ภาค 3 บทที่ 183 หลบลี้จากโลกดั่งสรวงสวรรค์

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ตอนที่พูดว่าเฉิงกั๋วกงมาแล้ว เสียงเล่าก็พลันหยุดลง 

 

 

“หลังจากนั้นเล่า?” 

 

 

มีเด็กสาวตะโกนเสียงเร่งเร้าขึ้นมา 

 

 

เที่ยงวันยามต้นฤดูหนาว ใต้ต้นไม้หน้าหมู่บ้านที่เขาจางชิงซาน บนหินเขียวก้อนใหญ่ฟางข้าวใบไม้แห้งกองอยู่ นี่เป็นกิจวัตรประจำปี ให้ผู้สูงอายุนั่งอยู่ข้างบนอาบแดด 

 

 

ที่นี่คือสถานรวมตัวซึ่งคนในหมู่บ้านชอบที่สุดในฤดูหนาว เวลานี้ใต้ต้นไม้ใหญ่คนมากมายยืนอยู่นั่งยองอยู่ ทว่าคนที่นั่งอยู่บนหินเขียวก้อนใหญ่ไม่ใช่ผู้เฒ่าในหมู่บ้าน แต่เป็นผู้ดูแลใหญ่ของเต๋อเซิ่งชางเมืองชิ่งหยวน 

 

 

สิ่งที่เขาเล่าให้ทุกคนฟังก็คือศึกปิดล้อมสยงโจวซึ่งเกิดขึ้นหลายวันก่อนหน้า เฮือกเดียวเล่าถึงตรงนี้ เขาก็หยิบกาน้ำชาใบน้อยจิบคำหนึ่งให้ชุ่มคอ 

 

 

หลิ่วเอ๋อร์อดรนทนไม่ไหวเร่ง 

 

 

“หลังจากนั้นย่อมเป็นเฉิงกั๋วกงโจมตีโจรจินห้าพันล่าถอย ทลายวงล้อมของสยงโจว ปกป้องชาวเมืองไว้ได้” คุณหนูจวินที่นั่งอยู่บนตอไม้ด้านข้างยิ้มเอ่ยขึ้น 

 

 

ผู้ดูแลใหญ่ยิ้มพลางพยักหน้า 

 

 

“ใช่แล้ว เฉิงกั๋วกงย่อมไม่มีผู้ใดสู้ได้” เขาท่าทางภาคภูมิใจอยู่บ้างเอ่ยขึ้น “พวกเราชาวแดนเหนือล้วนรู้” 

 

 

เขาเอ่ยคำนี้ก็มองไปรอบด้าน รอรับเสียงประสานของสหายร่วมภูมิลำเนา 

 

 

เหลยจงเหลียนพวกผู้คุ้มกันเหล่านี้ล้วนเป็นคนต่างถิ่น ความรู้สึกที่มีต่อเฉิงกั๋วกงอาจไม่ลึกซึ้งนัก มีแต่ชาวบ้านที่อาศัยอยู่แดนเหนือถึงรู้ชัดที่สุด ซาบซึ้งที่สุด 

 

 

แต่ในที่นั้นเงียบไปหมด ชาวบ้านที่บ้างยืนบ้างนั่งยองอยู่รอบด้านสีหน้าราบเรียบ คล้ายไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร 

 

 

ชาวเขาที่นี่อยู่ไกลเกินไปรึ 

 

 

ผู้ดูแลใหญ่ตกตะลึงนิดๆ 

 

 

แต่ตอนนี้เป็นยามสงคราม ชีวิตไม่เหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ชัยชนะความปราชัยของเฉิงกั๋วกงเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของทุกคนเชียวนะ 

 

 

เขาถอนหายใจเบาๆ 

 

 

“ยังดีเฉิงกั๋วกงเร่งเดินทางมาทันเวลา ไม่เช่นนั้นเมืองสยงโจวคงจบสิ้นแล้ว ต้องรู้ว่าประชาชนกว่าครึ่งในเขตสยงโจวล้วนหลบอยู่ในเมือง โจรจินข้ามชายแดน นั่นคือการเผาฆ่าปล้นชิงจนเกลี้ยง ไม่ทันไรก็ฆ่าล้างหมู่บ้านฆ่าล้างเมือง” เขาเอ่ยต่อ “ความเป็นความตายของประชาชนคือด้านหนึ่ง ที่สำคัญยิ่งกว่าคือตำแหน่งของสยงโจวสำคัญเหลือเกิน” 

 

 

เขาพูดพลางใช้กิ่งไม้วาดบนพื้นหลายที 

 

 

“ที่นี่เป่าโจว โม่โจว ป้าโจว กับสยงโจวตำแหน่งนี่… 

 

 

“ตำแหน่งนี่ไม่ถูก” 

 

 

ชาวบ้านคนหนึ่งพลันเอ่ยขึ้น ขัดคำพูดของผู้ดูแลใหญ่ 

 

 

ผู้ดูแลใหญ่ตะลึงวูบหนึ่ง สิ่งใดไม่ถูก? 

