บทที่ 288.1 เดินทางขึ้นเหนือ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 288.1 เดินทางขึ้นเหนือ
โดย
ProjectZyphon
ลู่ไถล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปบนพื้น ยังดีที่ซาลาเปาเนื้อในมือไม่หล่น

ถีบตัวเองแล้ว ไอ้หมอนั่นยังมีหน้ามายิ้มแย้มอีกรึ?

ปากพูดว่ากลัวตาย แต่ทำไมพอมาเจอกับนายท่านใหญ่ลู่อย่างข้า เจ้าเฉินผิงอันถึงไม่กลัวตายบ้างล่ะ?

คิดจริงๆ หรือว่าเจินเจียน ม่ายกวางของข้าเป็นเหมือนเครื่องประทินโฉมที่ถูกทอดทิ้งซึ่งมีไว้โอ้อวดเท่านั้น?

จู่ๆ ลู่ไถก็รู้สึกอัดอั้น เพราะนึกขึ้นมาได้ว่าเฉินผิงอันไม่รู้ถึงการดำรงอยู่ของกระบี่บินสองเล่มนี้

ลู่ไถลุกขึ้นยืน ขม้ำกินซาลาเปาเนื้ออย่างโกรธๆ แล้วเอ่ยเตือนว่า “ที่ปลาวาฬกลืนสมบัติหนึ่งหมัด ที่ท่าเรือนี่หนึ่งเท้า สองครั้งแล้วนะ!”

เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสามครั้ง”

ลู่ไถกล่าวเสียงดุดัน “หากกล้ามีครั้งที่สาม ถ้าข้าไม่ฆ่าเจ้าให้ตายก็จะสวมชุดผู้หญิงมาทำให้เจ้าสะอิดสะเอียนจนตาย!”

เฉินผิงอันรีบยกแขนขึ้น ชูสองนิ้วประกบกัน แสร้งทำท่าเป็นสาบานต่อสวรรค์ แต่คำพูดที่กล่าวกลับกลายเป็นว่า “หากมีครั้งที่สาม ขอเจ้าโปรดเลือกสังหารข้า”

ลู่ไถคลี่ยิ้มทันที

เห็นว่าลู่ไถไม่มีทีท่าว่าจะเอาเรื่องต่อ เฉินผิงอันจึงเงยหน้าขึ้น ห่างไปไกลมีภูเขาใหญ่สูงตระหง่านลูกหนึ่ง แค่ช่วงกึ่งกลางภูเขาก็มีทะเลเมฆปกคลุมแล้ว เป็นเหตุให้คนบนโลกมองไม่เห็นทัศนียภาพบนภูเขา ว่ากันว่าภายในหนึ่งปีมีโอกาสแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่คนด้านล่างภูเขาจะมองเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดได้ ซึ่งบนยอดเขามีตำหนักโอ่อ่าเรียงรายดุจพระราชวังอยู่แห่งหนึ่ง

ใน ‘จารึกภูเขาและทะเล’ ตำราเซียนมีบันทึกถึงสำนักฝูจีแห่งนี้ ซึ่งมีอยู่สองข้อที่ทำให้เฉินผิงอันจดจำได้อย่างลึกซึ้ง สำนักฝูจีก็เหมือนจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ พวกเขาต่างก็ไม่ถือเป็นหนึ่งในสามสายของลัทธิเต๋า เชี่ยวชาญด้าน ‘เทพเซียนถามตอบ หลายคนบรรลุเป็นเจินเหรินคอยให้ความรู้’ พูดง่ายๆ ก็คือมีส่วนคล้ายคลึงกับศาลลมหิมะ เขาเจินอู่ของแจกันสมบัติทวีปที่สามารถอัญเชิญเทพเซียนลงมาได้ ต่างกันที่ว่าผู้ที่ถูกอัญเชิญลงมายังโลกมนุษย์คือทวยเทพหรือเซียนที่แท้จริงเท่านั้น

