ตอนที่ 587 ขอร้องด้วยเส้นลิขิตฟ้า

พันธกานต์ปราณอัคคี

เสียงนั้นอ่อนโยนและสง่างาม ฟังดูแล้วราวกับสายลมเอื่อยๆ พัดปะใบหน้า พัดหมอกควันออกจากจิตใจ

เสียงที่ทำให้ผู้คนเคลิบเคลิ้มเช่นนี้ ในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดที่มั่วชิงเฉินได้ทำความรู้จัก มีเพียงคนเดียวที่เทียบได้ นั่นก็คือเผยสือซาน ผู้ที่รู้จักกันในสิบทวีปทิศตะวันออก

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ก็รู้สึกจิตใจอ่อนยวบ ชื่อเสียงของอาจารย์หย่าสมคำล่ำรือไม่ผิด

มั่วชิงเฉินก้าวเท้าออกเดิม มองเห็นทั้งสองคนนั่งเคียงไหล่กันอยู่ในเรือน

หนึ่งในนั้นสวมอาภรณ์สีขาว อีกคนหนึ่งสวมชุดคลุมยาวสีท้องฟ้า ด้านหลังของเขามีแม่ทัพหลิงยืนอยู่

เมื่อเห็นพลังยุทธ์ของมั่วชิงเฉิน ใบหน้าของอาจารย์ผีทั้งสองพลันเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน

อาจารย์ผีผู้สวมชุดคลุมยาวสีท้องฟ้าสาวเท้าเข้ามา ประสานมือคารวะแล้วเอ่ยว่า “เย่ว์เจ๋อคิดไม่ถึงเลยว่าแม่นางจะเป็นอาจารย์ผีเช่นกัน เสียมารยาทแล้ว”

มั่วชิงเฉินคารวะตอบ แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ “อาจารย์หย่าเกรงใจเกินไปแล้ว แต่ข้าน้อยไม่ทราบว่าอาจารย์หย่าพาครอบครัวของข้ามาที่จวนของท่านเพราะเหตุใดกัน”

อาจารย์หย่ากวาดสายตาอันราบเรียบไปทางแม่ทัพหลิงแวบหนึ่ง

แม่ทัพหลิงมีสีหน้ากลัดกลุ้ม พลางถ่ายทอดเสียงมาอย่างเงียบๆ “ท่านอาจารย์ ศิษย์เองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ แม่นางผู้นี้ถึงกลายเป็นอาจารย์ผี”

อาจารย์หย่ามองมั่วชิงเฉินแล้วฉีกยิ้มอย่างอ่อนโยน พลางเอ่ยอย่างจริงใจ “เพราะข้าน้อยชอบถึงได้กระตือรือร้นเช่นนี้ ฟังจากศิษย์ของข้า ในเมืองปรากฏผู้มีร่างห้าวิญญาณ จึงพากลับมาคิดจะรับเป็นศิษย์ เดิมคิดจะรอให้แม่นางมาอธิบาย ยามนี้เห็นแม่นางมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับอาจารย์ผี กลับเป็นข้าน้อยที่บุ่มบ่ามเกินไป”

ที่แท้ท่านอาหกก็มีร่างห้าวิญญาณ!

ยามที่มั่วชิงเฉินมายังแดนผีนั้นความรู้ตื้นเขิน ได้ยินเพียงว่าร่างห้าวิญญาณคือร่างผีวิญญาณที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมที่สุด แต่ยอดเยี่ยมอย่างไรนั้น และจะฝึกฝนอย่างไรนั้น กลับไม่แน่ใจนัก

ถูกอาจารย์ผีรับเป็นศิษย์ ก็เป็นเรื่องที่เพ้อฝันสำหรับเหล่าผีวิญญาณแล้ว อาจารย์หย่าพาท่านอาหกกลับมายังจวน เพราะคิดว่าด้วยพลังยุทธ์ระดับแม่ทัพผีของนาง คงไม่อยากจะขัดขวางอนาคตของท่านอาหก แต่กลับคิดไม่ถึงว่านางเองก็มีพลังยุทธ์ระดับอาจารย์ผีเช่นกัน

เมื่อเห็นท่าทางอ่อนโยนของเขา มั่วชิงเฉินก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง “แค่เข้าใจผิดกัน อาจารย์หย่าไม่จำเป็นต้องใส่ใจ ไม่ทราบว่ายามนี้ญาติของข้าน้อยอยู่ที่ใด ข้าพาพวกเขาไปได้หรือยัง”