 

 

มุมปากของคุณหนูจวินผุดรอยยิ้มบางๆ นางกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง ถือโอกาสดึงฟางเส้นหนึ่งจากบนหินเขียวก้อนใหญ่ชี้ตำแหน่งของเป่าโจวบนภาพวาดของผู้ดูแลใหญ่ 

 

 

“นี่ผิดแล้ว เป่าโจวอยู่ตรงนี้” นางว่าพลางวาดวงกลมอีกวงหนึ่งบนพื้นดิน 

 

 

หา? อ้อ อยู่ตรงนี้หรือ? เขาเคยไปเป่าโจว แต่เคยไปรู้จักทางกับวาดตำแหน่งที่แน่ชัดของสถานที่แห่งหนึ่งออกมาแตกต่างกันอยู่ ไม่เช่นนั้นแผนที่ทำไมหายากปานนั้น 

 

 

ยากอีกเท่าใดตระกูลฟางก็ย่อมมี คุณหนูจวินเคยเห็นก็ไม่แปลกกระมัง 

 

 

แต่ชาวบ้านคนนั้น… 

 

 

ผู้ดูแลใหญ่ตะลึงอยู่บ้าง 

 

 

“ตำแหน่งของสยงโจวสำคัญมาก แต่เฉิงกั๋วกงครั้งนี้เร่งเดินทางมาปกป้องสยงโจวทันก็คงไม่ง่ายกระมัง?” คุณหนูจวินพลันเอ่ยถาม 

 

 

คำพูดนี้ทำให้ผู้ดูแลใหญ่ได้สติกลับมา โยนความคิดที่ผุดขึ้นมาทิ้งไปด้านข้าง 

 

 

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว” เขารีบร้อนเอ่ยแล้วถอนหายใจอีกครั้ง “เฉิงกั๋วกงตลอดทางมานี่นะ สังหารบุกฝ่ามาตลอดทางจริงๆ หน้ามีทหารดักซุ่มหลังมีการไล่ล่าโจมตี คนเท่าไรเกลี้ยกล่อมห้ามว่าอย่าไปช่วยเหลือ กลัวที่สุดว่าหลังไปถึงสยงโจวจะแตกพ่ายแล้ว ไม่ต้องพูดถึงลงแรงไร้ประโยชน์ เฉิงกั๋วกงที่เหน็ดเหนื่อยเดินทางมาก็จะถูกโจรจินที่ยึดครองเมืองอยู่โจมตีสาหัส” 

 

 

หลิ่วเอ๋อร์ได้ยินพยักหน้าหลายที พวกเหลยจงเหลียนผู้คุ้มกันก็ทั้งกังวลทั้งตื่นเต้น แม้พวกเขาเป็นผู้คุ้มกันและคนของสำนักคุ้มภัย ทว่านั่นแตกต่างจากการเข่นฆ่าในสนามรบ 

 

 

บุรุษ โดยเฉพาะคนที่ฝึกวรยุทธ์ มักมีสัญชาตญาณความกระหายเลือดและการยกทัพจับศึก 

 

 

“เขาบุกฝ่ามาได้อย่างไร?” คุณหนูจวินเอ่ยถามอย่างใคร่รู้บ้าง 

 

 

ตำนานการรบทัพจับศึกของเฉิงกั๋วกงล้วนเป็ฯนเรื่องเมื่อสิบปีก่อน เรื่องเล่าที่ห่างไกลเหล่านั้น ในฐานะเด็กน้อยนางไม่ได้สนใจนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเคยพบเฉิงกั๋วกง 

 

 

เฉิงกั๋วกงที่สวมชุดผ้าเนื้อละเอียดสีฟ้าครามนั่งอยู่ในห้องหนังสือ ดวงหน้าแม้ไม่นับว่าขาวกระจ่างเนียนละเอียด แต่กลับเผยบรรยากาศอบอุ่นอ่อนโยนออกมาเพราะรอยยิ้มจางๆ รุปร่างสูงใหญ่กว่าขุนนางพลเรือนที่เห็นบ่อยๆ ในราชสำนักอยู่บ้างแต่ก็ไม่ใช่วีรบุรุษผู้กล้าอย่างจางเฟยผู้ดุร้ายที่เล่าในหนังสือ 

 

 

เขาเหมือนบัณฑิตคนหนึ่ง 

 

 

