ตอนที่ 187 เขาเป็นพี่ชายของฉันเสี่ยวหน่าย

ระบบอัจฉริยะที่ไม่มีใครเสมอเหมือน

ในคืนของวันที่ห้า เสี่ยวหลัวได้รับโทรศัพท์จากสถานีตำรวจหมู่บ้านหลี่เหริน ที่อยู่ในเขตกวงหมิง แจ้งให้เขาไปรายงานตัวที่สถานีในเวลา 8.00 น. ของวันรุ่งขึ้น เสี่ยวหลัวจะต้องเข้าร่วมการตรวจสุขภาพ และเริ่มโครงการฝึกอบรมพิเศษควบคู่ไปกับตำรวจอาสาคนอื่นๆ โปรแกรมการฝึกพิเศษจะใช้เวลาครึ่งเดือน และกิจกรรมทั้งหมดก็จะดำเนินการที่ฐานการฝึกอบรมของสถานี และผู้เข้ารับการฝึกอบรมทุกคนก็จะถูกแยกออกจากการสื่อสารกับโลกภายนอกทั้งหมด

ยุ่งยากจังแหะ!

เสี่ยวหลัวขมวดคิ้ว ในตอนแรกเขาคิดว่า เขาจะสามารถรับบทบาทนี้ได้ในทันที หลังจากที่ตรวจสุขภาพเสร็จ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะคิดน้อยมากเกินไปหน่อย

แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ การจัดการกับแก๊งมังกรมันไม่ได้หมายถึงการฆ่าสมาชิกทั้งหมดของพวกเขา เขาจะกลายเป็นเป้าหมายหลักของรัฐบาลจีนหากเขาทำเช่นนั้น เสี่ยวหลัวเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า เป้าหมายของเขาก็คือการทำลายธุรกิจทั้งหมดของแก๊งมังกรให้หายไปโดยสิ้นเชิง!

ค่ำคืนที่เงียบสงบผ่านพ้นไป …

เสี่ยวหลัวตื่นขึ้นมาตอนตี 5 พร้อมกับเก็บเสื้อผ้าทั้งหมดของเขา และออกเดินทางไปยังสถานีตำรวจในเขตกวงหมิง

เมื่อเวลา 7 โมงเช้า เสี่ยวหลัวก็มาถึงยังสถานีตำรวจ หลังจากกินอาหารเช้าที่แผงขายของริมถนนแล้ว เสี่ยวหลัวก็เดินเข้าไปในสถานีตำรวจ ในบริเวณสถานีตำรวจเสี่ยวหลัวได้เห็นตำรวจอาสาหลายคนที่มาเข้าร่วมการตรวจสุขภาพและการฝึกอบรมพิเศษเช่นเขา มันมีทั้งผู้ชายผู้และหญิงรวมกันอยู่ประมาณ 20 คน เมื่อมาถึงพวกเขาจะต้องเซ็นชื่อและส่งอุปกรณ์สื่อสารและของใช้ส่วนตัวทั้งหมดไปให้กับตำรวจที่รับหน้าที่

เจ้าหน้าที่สองคนที่อยู่ในชุดเครื่องแบบของตำรวจ ยืนอยู่บนขั้นบันได พวกเขาก้มลงมองดูนาฬิกาของพวกเขาเป็นระยะๆ พร้อมกับนับจำนวนคนที่มาถึง

“ยังขาดอีกกี่คน”

“อีกหนึ่ง”

“แปดโมงหรือยัง”

“ยังเหลือเวลาอีกนิดหน่อย”

“หลังแปดโมง คนที่มาไม่ถึงจะถูกคัดออก คนที่ไม่มีความตรงต่อเวลา คนแบบนี้ไม่เหมาะที่จะอยู่ในกองกำลังของตำรวจของเรา”

ตำรวจทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอย่างจริงจัง และทุกคนก็ได้ยินกันอย่างชัดเจน พวกเขาต่างพากันแสดงความเห็นใจต่อชายผู้โชคร้ายที่ยังมาไม่ถึง ชายคนนั้นผ่านขั้นตอนมามากมาย และตอนนี้ชายคนนั้นก็กำลังจะสูญเสียคุณสมบัติในการเป็นตำรวจอาสาเพราะว่าเขานั้นมาสาย ชายคนนั้นจะต้องเสียใจจนใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างแน่นอนเมื่อเขารู้อย่างนี้

“พี่ชายมาจากที่ไหน? แล้วพี่ชายชื่ออะไรเหรอ?”