นอกจากนี้บนภูเขาของสำนักฝูจียังเลี้ยงภูติประหลาดไว้มากเป็นอันดับหนึ่งของใบถงทวีป ตรงกลางภูเขามีสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่าถนนเรียกสวรรค์ซึ่งเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์หลากหลาย

เฉินผิงอันสนใจภูติโบราณที่ร่าเริงน่ารักเหล่านั้นมาโดยตลอด จึงอยากจะมาเปิดหูเปิดตาที่สำนักฝูจี หากเป็นในอดีตเขาแค่คงคิดในใจเท่านั้น แต่ว่าตอนนี้กลับยินดีที่จะลองทำดู

อีกทั้งเมื่อสะพาย ‘ปราณกระบี่’ เล่มนั้น พอเฉินผิงอันเดินไปทางทิศเหนือ ปราณกระบี่ก็จะสั่นเบาๆ ด้วยเหตุนี้จิตวิญญาณของเฉินผิงอันจึงสั่นสะเทือนตามไปด้วย หากเขาเดินไปทางทิศใต้ ปราณกระบี่ก็จะไม่มีความเคลื่อนไหว

นี่ทำให้เฉินผิงอันวางใจลงได้ เมื่อเดินไปทางเหนือ อย่างน้อยก็ขยับเข้าใกล้แจกันสมบัติทวีปมากขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับเรื่องการไปเที่ยวชมถนนเรียกสวรรค์ ลู่ไถชูสองมือสนับสนุน บอกว่าสิ่งของมากมายของที่นั่นไม่เพียงแต่หายาก ราคายังเป็นธรรม เป็นหนึ่งในสถานที่ของใบถงทวีปที่ผู้ฝึกลมปราณต้องไปเยือน

ภูเขาที่มองดูเหมือนว่าห่างไปไม่ไกล แต่เวลาเดินจริงๆ กลับไม่เป็นเช่นนั้น เฉินผิงอันในเวลานี้ไม่ใช่ลูกนกที่หัดโบยบินอยู่ในยุทธภพอีกแล้ว ตลอดทางเขาคอยมองไปยังภูเขาที่มีไอเมฆหมอกล้อมวนอยู่ตลอดเวลา รู้ดีว่าด้วยความร้ายกาจของสำนักฝูจี หากเอาไปวางไว้ในแจกันสมบัติทวีปคงเป็นรองแค่สำนักโองการเทพระดับเดียวเท่านั้น

สำนักฝูจีที่ตั้งอยู่ภาคกลางของใบถงทวีปแห่งนี้ ในเมื่อเป็นตระกูลเซียนที่มีคำว่าสำนักอยู่ในชื่อก็หมายความว่าอย่างน้อยต้องมีขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง และเมื่อเปรียบเทียบกับแจกันสมบัติทวีปที่มีอาณาเขตเล็กสุดแล้ว ตระกูลเซียนบนยอดเขาของใบถงทวีปยิ่งมีน้ำหนักมากกว่าและรากฐานแน่นหนากว่า บวกกับที่ทิศใต้และทิศเหนือต่างก็มีสำนักใบถงและสำนักกุยหยกคอยกุมพื้นที่ทางปลายทั้งสองด้านเอาไว้ ก็เหมือนได้ยึดครองโชคชะตาครึ่งหนึ่งของใบถงทวีปไป ดังนั้นสำนักใดก็ตามในใบถงทวีปที่ยังสามารถลุกผงาดได้อย่างโดดเด่น ส่วนมากก็มักจะเป็นกองกำลังอันแข็งแกร่งที่บุกสังหารจนเลือดนองไปตลอดทาง

