ่ง และเขาก็ฉุกคิดได้ว่า ‘นายน้อย’ ที่อีกฝ่ายกล่าวถึงสมควรเป็นอาวุโสฟ่างเฉียน

 

“ท่านลุง ข้ารบกวนท่านลุงไปแจ้งอาวุโสฟ่านเฉียนให้ข้าได้หรือไม่ ว่าศิษย์ฝ่ายนอกต้วนหลิงเทียนมาคารวะอาวุโสฟ่างเฉียน”

 

ต้วนหลิงเทียนยิ้มกล่าว

 

“ที่แท้เจ้าคือต้วนหลิงเทียนรึ?”

 

พอได้ยินคำที่ต้วนหลิงเทียนกล่าว ลูกตาของผู้ชราสว่างขึ้นมาทันใด เห็นได้ชัดว่ามันเคยได้ยินเรื่องราวของต้วนหลิงเทียนมาบ้าง

 

ต่อมามันก็หันมองไปยังป้ายที่ห้อยแขวนบริเวณเอวของต้วนหลิงเทียน และพบว่าเป็นป้ายของศิษย์ฝ่ายนอกจริงๆ

 

“นายน้อยกล่าวแจ้งข้าไว้แล้ว ว่าหากเจ้ามาก็ให้ข้าพาไปพบนายน้อยได้ทันที”

 

ชายชรากล่าวขณะผายมือเชื้อเชิญต้วนหลิงเทียนให้เข้ามา

 

ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่คิดเลยว่าอาวุโสฟ่างเฉียนจะให้ความสำคัญกับเขาแบบนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะแปลกใจอยู่บ้าง

 

ภายใต้การนำทางของผู้ชรา ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็มาถึงสวนหลังบ้าน และแลเห็นอาวุโสฟ่านเฉียนยืนอยู่หน้าแปลงดอกไม้

 

ตอนนี้อาวุโสฟ่านเฉียนกำรังรดน้ำต้นไม้อยู่ มองไปยังคล้ายมีแปลงผักอยู่ด้วย อีกฝ่ายจดจ่ออยู่กับการรดน้ำต้นไม้จนไม่ทันสังเกตการมาถึงของพวกเขา

 

“นายน้อย ต้วนหลิงเทียนมาหาท่านแล้ว”

 

ชายชรามองฟ่างเฉียนค่อยกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพมากเคารพ

 

“ต้วนหลิงเทียน?”

 

อาวุโสฟ่านเฉียนพอได้ยิน ก็วางมือจากสิ่งที่ทำอยู่ทันที ค่อยหันกลับมามองจนพบต้วนหลิงเทียน “เป็นสหายน้อยต้วน เจ้ามาแล้ว…ว่าแต่เจ้ามาหาข้าเช่นนี้ มีอันใดให้ข้าช่วยเหลือเล่า?”

 

ฟ่างเฉียนกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

 

“อาวุโสฟ่านเฉียนเฉียบแหลมนัก ข้ามีเรื่องคิดรบกวนให้ท่านช่วยเหลือจริงๆ”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ายิ้มกล่าว ดั่งคำว่า ‘ไม่มีเรื่องไม่เข้าวัด’ เขาคงไม่มาหาฟ่านเฉียนหากไม่มีเรื่องราวอะไร

 

เมื่อฟ่านเฉียนเริ่มคุยกับต้วนหลิงเทียน ชายชราก็ค่อยๆปลีกตัวจากไปเงียบๆ

 

“ฮ่าๆๆ ข้าเคยบอกเจ้าไว้แล้วมิใช่รึ หากมีปัญหาอันใดให้มาหาข้าได้ทุกเมื่อ ตราบใดที่อยู่ในขอบเขตความสามารถของข้าๆยินดีจัดแจงให้เจ้า…นั่งสิ”

 

ฟ่านเฉียนผายมือให้ต้วนหลิงเทียนนั่งลงที่โต๊ะไม้หอมแกะสลักข้างแปลงดอกไม้ ค่อยรินชาร้อนๆให้ต้วนหลิงเทียนจอกหนึ่ง ควันชาโชยฟุ้งขโมงโฉงเฉง โชยกลิ่นหอมจรุงไม่ต่างใดจากบุปผาในแปลง