อาจารย์หย่าพลันตกตะลึง แล้วกลั้วหัวเราะขณะเอ่ย “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่แค่เรื่องนี้เย่ว์เจ๋อกระทำการไม่เหมาะสมจริงๆ มิสู้เชิญแม่นางทานข้าวก่อนแล้วค่อยไป ถือว่าเป็นการขอโทษของเย่ว์เจ๋อ”

“ไม่จำเป็นหรอก ข้าน้อยมีธุระนิดหน่อย ต้องรีบกลับ พวกเราพักอยู่ในเมือง ค่อยขอบคุณวันหลังก็ไม่สาย” มั่วชิงเฉินเอ่ย

อาจารย์หย่ามองแม่ทัพหลิง “หลิงเฟิง ไปเชิญครอบครัวของแม่นางท่านนี้มา”

“ขอรับ” หลิงเฟิงมองมั่วชิงเฉินแวบหนึ่ง แล้วถอยออกไป

“ประเดี๋ยวก่อน ไม่ทราบว่าแม่นางมีแซ่อันสูงส่งว่าอันใดหรือ” บุรุษผู้สวมชุดสีขาวที่ไม่ปริปากมาตั้งแต่ต้นพลันเอ่ยถาม

มั่วชิงเฉินมองไป

บุรุษผู้สวมชุดสีขาวประสานมือคารวะ “ข้าน้อยไป๋ซิง”

“ข้าน้อยแซ่มั่ว”

ไป๋ซิงฉีกยิ้มเบิกบาน “แม่นางมั่ว ข้าน้อยขอเสียมารยาทไถ่ถามสักหน่อย เจ้าน่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษสินะ”

มั่วชิงเฉินพยักหน้า

มุมปากของไป๋ซิงกระดกขึ้น “แม่นางมั่วน่าจะเคยได้ยินชื่อเสียงของอาจารย์หย่า พี่น้องของข้าผู้นี้มีความรู้กว้างขวาง จัดการเรื่องราวได้อย่างสัตบุรุษ ข้าน้อยคิดว่าหากแม่นางท่านนั้นมาเป็นศิษย์ของเขา ย่อมดีกว่าติดตามแม่นางมั่วมากนัก”

มั่วชิงเฉินตอบอย่างราบเรียบ “ดีหรือไม่ดี ข้าน้อยรู้อยู่แก่ใจ ไม่ต้องให้จอมพลไป๋ซิงต้องลำบากหรอก”

บางทีความรู้ของนางอาจจะเทียบกับอาจารย์หย่าไม่ได้ แต่วันข้างหน้ายังต้องอยู่ที่แดนผีอีกนาน ประสบการณ์ย่อมต้องเพิ่มขึ้น

นำท่านอาหกไปมอบให้คนแปลกหน้า นางไม่อาจวางใจได้

ท่านอาหกเป็นสตรี สติสัมปชัญญะยังไม่ชัดเจน และยังมีร่างห้าวิญญาณที่ทำให้ผู้คนน้ำลายสอ ติดตามอาจารย์หย่าไป ต่อให้เขาไม่มีเจตนาอื่น ก็รับประกันคนอื่นได้ยาก

ถึงอย่างไรนางก็ต้องพักอยู่ที่แดนผีอีกนาน พาท่านอาหกไปด้วยตนเองจะดีกว่า

มั่วชิงเฉินปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ทำให้ไป๋ซิงรู้สึกโมโหอยู่บ้าง จึงเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม “เหตุใดแม่นางมั่วต้องตัดบัวไม่เหลือใยเช่นนี้ ในเมืองเซียวเหยานี้ ไม่ได้มีแค่อาจารย์ผีอย่างพวกเราสองคน”

“จอมพลไป๋ซิงกำลังขู่ข้าหรือ” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว

บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง อยู่ๆ มั่วชิงเฉินก็รู้สึกว่า นางยิ่งชอบการทะเลาะเบาะแว้งขึ้นเรื่อยๆ

การต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ความรู้สึกสบายอกสบายใจประเภทนั้นทำให้เลือดลมของนางสูบฉีด

อืม งานอดิเรกเช่นนี้…ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยดีนัก…

ไป๋ซิงพลันตกตะลึงไปเล็กน้อย ผู้ใดบอกเขาได้บ้าง สตรีที่มีแววตาเปล่งประกายผู้นี้ กำลังแสดงออกว่าพร้อมรบหรือ

หรือนางไม่รู้ว่า นี่คือจวนของอาจารย์หย่า

ชั่วพริบตานั้น คาดไม่ถึงว่าเขาจะคิดหมายจะสั่งสองคนตรงหน้าสักตั้ง

ยามนี้พลันมีเสียงดังขึ้น “น้องสาว เจ้ามาแล้ว คนเหล่านี้ บังคับจับตัวข้ามา!”