เมื่ออยู่ว่างไม่มีอะไรทำ ลู่ไถจึงคุยให้ฟังถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของใบถงทวีปที่แตกต่างไปจากแจกันสมบัติทวีป แจกันสมบัติทวีปคือสถานที่เล็กๆ หากไม่เป็นเพราะฉีเจินของสำนักโองการเทพเลื่อนสู่ขอบเขตที่สิบสองเซียนเหริน ได้รับยศเทียนจวินที่ทางสำนักเบื้องบนในทวีปแผ่นดินกลางเป็นผู้มอบให้ มองภายนอกก็จะไม่มีขอบเขตเซียนเหรินแม้แต่คนเดียว ดังนั้นตอนที่เฉินผิงอันมองกำแพงของเรือนซือเตาจึงได้เห็นว่ามีคนมอบเงินรางวัลนำจับซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลี เหตุผลก็แค่เพราะแจกันสมบัติทวีปไม่คู่ควรที่จะมีผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบ อันที่จริงนี่เป็นเหตุผลที่ทั้งน่าหัวเราะ แล้วก็ไม่น่าหัวเราะไปพร้อมๆ กัน

หันกลับมามองใบถงทวีป ลูกพี่ใหญ่อย่างสำนักใบถงและสำนักกุยหยกล้วนเป็นตะพาบเฒ่าที่เหล่าขอบเขตเซียนเหรินซ่อนแฝงตัวมาหลายร้อยปี

สำนักฝูฉีมีผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบอยู่สองคน หนึ่งชายหนึ่งหญิง เป็นคู่รักร่วมบำเพ็ญตน สร้างความอิจฉาแก่ผู้คน

เล่าลือกันว่าการที่สำนักฝูจีสามารถมีถนนเรียกสวรรค์ที่ผู้คนพากันสัญจรขวักไขว่สายนั้นก็เพราะ ผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตหยกดิบคนนั้นชอบเลี้ยงภูติ ต่อให้กลายเป็นเซียนพสุธาแล้วก็ยังไปปรากฏตัวข้างนอกบ่อยๆ นางชอบลงจากเขาเพื่อไปเก็บสะสมภูติหลากหลายชนิดโดยเฉพาะ เจ้าสำนักฝูจีจึงใจป้ำทุ่มทรัพย์สินส่วนตัวของตัวเองสร้างถนนเรียกสวรรค์ขึ้นมา เพียงเพื่อให้คนรักไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเดินทางไปไกล

พูดถึงเรื่องบุญคุณความรักของคนคู่นี้ ใบหน้าของลู่ไถเต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้มและวาดฝัน ทำเอาเฉินผิงอันที่อยู่ข้างๆ ขนลุกขนชัน ด้วยไม่รู้ว่าลู่ไถจินตนาการว่าตัวเองคือเจ้าสำนักฝูจี หรือผู้ฝึกตนหญิงที่เป็นคู่รักของเขากันแน่

ภายหลังคงเป็นเพราะถูกกระตุ้นความเศร้ารันทดที่อยู่ในใจ ต่อให้ตอนนี้ลู่ไถจะสวมอาภรณ์เป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ แต่ก็ยังพูดกับเฉินผิงอันอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่ายถึงเรื่องเครื่องประทินโฉมหลากหลายชนิด สีที่ใช้ในการปัดแก้มมีกี่ชนิดและลำดับขั้นตอนการแต่งหน้า อาภรณ์ที่เทพธิดาในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกับเทพธิดาทวีปอื่นชื่นชอบ ข้อดีในการแต่งหน้าแบบเข้มกับแต่งหน้าแบบบาง…

เฉินผิงอันอดทนมานาน ในที่สุดก็ทนกับบทสนทนาของ ‘สตรีในห้องหอ’ ที่ลู่ไถพูดอย่างไม่จบไม่สิ้นไม่ไหว จึงหันไปพูดกับเขาด้วยสีหน้าจริงจัง “ลู่ไถ ถือว่าข้าขอร้องเจ้าล่ะ เรื่องพวกนี้ที่เจ้าคุยให้ข้าฟัง ข้าไม่อยากฟัง แล้วนับประสาอะไรกับที่ฟังไปก็ไม่มีประโยชน์ด้วย”

คำพูดทำนองเดียวกันนี้ เฉินผิงอันเคยพูดกับหม่าขู่เสวียนแค่ครั้งเดียว นั่นคือครั้งที่หม่าขู่เสวียนพูดเป็นน้ำไหลไฟดับขณะที่กำลังต่อสู้กัน