 

“ขอบคุณอาวุโสฟ่านเฉียน”

 

ต้วนหลิงเทียนประสานมือขอบคุณ ยกชาขึ้นมาจิบบางๆ หลับตาพริ้มดื่มด่ำรสชาครู่หนึ่งค่อยกล่าวบอกถึงเจตนาการมาครั้งนี้ “อาวุโสฟ่านวันนี้ที่ข้ามาหาท่านเพราะคิดไถ่ถามท่านเสียเป็นส่วนใหญ่…ในสำนักจันทร์จรัสแสงเรา มีปรมาจารย์จารึกเซียนอยู่บ้างหรือไม่?”

 

“มี”

 

ฟ่านเฉียนพยักหน้า “ในสำนักจันทร์จรัสแสงของเรา ตราบใดที่เป็นอาวุโสฝ่ายในหรือสูงกว่านั้น เกือบทุกคนมีศาสตราที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวเอาไว้ทั้งสิ้น…และทั้งหมดนั้นล้วนเป็นฝีมือของปรมาจารย์จารึกเซียน 3 ดาว อาวุโสป๋ายลี่!”

 

“อาวุโสป๋ายลี่?”

 

ลูกตาต้วนหลิงเทียนทอแสงสว่างวาบขึ้นมาทันที

 

“อาวุโสป๋ายลี่นั้น เป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 3 ดาวเพียงคนเดียวในสำนักจันทร์จรัสแสงของเรา นอกจากนี้ท่านยังเป็นผู้อาวุโสที่ทุกผู้คนในสำนักจันทร์จรัสแสงเราให้ความเคารพนับถืออย่างยิ่ง”

 

“แน่นอนว่าด้วยสถานะไม่ธรรมดาอย่างปรมาจารย์จารึกเซียน 3 ดาวของท่าน กระทั่งยอดฝีมือขอบเขตเซียนของสำนักจันทร์จรัสแสงเรายังให้ความเคารพและปฏิบัติด้วยสุภาพนักเมื่อพบท่าน…กล่าวไปในสำนักจันทร์จรัสแสงเรา กระทั่งเหล่ารองเจ้าสำนักยังมิมีอำนาจเท่าท่าน…”

 

ฟ่านเฉียนกล่าว

 

เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร

 

ถึงแม้ว่าจะอยู่ในขุมพลังชั้น 6 ทว่าปรมาจารย์จารึกเซียนก็นับว่าเป็นบุคคลที่สำคัญไม่น้อย

 

ไม่ต้องกล่าวถึงความจริงที่ว่าอีกฝ่ายมาอยู่ในสำนักจันทร์จรัสแสงอันเป็นขุมพลังชั้น 7 เลย…

 

“หากข้าอยากรบกวนให้ท่านผู้อาวุโสป๋ายลี่จารึกอาคมเซียนลงอาวุธเซียนของข้า…มิทราบว่าเรื่องนี้พอจะเป็นไปได้หรือไม่?”

 

ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองถามอาวุโสฟ่านเฉียนด้วยความคาดหวัง

 

นี่คือสาเหตุที่เขามาพบอาวุโสฟ่านเฉียน

 

ตั้งแต่ที่เขาได้เห็นอานุภาพของอาคมเซียน ‘เจาะทะลวง’ ที่จารึกไว้บนกระบี่ที่เฮ่อจงใช้เมื่อวาน เขาก็อยากได้จารึกอาคมเซียน ‘เจาะทะลวง’ ไว้บนเกาทัณฑ์ดับตะวันของเขาบ้าง

 

ด้วยวิธีนี้ยามที่เขายิงศรออกไปมันย่อมได้รับพลังอำนาจของอาคมเซียน ‘เจาะทะลวง’ ที่แข็งแกร่งนั่น!

 

เพียงหนึ่งศรก็สามารถทะลวงได้ทุกสิ่ง!