“สวัสดีสาวสวย พวกคุณทั้งสองมาด้วยกันหรือเปล่า? คุณชื่ออะไร? มาทำความรู้จักกันเถอะ หลังจากนี้พวกเราจะกลายเป็นเพื่อนร่วมงานกัน”

……

พวกเขาใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ ทำความรู้จักกับคนอื่น

“อะแฮ่ม…เอาล่ะหมดเวลาแล้ว พวกนายตามฉันมา…”

เมื่อถึงเวลาแปดโมง เจ้าหน้าที่วัยกลางคนที่มีกรามสี่เหลี่ยม ก็ไอแห้งขึ้นมาพร้อมกับพูด แต่เขาก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงที่ดังเหมือนเป็ดตัวผู้

“รอเดี๋ยวก่อน มีฉันด้วยอีกคน!”

ชายที่มีใบหน้ากลม และมีส่วนสูงโดยเฉลี่ย เขามีแก้มอันอวบอ้วนและมีใบหูขนาดใหญ่ วิ่งเข้ามาจากทางเข้าสถานีโดยสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวไซส์ใหญ่และกางเกงยีนส์ทรงบู้ท เขาหอบหายใจอย่างหนักและมีเหงื่อไหลออกมา

เหลยเฟิง?!

เสี่ยวหลัวสะดุ้ง ชายคนนี้เป็นคนเดียวกับที่ส่งเขาไปโรงพยาบาลเมื่อสองสามวันก่อน เหลยเฟิง! ดูเหมือนว่าเมืองเจียงเฉิง นี้มันจะเล็กมาก จนทำให้ทั้งสองได้มาพบกันอีกครั้งในเวลาไม่นานเช่นนี้ ในตอนแรกเสี่ยวหลัวคิดจะค้นหาเขาผ่านทางคอนเนกชั่น เพื่อที่จะขอบคุณเขาอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าตอนนี้มันจะไม่จำเป็นแล้ว

“คุณคือใคร?”

เจ้าหน้าที่ที่มีกรามเหลี่ยมมองสำรวจตัวของเหลยเฟิงขึ้นลง และถามคำถามออกมา

เหลยเฟิง ตะเบ๊ะพร้อมกับกล่าวรายงานต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในทันที “ผมชื่อ เหลยเฟิง เป็นตำรวจอาสา ที่มาเข้ารับการตรวจสุขภาพและการฝึกอบรมพิเศษ”

“เขาคือตำรวจอาสาที่สมัครเข้ามาจริงๆงั้นเหรอ?”

เจ้าหน้าที่ที่มีกรามสี่เหลี่ยม ชี้ไปที่ เหลยเฟิง พร้อมกับมองไปที่เจ้าหน้าที่อีกคนอย่างสงสัย

เจ้าหน้าที่อีกคนดูรายชื่อแล้วพยักหน้า“ชื่อของเขาอยู่ในรายชื่อที่มาสมัครจริงๆ”

จากนั้นเขาก็หยิบประวัติย่อของ เหลยเฟิง ออกมาส่งต่อไปให้กับเจ้าหน้าที่ที่มีกรามสี่เหลี่ยม หลังจากที่เจ้าหน้าที่ที่มีกรามสี่เหลี่ยมเปรียบเทียบภาพถ่ายในประวัติย่อของ เหลยเฟิง กับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาก็ขมวดคิ้วในทันที“ทำไมรูปถ่ายของคุณ มันถึงไม่เหมือนกับคุณเลย?”