เพียงแต่ว่าความรู้สึกที่มีต่อฝ่ายหลังคือรังเกียจ น้อยครั้งมากที่เฉินผิงอันจะเคียดแค้นใครสักคนหนึ่ง เด็กสาวจูลู่ที่ลอบฆ่าตนถือเป็นคนหนึ่งในนั้น ผีสาวสวมชุดแต่งงานที่ฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อก็คือคนหนึ่ง เจียวหลงเฒ่าสวมชุดคลุมสีทองที่ร่องน้ำเจียวหลงตนนั้นก็ด้วยอีกคน มีน้อยจนนับนิ้วได้

แต่กับลู่ไถนั้น เขากลับรู้สึกอ่อนใจเสียมากกว่า

ลู่ไถเลิกคิ้ว จากนั้นก็พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “ไม่มีประโยชน์? เจ้าไม่มีแม่นางที่ชอบบ้างหรือ? ถ้าหากมี จะไม่อยากให้นางสวยกว่าเดิมงั้นรึ? หากเก้าร้อยเก้าสิบเก้าส่วนคือไม่มีล่ะก็ จะดีจะชั่วเจ้าก็สามารถเอาเรื่องนี้ไปพูดคุยกับคนอื่นได้กระมัง เจ้านึกจริงๆ หรือว่าเทพธิดาไม่ผายลม แต่ละคนไม่รักสวยรักงาม? ถ้างั้นก็สมควรแล้วที่เจ้าโสด!”

เฉินผิงอันเหมือนถูกกรอกสติปัญญา รีบกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวทันที “มี! อยาก!”

เขาย่อมมีแม่นางที่ชอบอยู่แล้ว แล้วก็อยากให้นางสวยกว่าเดิม…หืม? ไม่ถูกสิ ไม่ถูก หนิงเหยาสวยมากที่สุดอยู่แล้ว!

ลู่ไถเห็นท่าทางของเขาแล้วก็ส่ายหน้า “ทึ่มทื่อเช่นนี้ เกรงว่าต่อให้มีคนรักก็รั้งไว้ไม่อยู่”

กล่าวจบลู่ไถก็ยังไม่ยอมเลิกราง่ายๆ เรียกพัดพับไม้ไผ่ออกมาจากความว่างเปล่า จุ๊ปากพูดว่า “รั้งไม่อยู่หนอรั้งไม่อยู่”

เฉินผิงอันหัวเราะหึหึ

สัมผัสได้ว่ามีแววที่เฉินผิงอันจะลงไม้ลงมือ ลู่ไถจึงชำเลืองตามองพลางเอ่ยเตือนว่า “ห้ามลงมือนะ เจ้าอ่านตำราทุกวัน ต่อให้ไม่ใช่วิญญูชนก็ถือว่าเป็นบัณฑิตไปครึ่งตัวแล้ว นี่เพิ่งจะเดินมาได้กี่ก้าวเอง ลืมไอ้ที่พูดว่าเรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสามครั้งไปแล้วรึ?”

เดิมทีท่าเรือก็คือกิจการส่วนตัวของสำนักฝูจีอยู่แล้ว ตลอดทางที่มุ่งหน้าไปยังภูเขาของสำนักฝูจีมีภาพเหตุการณ์ประหลาดมากมายปรากฏขึ้นระหว่างทาง มีคนหลายสิบคนนั่งโดยสารอยู่บนงูเหลือมใหญ่สีม่วงตนหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘บุรุษเคราม่วง’ มันทะยานไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ แต่ทุกคนที่นั่งอยู่บนร่างของมันกลับนั่งได้อย่างมั่นคงไม่มีโคลงเคลง เหนือศีรษะก็มักจะมีสายรุ้งที่เปี่ยมไปด้วยปราณกระบี่พุ่งผ่านไป เพียงชั่วพริบตาก็ไม่เหลือเงา

เคยเห็นนครมังกรเฒ่าและภูเขาห้อยหัวมาก่อน เฉินผิงอันจึงไม่รู้สึกประหลาดใจกับภาพเหล่านี้