“เฉิงกั๋วกงย่อมนับเป็นบัณฑิตคนหนึ่งเหมือนกัน” พระบิดาเคยตอบข้อสงสัยของนาง “จะเป็นแม่ทัพที่ดีคนหนึ่ง ย่อมต้องเคยอ่านหนังสือมากมาย” 

 

 

คิดไม่ถึงตอนนี้ได้ฟังเรื่องราวการทำสงครามของเฉิงกั๋วกงชัดๆ กับหูตนเอง แน่นอน เรื่องเช่นนี้ไม่มีใครตั้งตาคอย 

 

 

แต่เรื่องเล่าการทำสงครามของเฉิงกั๋วกงเป็นสิ่งที่คนทุกคนล้วนชื่นชอบจริงๆ เรื่องเล่าที่ท่ามกลางความสิ้นหวังมักจะบุกฝ่าทางรอดเส้นหนึ่งออกมาได้เสมอ ทั้งน่าตื่นเต้นและปลอบประโลมใจ 

 

 

ผู้ดูแลใหญ่ดื่มน้ำชาหลายคำอีกครั้ง ทำให้คอโล่งกำลังจะเล่า 

 

 

“ลูกม้าจะเกิดแล้ว” 

 

 

เด็กน้อยคนหนึ่งพลันตะโกนมาแต่ไกล 

 

 

ม้าที่หลิ่วเอ๋อร์ต้องการช่วงก่อนหน้านี้ส่งมาถึงอย่างราบรื่น นอกจากนี้ยังมีแม่ม้าหลายตัว สิ่งที่ผู้ดูแลใหญ่ขบคิดคือคนทำนาย่อมต้องเลี้ยงอะไรบางอย่าง เลี้ยงวัวเลี้ยงหมู เลี้ยงม้าก็ได้ 

 

 

ชาวบ้านดีใจกับม้าที่มาอย่างยิ่ง ถนอมเลี้ยงดู มองประหนึ่งสมบัติ 

 

 

ได้ยินว่าลูกม้าจะเกิดแล้ว คนที่ล้อมใต้ต้นไม้ใหญ่ก็ลุกขึ้นดังพรึบ 

 

 

“เร็วปานนี้เชียว?” 

 

 

“ไม่ใช่พรุ่งนี้หรือ?” 

 

 

“ไหวหรือเปล่าน่ะ อันตรายไหม” 

 

 

“กลัวอะไรก็ไม่ใช่ไม่เคยดูแลม้าเสียหน่อย มีเหล่าลิ่วอยู่นะ” 

 

 

ทุกคนคุยเล่นหัวเราะวิ่งไปทางที่คอกม้าตั้งอยู่ พริบตาใต้ต้นไม้ใหญ่นี่ก็เหลือเพียงคณะเดินทางของคุณหนูจวิน 

 

 

ผู้ดูแลใหญ่สีหน้าตะลึง 

 

 

“แต่ ข้ากำลังจะเล่าตอนเฉิงกั๋วกงสู้ศึกใหญ่กับโจรจินที่ล้อมเมือง…” เขาเอ่ยพึมพำ 

 

 

ยังดึงดูดใจสู้ลูกม้าเกิดไม่ได้หรือ? 

 

 

ผู้เฒ่าอายุมากหลายคนเดินช้า ได้ยินคำพูดพึมพำของเขาจึงหันกลับมามองทีหนึ่ง 

 

 

“ทำสงครามก็แค่เรื่องพวกนั้น” ผู้เฒ่าคนหนึ่งเอ่ย “มีอะไรแปลกประหลาด” 

 

 

ทำสงครามก็แค่เรื่องพวกนั้น? 

 

 

เรื่องพวกไหนกัน? 

 

 

ไม่แปลกรึ? พูดเหมือนพวกเขาเคยเห็นสงครามมาไม่มากก็น้อย 

 

 

ผู้ดูแลใหญ่เบิกตา มองคนกลุ่มนี้เดินออกไป 

 

 

คนเหล่านี้อาจเคยเห็นสงครามจริงๆ คุณหนูจวินคิดขึ้นมาพวกเขาเรียกตนเองว่าทหาร อาวุธที่ครอบครอง ค่ายกลที่วางไว้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชุดเกราะศาสตราวุธกระบวนทัพทหารในจดหมายของอาจารย์ 

 

 

พวกเขาที่แท้ความเป็นมาอย่างไร? มีอดีตอย่างไร? แล้วทำไมซ่อนตัวอยู่ที่นี่? ไม่มีทางเพราะอาการป่วยของจ้าวฮั่นชิงแน่ 

 

 

“อั้ยย่ะไม่ต้องสนพวกเขาหรอก” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยเร่ง “รีบเล่าต่อเร็ว เฉิงกั๋วกงเอาชนะโจรจินที่ล้อมเมืองพวกนี้ได้อย่างไร? เขาร้ายกาจปานนั้นจริงรึ?” 