หลิงเฟิงพาพวกถังมู่เฉินทั้งสามคนเข้ามา ถังมู่เฉินพลันวิ่งไปหามั่วชิงเฉิน

มั่วต้าเหนียนชักเท้ากลับมา ขบคิดว่าในใจว่าเจ้าสารเลวนี้คือผู้ใดกันแน่ เหตุใดถึงวิ่งไปหาหลานสาวของเขา

หรือว่า จะเป็นหลานเขยผู้นั้นที่นางหนูพูดถึง

ไอ้หยา เหลือเชื่อจริงๆ คาดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะยอมตายเพื่อความรัก ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ…

ชั่วครู่สายตาที่มั่วต้าเหยียนมองถังมู่เฉินพลันเปลี่ยนเป็นร้อนแรง

คำว่า ‘บังคับจับตัวข้ามา’ ของถังมู่เฉินนั้น ทำให้อาจารย์หย่าและไป่ซิงมีสีหน้าดำคล้ำในชั่วพริบตา

เดิมทีไป๋ซิงก็ถูกคำพูดของมั่วชิงเฉินทำให้โกรธเกรี้ยวอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเช่นนี้พลันหัวเราะขณะเอ่ย “ข้าน้อยพูดความจริง การบังคับจับตัวมาอะไรนั่น ช่างน่าขัน…”

ยังไม่ทันได้เอ่ยจบ ก็เห็นเงาร่างคนสว่างวาบ เสียงแหบชราดังขึ้น “พอแล้ว พวกเจ้าค่อยๆ คุยกัน เจ้าเด็กนี้ ผู้แก่ขอฉกไปแล้วกัน”

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนั้นตบหน้าไป๋ซิงเข้าอย่างจัง เขาแทบจะกระโจนออกไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด สำแดงศาสตราผีออกมา “ปล่อยคนมา!”

เสียงตึงตังดังขึ้น ศาสตราผีตกลงสู่พื้น

ไป๋ซิงและอาจารย์หย่าพลันตกตะลึง มองชายชราผมยาวที่หยุดนิ่งพลางเอ่ยว่า “เจ้าเป็นใคร”

ตั้งแต่เข้ามา ชายชราผู้นี้ก็เอาแต่ยืนเงียบอยู่ด้านหลังมั่วชิงเฉิน พวกเขาล้วนมองข้ามไป

“นี่ๆ ตาเฒ่า รีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!” ถังมู่เฉินออกแรงสะบัดมือ

ชายชราผมขาวมองอาจารย์ผีทั้งสองตนด้วยรอยยิ้ม “เด็กสองคนนี้ตาไร้แววจริงๆ มิน่าเล่าถึงจับคนมามั่วซั่ว”

ไป๋ซิงและอาจารย์หย่าพลันหน้าเปลี่ยนสี

อาจารย์หย่าพิจารณาชายชราแวบหนึ่งอย่างละเอียด แววตาพลันฉายประกายตกตะลึง ถลกชุดขึ้นแล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “ผู้น้อยคารวะราชันฉินก่วง”

เมื่อเอ่ยคำนี้ออกไป ทั้งห้องก็ตกอยู่ในสภาวะตกตะลึง พากันคุกเข่าแสดงความเคารพ

ราชันผี นั่นก็เท่ากับการดำรงอยู่ในตำนาน

มั่วชิงเฉินพลันรู้สึกหัวใจบีบรัด นางเดาออกว่าชายชราผู้นี้คือราชันผี แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นราชันฉินก่วง

เมื่อมีคนอย่างอาจารย์ชิงหยวนอยู่ใต้บังคับบัญชา ราชันฉินก่วงก็ไม่ควรจะมีรูปลักษณ์ภายนอกเช่นนี้!