 

อย่างไรก็ตามแม้ว่าอาจจะมีปรมาจารย์จารึกเซียนที่สามารถจารึกอาคมลงบนเกาทัณฑ์ดับตะวันได้อยู่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดว่าจะมีปรมาจารย์จารึกเซียนในสำนักจันทร์จรัสแสงที่สามารถจารึกอาคมเซียนลงบนเกาทัณฑ์ดับตะวันของเขาได้

 

สิ่งที่ต้วนหลิงเทียนคิดไว้นั้น เพียงอยากให้มีผู้ที่สามารถจารึกอาคมเซียนเจาะทะลวงลงบนสายเกาทัณฑ์ดับตะวันของเขาได้ก็พอ

 

สายเกาทัณฑ์ที่เขาติดตั้งไว้บนเกาทัณฑ์ดับตะวัน ถึงแม้มันจะเป็นเส้นเอ็นของมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บอันแข็งแกร่ง แต่อย่างไรเสีย มันก็ย่อมง่ายดายกว่าการจารึกอาคมเซียนลงบนตัวเกาทัณฑ์ดับตะวันแน่ๆ

 

“จารึกอาคมเซียนงั้นหรือ? เจ้าอยากให้อาวุโสป๋ายลี่จารึกอาคมเซียนอันใดให้เล่า?”

 

ฟ่านเฉียนกล่าวถามด้วยความอยากรู้

 

“อาคมเซียนเจาะทะลวง”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบออกไปตามตรง

 

“อาคมเซียนเจาะทะลวงงั้นหรือ? เป็นอาคมเซียนเจาะทะลวงระดับ 3 ดาวแบบเดียวกับกระบี่ของหลิวฮ่วนน่ะรึ?”

 

ฟ่านเฉียนเองก็รู้ด้วยเช่นกันว่ากระบี่ของหลิวฮ่วนจารึกอาคมเซียนเจาะทะลวงระดับ 3 ดาวเอาไว้

 

“ใช่”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “ตอนนี้วรยุทธ์เซียนที่ข้าฝึกปรือจนใช้ออกได้ชำนาญที่สุดเป็นวรยุทธ์เกาทัณฑ์…หากข้าสามารถจารึกอาคมเซียนเจาะทะลวงลงบนเกาทัณฑ์ข้าได้…พลังทำลายของลูกเกาทัณฑ์ข้า ย่อมเพิ่มพูนขึ้นหลายส่วน…”

 

“อืม…จารึกอาคมเซียนเจาะทะลวงลงบนเกาทัณฑ์ ดอกศรย่อมมีพลังทะลุทะลวงเพิ่มขึ้นจนน่ากลัวจริงๆ…”

 

ฟ่านเฉียนกล่าวสืบต่อ “อย่างไรก็ตามมิใช่เรื่องราวอันง่ายดายที่จะให้อาวุโสป๋ายลี่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาว…อาวุโสป๋ายลี่นั้น มักจารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวตามอารมณ์ของท่าน เช่นนั้นแล้วมิใช่อาวุโสฝ่ายในทุกคนจักมีศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวของท่านไว้ใช้งาน”

 

ในเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนเองก็เตรียมใจมานานแล้ว

 

ผู้มากฝีมือย่อมมีอิสระที่จะเลือกกระทำตามใจ

 

“ในเมื่อไหนๆเจ้าก็เข้ามาถึงฝ่ายในแล้วแบบนี้ เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าไปพบอาวุโสป๋ายลี่สักครา…และข้าจักพยายามโน้วน้าวอาวุโสให้มากที่สุด แต่ข้าเองก็มิกล้ารับประกันกับเจ้าหรอกนะ ว่าท่านจะเห็นด้วย”

 

ฟ่านเฉียนกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนล่วงหน้า

 

“ข้าเข้าใจ”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า

 

“เช่นนั้นเราไปบ้านอาวุโสป๋ายลี่กันเลยเถอะ”

 

ฟ่านเฉียนยืนขึ้นค่อยกล่าว

 