 

 

ขอแค่คุณหนูจวินชอบฟังก็พอ คนเหล่านี้ฟังไม่ฟังก็ตามใจ ผู้ดูแลใหญ่กระตือรือร้นขึ้นมาอีกครั้ง เล่าว่าเฉิงกั๋วกงนำเหล่าทหารวางทหารตั้งทัพอย่างไร รบกับโจรจินกลางทุ่งอย่างไรอย่างมีจังหวะจะโคน แม้เดินทางไกลถูกจู่โจมตลอดทางเข่นฆ่าโรมรันผ่านมา แต่ยังคงรวดเร็วประหนึ่งพยัคฆ์ลงเขา โจมตีโจรจินถอยร่นทีละนิดๆ ท้ายที่สุดผลุนผลันถอยหนี 

 

 

พวกหลิ่วเอ๋อร์ เหลยจงเหลียนจดจ่อฟังจนไม่รู้ตัว คุณหนูจวินก็เหมือนกับมองเห็นภาพการรบนั่นด้วย เฉิงกั๋วกงนั่งสง่าอยู่ในกระบวนทัพวงกลม แม้ไม่ได้สังหารศัตรูด้วยตนเอง แต่เหล่าทหารประหนึ่งมือซ้ายขวาของเขา บุกไปถอยกลับตามคำสั่งเขา ดาบแล้วดาบเล่าโจมตีชุดเกราะของศัตรูแหลกลาญ โจมตีขวัญของพวกเขากระเจิง 

 

 

อาทิตย์อัสดงประหนึ่งโลหิต คุณหนูจวินแหงนศีรษะมองพระอาทิตย์ที่ไม่รู้แขวนอยู่ตรงยอดเขาตั้งแต่เมื่อไร 

 

 

“ฟังดูง่ายดายยิ่งและงดงามยิ่ง แต่ความจริงไม่ง่าย” นางเอ่ยกับตนเอง 

 

 

ผู้ดูแลใหญ่พยักหน้า ถอนหายใจเบาๆทีหนึ่ง 

 

 

“สงครามยิ่งตึงเครียดขึ้นทุกที” เขาเอ่ยเสียงเบา แล้วก็มองหมู่บ้านภูเขาแห่งนี้ 

 

 

ไกลออกไปวัวแกว่งหางเดินทอดน่องตามเด็กเลี้ยงวัวกลับมา ควันไฟทำอาหารกำลังลอยวนเป็นเกลียว ในหมู่บ้านเสียงร้องยินดีพักหนึ่งลอยมา นั่นเพราะลูกม้าตัวหนึ่งเกิดออกมาแล้ว 

 

 

เทียบกับข้างนอก ที่นี่เป็นดั่งสวรรค์ตัดขาดจากโลกจริงๆ 

 

 

ยิ่งเวลาเคลื่อนคล้อย สงครามก็ยิ่งรุนแรง เมืองแดนเหนือที่เคยรุ่งเรืองคึกคักมากมาย ตลาดปิดตัว ร้านรวงปิดประตู หมู่บ้านไร่นาถูกทอดทิ้ง ผู้คนหนีไปหาญาติมิตร ส่วนคนมีเงินก็พาครอบครัวหนีลงใต้ 

 

 

แต่คนที่วิ่งไปทางใต้ได้อย่างไรก็เป็นจำนวนน้อย คนมากมายยากละทิ้งบ้านเกิดแล้วก็ไม่มีเงินจากไป ทุกคนล้วนรอคอยเฉิงกั๋วกงขับไล่โจรจินเหมือนเช่นก่อนหน้านี้ แดนเหนือฟื้นกลับสงบสุขรุ่งเรืองอีกครั้ง 

 

 

“ข้าเชื่อมั่นว่าเฉิงกั๋วกงทำได้” 

 

 

คุณหนูจวินยืนอยู่ในป่าเขาเอ่ยขึ้น ปล่อยลูกธนูในมือ 

 

 

เสียงฟึบดังขึ้นทีหนึ่ง ธนูขนนกที่ตนเองทำขึ้นอย่างหยาบๆ ตกลงบนเป้าฟางอย่างมั่นคง 

 

 

จ้าวฮั่นชิงร้องอ้อ นางไม่รู้สึกอะไรกับเฉิงกั๋วกง เหมือนเช่นชาวบ้านทั้งหมดที่นี่ ไม่สนใจสงครามข้างนอกสักนิด ดึงศรสะบัดมือมือโยนกลับมา 

 

 

“อีกรอบ” นางเอ่ยจริงจัง