“โอ้ใช่แล้ว นั่นเป็นเพราะว่าฉันไม่ได้ยิ้ม ถ้าฉันยิ้มมันจะเหมือนกันกับในภาพเลย”

เหลยเฟิง ยิ้มออกมาในทันที ดวงตาของเขาหรี่แคบลงจนเป็นเส้นสองเส้น เหมือนกับพระพุทธเจ้าทรงโปรด

“แต่นี่…มันก็ไม่เหมือนกันอยู่ดี ผู้ชายในรูปไม่ได้ดูเป็นผู้ใหญ่เหมือนกับคุณ” เจ้าหน้าที่ที่มีกรามเหลี่ยมยังคงไม่มั่นใจ

เหลยเฟิง พูดอธิบายออกมาอย่างรวดเร็วว่า“ถึงแม้ว่าฉันจะดูแก่กว่าในรูป แต่ข้อมูลของฉันเป็นของจริงโดยเฉพาะกับรูปถ่ายของฉัน มันเป็นฉัน 100% ฉันแต่งภาพนี้ด้วยแอพ MeituPic มากับมือ ฉันปรับแค่ให้ผิวเรียบเนียนและเพิ่มฟิลเตอร์สีม่วงแดงเพื่อให้รูปลักษณ์ของฉันดูเข้ากับอายุจริงของฉันมากขึ้นก็เท่านั้นเอง”

“คิคิ”

ผู้หญิงคนหนึ่งไม่สามารถอดกลั้นเสียงหัวเราะของตัวเองได้อีกต่อไป เธอพูดออกมาว่า“คุณลุง คุณลุงแน่ใจนะว่า คุณลุงมาที่นี่เพื่อมาเป็นตำรวจอาสา ไม่ใช่มาเป็นนักแสดงตลก”

ประโยคพวกนี้ มันทำให้ทุกคนรู้สึกขบขันในทันที และมันก็ทำให้พวกเขาหัวเราะออกมา

เหลยเฟิง รู้สึกรำคาญเป็นอย่างมาก ที่เขาจะต้องเผชิญกับสิ่งเดิมๆแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาหยิบบัตรประจำตัวประชาชนออกมา และพูดกับฝูงชนอย่างจริงจังว่า“ฉันอายุแค่ยี่สิบสองปี ฉันไม่ใช่ลุง ฉันยังเป็นเด็กอยู่!”

ฝูงชนหัวเราะเสียงดังขึ้น แม้แต่เจ้าหน้าที่ที่มีกรามเหลี่ยม ที่ทำหน้าเคร่งเครียดมาตลอดก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นเขาก็กลับมาสงบสติอารมณ์ได้ในทันที และตะโกนว่า“พอแล้ว หยุดหัวเราะได้แล้ว พวกคุณทุกคนต่อจากนี้จะเป็นเพื่อนร่วมงานกันในอนาคต การล้อเลียนเพื่อนร่วมงาน มันไม่ใช่เรื่องที่ควรทำเลย”

เหลยเฟิง รู้สึกซาบซึ้งจนแทบจะร้องไร เขาคิดว่า“ชายคนนี้ช่างเป็นตำรวจที่ดีของสังคมจริงๆ! ที่เขารู้ว่าอะไรถูกต้อง!”

“เหลยเฟิง ไปเข้าแถว!” เจ้าหน้าที่ที่มีกรามสี่เหลี่ยม ตะโกนใส่เขา

“ครับผม!”

เหลยเฟิง วิ่งเข้าไปต่อที่สุดท้ายของแถวแรกในทันที

ทันทีที่เขาเข้าสู่ตำแหน่ง เขาก็ร้องเสียงหลงออกมาด้วยความสับสน จากนั้นเขาก็กระตุกแขนของเสี่ยวหลัวที่อยู่ข้างหน้าเขา พร้อมกับพูดว่า“พี่ชาย ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่? เดี๋ยวก่อนนะทำไมคุณถึงได้ออกมาจากโรงพยาบาลเร็วขนาดนี้? เมื่อสองสามวันก่อน คุณยังถูกห่อเป็นมัมมี่อยู่เลย”

“คุณรู้ได้ยังไง ว่าพี่ชายของฉันกำลังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล?” เสี่ยวหลัว หันกลับมาและถามด้วยความรู้สึกประหลาดใจ

“พี่ชายของคุณ?” เหลยเฟิง รู้สึกสับสน พร้อมกับคิดว่า“พวกเขาไม่ใช่คนเดียวกันงั้นเหรอ?”