เมื่อเห็นว่าฟ่านเฉียนกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือเขามาก ต้วนหลิงเทียนก็ยินดีเพราะเขาเองก็ต้องการเช่นกัน

 

หลังออกจากคฤหาสน์ของฟ่านเฉียนแล้ว อีกฝ่ายก็เดินพาต้วนหลิงเทียนไป ขณะที่เดินฟ่านเฉียนก็กล่าวบอกเรื่องราวบางอย่างของอาวุโสป๋ายลี่ให้ต้วนหลิงเทียนฟัง จึงได้รับทราบว่าอาวุโสป๋ายลี่นั้นชื่อเต็มจริงๆ เรียกว่าป๋ายลี่หง อีกฝ่ายมาอยู่ในสำนักจันทร์จรัสแสงได้ 30 ปีแล้ว

 

ในตอนที่อีกฝ่ายเข้าร่วมกับสำนักจันทร์จรัสแสง พลังฝึกปรือก็อยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ ซึ่งหากจากขอบเขตเซียนไม่กี่ก้าว

 

ทว่าหลายปีต่อมา สุดท้ายป๋ายลี่หงก็ยังคงค้างอยู่ที่ขอบเขตสู่เซียนไม่อาจตัดผ่านเข้าขอบเขตเซียนได้เสียที

 

“ยากนักที่จะทะลวงไปยังขอบเขตเซียน…ข้าเองก็ทะลวงผ่านมายังขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ได้ตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว ทว่าตอนนี้ข้ายังมิอาจก้าวผ่านไปยังขอบเขตเซียนได้”

 

เมื่อกล่าวถึงเรื่องของป๋ายลี่หง ฟ่านเฉียนก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน

 

เช่นเดียวกันกับป๋ายลี่หง ด่านพลังฝึกปรือของมันก็ค้างเติ่งอยู่ที่ขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่มา 20 ปี ไม่อาจทะลวงผ่านไปยังขอบเขตเซียนได้

 

ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ขั้นเดียวที่แบ่งระหว่างขอบเขตสู่เซียนกับเซียน ทว่าความแตกต่างของพลังนั้นช่างใหญ่หลวงนัก

 

หนึ่งตัวตนในขอบเขตเซียนที่อ่อนแอที่สุด สามารถสังหารตัวตนขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ทั่วไปหลายคนที่ผนึกกำลังกันง่ายดาย

 

ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ายังมีวาจากล่าวไว้ว่า…

 

หากไม่บรรลุถึงขอบเขตเซียนผู้คนก็เสมือนไก่สุนัข จนเมื่อทะลวงถึงขอบเขตเซียนได้ สุนัขไก่นั่นก็เสมือนได้ทะยานสู่สวรรค์แล้ว!

 

เรื่องนี้บ่งบอกถึงความห่างระหว่างขอบเขตสู่เซียนกับขอบเขตเซียนได้ชัดเจนนัก

 

แน่นอนว่ายังมีความแตกต่างทางพลังฝีมือไม่น้อย ถึงแม้จะอยู่ในขอบเขตสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่เหมือนกัน

 

จากคำที่ฟ่านเฉียนบอก มันเองก็ไม่ใช่คู่มือของป๋ายลี่หง

 

ศาสตราเซียนที่ป๋ายลี่หงมีนั้นมันเป็นศาสตราเซียนระดับปฐพีดั้งเดิม ที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวเอาไว้ถึง 3 อาคม…นับว่ามันเป็นศาสตราเซียนที่ร้ายกาจและทรงอานุภาพที่สุดในสำนักจันทร์จรัสแสงแล้ว

 

ด้วยมีศาสตราเซียนเล่มนั้นเล่มเดียว พลังฝีมือของป๋ายลี่หงถึงกับเทียบได้กับชนชั้นรองเจ้าสำนักที่มีไม่กี่คนในสำนักจันทร์จรัสแสง

 

ต้องทราบด้วยว่าชนชั้นรองเจ้าสำนักในสำนักจันทร์จรัสแสงนั้น โดยมากแล้วล้วนอยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวบรรลุเซียนทั้งสิ้น อีกทั้งทุกคนยังมีศักยภาพมากพอที่จะทะลวงไปถึงขอบเขตเซียน พวกมันขาดเพียงวาสนาและโอกาสบางประการเท่านั้นก็จะสามารถทะลวงได้