นี่ นี่มันไม่สมเหตุสมผล!

มั่วชิงเฉินอุทานออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง เหลือบตามองถังมู่เฉินแวบหนึ่งแล้วก็เกิดสำนึกขึ้นมาได้

มิน่าล่ะ ผู้นำพาหายนะอย่างพี่ใหญ่มาเยือนนี่เนอะ ได้พบเรื่องราวโชคร้ายเช่นนี้ก็ไม่น่าแปลกใจ

มั่วชิงเฉินพลันสงบนิ่งขึ้นอย่างกะทันหัน

ราชันฉินก่วงยังคงไว้ซึ่งท่าทีแบบเดิม พลันโบกมือ “ลุกขึ้นเถิดๆ เกลียดเวลาที่พวกเจ้าคุกเข่าที่สุดแล้ว”

มั่วชิงเฉินฉีกยิ้มพลางขบคิดในใจว่า ยังดีที่ตนไม่ได้คุกเข่า ลงแรงแต่ประจบไม่ได้

เหลือบเห็นรอยยิ้มของมั่วชิงเฉิน ราชันฉินก่วงพลันสะบัดแขนเสื้อ

ลมยะเยือกโจมตีเข้ามา มั่วชิงเฉินพลันเข่าอ่อน คุกเข่าลงไป

ราชันฉินก่วงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “รู้ฐานะของข้าแล้วยังไม่คุกเข่า ข้ายิ่งเกลียด หรือว่าไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา”

มั่วชิงเฉินพูดไม่ออก…

ทุกคนก็เช่นกัน…

“ช่างเถิด เจ้าไป๋น้อยหย่าน้อย หาห้องให้ข้าห้องหนึ่ง เอาอาหารและสุรามา ข้าอยากคุยกับพวกเขาสองคน” ราชันฉินก่วงพูดไปพลางยื่นมือออกมาลากมั่วชิงเฉินไป

“ขอรับ!” อาจารย์หย่าและไป๋ซิงมีเส้นเอ็นสีเขียวปูดออกมาที่หน้าผาก แทบจะหนีออกไปอย่างลนลาน

“พี่เย่ว์เจ๋อ ท่านว่า เขาจะฆ่าปิดปากที่พวกเราเรียกว่าผีน้อยหรือไม่” ไป๋ซิงเอ่ยด้วยสีหน้าดำคล้ำ

อาจารย์หย่าพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าขอไตร่ตรองก่อน”

หลิงเฟิงที่ตามอยู่ด้านหลังซวนเซจนเกือบจะล้มตึงลงไป

ภายในห้องห้องหนึ่ง อาหารอันโอชะถูกวางอยู่เต็มโต๊ะ ราชันฉินก่วงกินจนถ้วยชามระเกะระกะไปหมด ได้ยินถังมู่เฉินเอ่ยจบ ก็เช็ดมือแล้วเอ่ยว่า “ข้าว่าแล้ว ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”

“ใช่ๆ ผู้เฒ่าอย่างท่านก็รู้ดี อย่าตอแยข้าเลย” ถังมู่เฉินมีน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลง

พูดความจริงต่อหน้าราชันผี ไม่มีแรงกดดันเลยสักนิด ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดปัญหา

ราชันฉินก่วงแคะฟัน ฉีกยิ้มขณะเอ่ย “เด็กน้อยเอ๋ย ในเมื่อได้พบข้าแล้ว เจ้าก็อย่ากลับไปเลย มาเป็นศิษย์ของข้าเป็นอย่างไร เจ้ามีคุณสมบัติพิเศษ ให้ข้าสั่งสอน ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นจักรพรรดิคนแรกที่ปกครองแดนมนุษย์และแดนผีก็เป็นได้นะ!”

ตั้งแต่ที่เส้นทางระหว่างแดนมนุษย์และแดนผีตัดขาดกัน เกรงว่าต่อให้มีพลังยุทธ์ระดับราชันผีก็ไม่อาจเข้าไปในแดนมนุษย์ได้ เจ้าเด็กนี้เชื่อมหยินหยางของทั้งสองแดนได้ ช่างเป็นของล้ำค่าจริงๆ!