ลู่ไถอธิบายว่าสำนักใบถงไม่เหมือนกับแจกันสมบัติทวีปที่กระจัดกระจาย จำนวนของภูเขามีไม่มาก แต่ส่วนใหญ่ล้วนมีขนาดใหญ่มโหฬาร อยู่ที่นี่ไม่ใช่ว่าโบกธงผุๆ ผืนหนึ่งแล้วจะสามารถแต่งตั้งตัวเองเป็นราชวงศ์ใหญ่ได้ สองกองกำลังอย่างราชวงศ์และยุทธภพของสำนักใบถงจึงไม่อาจดูแคลนได้

แน่นอนว่าไม่มีเรื่องใดที่ตายตัว สำนักและตระกูลเซียนที่ไม่เข้าพวกย่อมต้องมี ถึงอย่างไรอาณาเขตของใบถงทวีปก็กว้างขวางอย่างยิ่ง อีกอย่างมีที่นาผืนใดบ้างที่ไม่มีรังหนู

แต่สภาพการณ์ที่เกือบทุกแคว้นมีจวนเซียนอย่างทางตอนใต้สำนักศึกษากวานหูของแจกันสมบัติทวีปนั้น ที่ใบถงทวีปย่อมไม่มีแน่นอน

คนทั้งสองเดินเคียงบ่ากันไปบนเส้นทางที่กว้างขวาง อันที่จริงเป็นภาพที่สะดุดตาอย่างมาก สตรีบนรถที่ขับเคลื่อนผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นเซียนซือหรือคุณหนูตระกูลเศรษฐีก็ล้วนเต็มใจส่งสายตาใคร่รู้ที่แฝงไว้ด้วยความตะลึงมาให้ หลักๆ เป็นคุณความชอบของลู่ไถที่มีท่วงท่าสง่างาม เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของเซียนและกลิ่นอายของตำรา นี่เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง เฉินผิงอันที่ยืนอยู่ข้างกายเขา อย่างมากก็แค่รับบทเป็นตัวประกอบเท่านั้น

จู่ๆ ลู่ไถก็พูดอย่างสะท้อนใจว่า “ไม่พูดถึงนาตยทวีปที่แข็งแกร่งมาก วรรณกรรมเฟื่องฟู เซียนซือมากดุจก้อนเมฆ อีกทั้งยังมีเฉินฉุนอันผู้มากความรู้นั่งบัญชาการณ์ ใบถงทวีปที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเราเวลานี้มีนิสัยรักสงบ เหมือนสตรีผู้เรียบร้อยมีคุณธรรม ไม่ชอบแก่งแย่งชิงดีกับใคร อีกทั้งยังมีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ ขนาดเรือข้ามฟากยังมีแค่ไม่กี่ลำ บนฟ้าไร้ทางบนดินไร้ประตู ชอบปลีกตัววิเวิก อันที่จริงก็พอจะถือว่าเป็นแดนสุขาวดีในอุดมคติขนาดใหญ่แห่งหนึ่งได้ ฝูเหยาทวีปที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้กลับครึกครื้นกว่ามาก บนภูเขาล่างภูเขาไม่มีเส้นแบ่งเขต วันๆ เอาแต่ต่อยตีฆ่าฟันกัน ขนาดผู้ฝึกลมปราณยังมีกลิ่นอายของยุทธภพเข้มข้น”

เฉินผิงอันถามขึ้นเสียงเบา “ลู่ไถ เจ้าขอบเขตอะไร? บอกได้ไหม?”