 

ครึ่งก้าวเซียนก็คือขอบเขตที่อยู่ระหว่างสูงสุดสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ กับขอบเขตเซียน

 

แข็งแกร่งยิ่งกว่าตัวตนที่บรรลุสูงสุดสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ ทว่าอ่อนด้อยกว่าตัวตนในขอบเขตเซียน

 

“จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวไว้ถึง 3 อาคม?!”

 

หลังจากได้ยินเรื่องศาสตราเซียนที่อาวุโสป๋ายลี่หงใช้ ต้วนหลิงเทียนถึงกับอดอุทานในใจไม่ได้ ‘รวยจริงอะไรจริง!’

 

“ต้วนหลิงเทียน ถึงแม้อาวุโสป๋ายลี่ยินดีจารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวให้เจ้า…แต่ค่าใช้จ่ายมันก็ยังมากกว่า 1,000,000 คะแนนอุทิศเสียอีก…”

 

ก่อนที่จะถึงคฤหาสน์ของอาวุโสป๋ายลี่หง ฟ่านเฉียนพลันกล่าวเตือนอีกเรื่อง

 

“ข้าทราบแล้ว”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ เขาเองก็เตรียมใจเอาไว้แล้ว

 

“อาวุโสฟ่านเฉียน คะแนนอุทิศข้าเหลืออยู่ราวๆ 1,100,000 แต้ม…หากว่ามันไม่พอข้าขอยืมท่านก่อนได้หรือไม่?”

 

ต้วนหลิงเทียนมองถามฟ่านเฉียน “ข้าสัญญาว่าจะคืนท่านให้เร็วที่สุด”

 

“เรื่องเล็กน้อย”

 

ฟ่านเฉียนกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม

 

หลังจากที่แจ้งผู้ดูแลหน้าคฤหาสน์ป๋ายลี่หงแล้ว ผู้ดูแลคนนั้นก็พาฟ่านเฉียนกับต้วนหลิงเทียนเดินเข้ามายังคฤหาสน์ของป๋ายลี่หง ไม่นานก็เดินนำมาถึงห้องโถงอันกว้างใหญ่

 

ในห้องโถงมีชายวัยกลางคนที่คล้ายคิดไม่ตกเดินวนไปมาทั้งขมวดคิ้วอยู่ ท่าทางกำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างอย่างเคร่งเครียด

 

“ท่านอาวุโสป๋าย อาวุโสฟ่านเฉียนมาเยือนขอรับ”

 

ผู้ที่นำต้วนหลิงเทียนกับฟ่านเฉียนมากล่าวแจ้ง

 

‘คนนี้เหรอ ป๋ายลี่หง’

 

ทันใดนั้นลูกตาต้วนหลิงเทียนก็ทอประกายเรืองวูบมองสำรวจป๋ายลี่หงด้วยความสนใจ

 

“อืม เจ้าไปเถอะ”

 

คิ้วชายวัยกลางคนที่ขมวดอยู่คลายออก ค่อยหันไปโบกมือให้ผู้ดูแลออกไป

 

หลังจากนั้นมันก็หันมามองฟ่านเฉียน “อาวุโสฟ่านเฉียน ลมอะไรหอบท่านมาหาข้าได้เล่า?”

 

“อาวุโสป๋ายลี่ ท่านสบาย”

 

ต่อหน้าอาวุโสป๋ายลี่หง ฟ่านเฉียนเองก็ไม่กล้าละเลยมารยาท มันประสานมือโค้งคารวะเล็กน้อย ก่อนที่จะผายมือไปยังต้วนหลิงเทียน พร้อมกล่าวแนะนำ “นี่คือศิษย์ฝ่ายนอกต้วนหลิงเทียน ที่ข้ามาเยือนท่านโดยมิบอกกล่าวล่วงหน้าเพราะคิดพาเขามาพบท่าน”