ไม่แน่ว่าวันข้างหน้าผู้ที่จะรับตำแหน่งเชื่อมทั้งสองยุทธภพ อาจจะเป็นเขาก็ได้

ถังมู่เฉินตกใจจนหน้าซีด พลางส่านยศีรษะ “ไม่ได้ๆ ต่อให้ตีข้าให้ตายข้าก็ไม่อยู่!”

ราชันฉินก่วงถลึงตา “ตีเจ้าให้ตาย เจ้าไม่อยู่ก็ต้องอยู่”

หากไม่ใช่เพราะกายเนื้อของเขาเป็นร่างครึ่งหยินครึ่งหยาง ล้ำค่าหาที่เปรียบมิได้ อยากรั้งเขาไว้ คงตบให้ตายไปตั้งนานแล้ว

“ใต้เท้าราชันผีโปรดเข้าใจเถิด ข้าน้อยยังมีภรรยาผู้งดงามอยู่ในแดนมนุษย์ หากข้าไม่กลับไป ภรรยาของข้าก็เป็นม่าย…” ถังมู่เฉินขอร้องอย่างขมขื่น เมื่อเห็นว่าราชันฉินก่วงไม่มีการเคลื่อนไหว ก็คว้าแขนของมั่วชิงเฉิน “น้องสาว เจ้าขอความเมตตาให้พี่ใหญ่เร็ว พี่ใหญ่มาที่นี่ก็เพราะจะพาเจ้ากลับไป ไม่อาจปล่อยให้ตนเองกลายเป็นซาลาเปาเนื้อเขวี้ยงสุนัขที่ไปแล้วไม่มีวันกลับนะ!”

มั่วชิงเฉินฟังคำพูดของถังมู่เฉิน ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดราวกับพลิกมหาสมุทร

เมื่อคิดถึงศิษย์พี่ที่แผดเผาจิตวิญญาณดั้งเดิมเพื่อตัวเอง อดทนต่อความเจ็บปวด ต่อให้กลับไปทันเวลา จิตวิญญาณดั้งเดิมของท่านพี่ก็จะได้รับความเสียหายจนเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แม้กระทั่งอาจจะอันตรายถึงจิตวิญญาณแตกสลาย นางพลันรู้สึกโกรธแค้นตนเอง

หากรู้เช่นนี้ก่อน ตอนนั้นที่ดวลกับเจ้าปีศาจ ไม่สู้ระเบิดตันเถียนของตนเองจะดีกว่า ทั้งสามารถทำให้จิตวิญญาณที่ไม่มั่นคงของเจ้าปีศาจได้รับความเสียหาย และยังไม่ต้องทิ้งความคิดถึงเอาไว้ ทำให้ศิษย์พี่และท่านอาจารย์ต้องได้รับความเจ็บปวด

“ผู้อาวุโสราชันผี ขอท่านโปรดปล่อยชนรุ่นหลังและพี่ใหญ่กลับไปเถิด” มั่วชิงเฉินยืนขึ้น แล้วคุกเข่าลงอย่างเชื่องช้า

ราชันฉินก่วงหุบยิ้ม แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ “แม่นางน้อย เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาขอร้องข้า”

มั่วชิงเฉินก้มหน้า คุกเข่าอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นพ่นคำพูดออกมา “ลิขิตฟ้า”

ราชันฉินก่วงพลันตกตะลึง

มั่วชิงเฉินเอ่ยต่อ “ชนรุ่นหลังใช้เส้นลิขิตฟ้าเส้นหนึ่ง ขอให้ท่านอาวุดสปล่อยพวกเราพี่น้องกลับไป นอกจากนี้ ชนรุ่นหลังก็ไม่มีสิ่งใดจะขอร้องอีก”

ราชันฉินก่วงเงียบไปนานชั่วครู่ก็สะบัดแขนเสื้อ “ช่างเป็นเด็กที่ฉลาดนัก ช่างเถิดๆ ข้าจะปล่อยพวกเจ้ากลับไป”

มั่วชิงเฉินดีอกดีใจ “ขอบพระคุณท่านอาวุโส”

ร่างกายกลับอ่อนยวบไปเล็กน้อย นางเดิมพันถูกต้องแล้ว

เมื่ออยู่ในระดับราชันผีนั้น นางอาจจะโน้มน้าวเขาได้ ด้วยสองคำนี้

“แม่นางน้อย เช่นนั้นเจ้าคิดหรือยังว่าจะให้ญาติทั้งสองของเจ้าอยู่ในแดนผีอย่างไร”