ลู่ไถโบกพัดเบาๆ จนจอนผมปลิวสะบัด ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ลูกหลานสกุลลู่ไม่ค่อยสนใจขอบเขตว่าสูงหรือต่ำ ดูแค่ว่าสายตาในการ ‘มองแม่น้ำ’ นั้นยาวไกลแค่ไหน”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่สูงเท่าไหร่”

ลู่ไถกระตุกมุมปาก “หากเปรียบเทียบกับผู้มีพรสวรรค์ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แน่นอนว่าไม่สูง แต่หากเปรียบเทียบกับเจ้าก็มากเกินพอ”

เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “ข้ารู้จักคนคนหนึ่งที่มีอายุเยอะกว่าข้ามาก เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดแล้ว ข้ายังได้พบผู้ฝึกกระบี่จากนาตยทวีปคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนจิ้งจอกหน้าประตูบ้านตัวเอง ดูเหมือนว่าจะขอบเขตเก้า ในบ้านข้ามีเด็กน้อยสองคน คนหนึ่งคืองูเหลือมไฟ อีกคนหนึ่งคืองูน้ำ คาดว่าคงใกล้เลื่อนเป็นขั้นหกกับขั้นเจ็ดแล้วกระมัง เจ้าล่ะ ขอบเขตไหนกันแน่?”

ลู่ไถยังคงไม่ยอมเปิดเผยขอบเขตของตัวเอง เพียงแต่พูดด้วยสีหน้าลำพองใจ “อาจารย์ของข้าสองคน คนหนึ่งคือผู้ถ่ายทอดความรู้ คนหนึ่งคือผู้ถ่ายทอดมรรคา ล้วนเป็นห้าขอบเขตบน”

เฉินผิงอันร้องอ้อหนึ่งที

ลู่ไถชำเลืองตามอง “หมายความว่าไง? ไม่ยอมแพ้ หรือว่าไม่อยู่ในสายตา?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ยอมแพ้”

ลู่ไถยิ้มตาหยี “เฉินผิงอัน ไอ้นิสัยปากยอมแพ้แต่ใจไม่ยอมนี้ของเจ้า เพราะอยากนอนให้คนมาดื่มเหล้าคารวะใช่ไหม”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างกังขา “หมายความว่าไง?”

ลู่ไถหุบพัดดังเพี๊ยะ “ตายไปแล้ว ยังไงก็น่าจะมีคนเอาสุรามาคารวะที่หลุมศพไม่ใช่หรือ”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ไส้หลายขด” (เปรียบเปรยถึงคนที่เจ้าเล่ห์ มากกลอุบาย)

ลู่ไถหัวเราะเสียงดัง คลี่พัดออกอีกครั้ง ลมเย็นโชยมาเป็นระลอก ฟ้าใสอากาศเย็นสบายซะจริง

คนทั้งสองเดินเท้าไปได้ครึ่งวันถึงเดินไปถึงตีนเขาของสำนักฝูจีในช่วงสนธยา ภูเขาแห่งนี้มีชื่อว่าฉุยซาง ความหมายคือจักรพรรดิปกครองโดยนั่งปล่อยชายแขนเสื้อ (เปรียบเปรยถึงผู้ปกครองที่ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติบ้านเมืองก็สงบสุข) เหตุใดภูเขาที่สำนักฝูฉีครอบครองถึงมีคำกล่าวของลัทธิขงจื๊อ ลู่ไถเองก็อธิบายไม่ได้เหมือนกัน หนึ่งชั่วยามต่อมา ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง ในที่สุดเฉินผิงอันกับลู่ไถก็ได้เห็นถนนเรียกสวรรค์เส้นนั้น แสงไฟถูกจุดสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน ต่อให้เป็นช่วงกลางคืนก็ยังมีนักท่องเที่ยวสัญจรไม่ขาดสาย

พอเดินเข้าไปในถนนเส้นใหญ่ที่ผู้คนเบียดเสียดยัดเยียด ลู่ไถทำให้เฉินผิงอันเห็นว่าอะไรที่เรียกว่าจ่ายเงินเหมือนสายน้ำไหล อะไรที่เรียกว่าทุ่มทองพันชั่ง กะพริบตาหนึ่งทีก็หมดตัว

ถนนเรียกสวรรค์มีวัตถุแปลกตาน่าอัศจรรย์อยู่มากมายจริงๆ

เฉินผิงอันได้เปิดโลกกว้างแล้ว

 

—–