“คนในโรงพยาบาลคือเสี่ยวหน่ายพี่ชายของฉัน ส่วนฉันชื่อเสี่ยวหลัว” เสี่ยวหลัว พูดตอบด้วยรอยยิ้ม

เหลยเฟิง ส่ายหัวอย่างแน่วแน่:“ไม่ใช่สิ ตอนนั้นที่ตำรวจถามเขา ครั้งสุดท้ายเขายังเรียกตัวเองว่าเสี่ยวหลัว อยู่เลยไม่ใช่ เสี่ยวหน่าย ซักหน่อย”

เสี่ยวหลัวถอนหายใจออกมา พร้อมกับชี้ไปที่หัวของเขาและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า“อุบัติเหตุทางรถยนต์มันคงจะทำให้ เขาสับสนที่ตรงนี้ เพราะว่าชื่อของเขาและของฉันมันคล้ายๆกัน”

โอ้!

เหลยเฟิง พยักหน้ารับทราบคำอธิบาย อย่างงี้นี่เองปรากฏว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน นี่ก็คงจะอธิบายได้แล้วว่าทำไมพวกเขาถึงดูคล้ายกัน จากนั้นเขาถามด้วยความกังวลว่า“พี่ชายของคุณสบายดีไหม”

“เขาสบายดี เขาถูกย้ายไปโรงพยาบาลอื่นในเมืองอื่นแล้ว และเขาก็น่าจะฟื้นตัวได้ในเวลาไม่เกินสองเดือนนี้” เสี่ยวหลัว กล่าว

“เยี่ยมมาก” เหลยเฟิง ถอนหายใจอย่างโล่งอก

เสี่ยวหลัว ยื่นมือออกมาจับมือของเหลยเฟิง“สวัสดีพี่เฟิง ฉันชื่อเสี่ยวหลัว อายุครบยี่สิบปีนี้”

เหลยเฟิง ดูเหมือนกับชายวัยกลางคนสำหรับ เสี่ยวหลัว ไม่ว่าเขาจะมองจากมุมไหน ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเรียกตัวเองว่าพี่ได้ และนอกจากนี้ เหลยเฟิง ก็ยังได้ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ มันจึงเหมาะสมแล้วที่ เสี่ยวหลัว จะเรียกเขาว่า ‘พี่ชาย’ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวหลัว ก็ยังได้เน้นย้ำว่าเขาอายุ 20 ปีเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ เหลยเฟิง ทำตัวเหมือนกับเด็กน้อยต่อหน้าเขา

“ยินดีที่ได้รู้จัก” เหลยเฟิง หัวเราะออกมา

“โอ้ใช่แล้ว พี่เฟิง พี่รู้ได้อย่างไรว่าพี่ชายของฉันอยู่ที่โรงพยาบาล? พี่รู้จักกับพี่ชายของฉันงั้นเหรอ?” เสี่ยวหลัว ถาม

“อ่า…..,มันเป็นเพราะ…”

เหลยเฟิง ที่กำลังจะบอกความจริงกับเขา แต่เสียงของเขาก็หยุดลงอย่างกะทันหัน เพราะเขาดันไปนึกถึงประโยคหนึ่งที่พูดว่า ‘ทำความดีโดยไม่ทิ้งชื่อ’ จากนั้นเขาก็แสดงตนว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโลกออกมา“พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่าพูด อย่าพูด ฮิฮิ…”

เสี่ยวหลัวแทบอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เขาทำได้เพียงแค่ยิ้ม แต่ไหล่ทั้งสองข้างของเขามันยังคงสั่นระริกอยู่