ภาค 3 บทที่ 185 วีรบุรุษยากเป็น

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เมืองหลวงอลหม่าน ทหารองครักษ์ เจ้าพนักงานวิ่งเร็วรี่บนท้องถนน 

 

 

องครักษ์เสื้อแพรกองแล้วกองเล่าก็วิ่งจี๋ไปทั่วทุกสารทิศเช่นกัน 

 

 

ประชาชนที่มองเห็นภาพนี้พากันหน้าถอดสี 

 

 

แม้ข่าวทางการทหารจะเก็บเป็นความลับ แต่ในเมืองหลวงแห่งนี้มีเรื่องอันใดเก็บเป็นความลับอย่างแท้จริงได้ สถานการณ์แดนเหนือวันนี้ ชาวบ้านเมืองหลวงรู้ชัดเสียยิ่งกว่าทางการ 

 

 

“เกิดอะไรขึ้น? ไม่ใช่ชาวจินบุกมาถึงเมืองหลวงแล้วหรอกนะ?” 

 

 

“ไม่ใช่เพิ่งถึงเมืองไคเต๋อหรือ?” 

 

 

“นั่นใครพูดแน่ได้เล่า” 

 

 

“รีบเก็บของหนีเถอะ” 

 

 

วันนี้หัวใจคนหวาดหวั่น ข่าวนี้ประหนึ่งไฟลามทุ่งทันที เมืองหลวงทั้งหมดโกลาหลขึ้นมา ฉับพลันอลหม่าน คนทั้งหมดล้วนแห่ไปนอกเมืองทันที ทำทางการตกใจสะดุ้งโหยงอีกครั้ง 

 

 

“ไม่ใช่ชาวจินบุกมา เป็นม้าของโรงเลี้ยงม้ากรมปศุสัตว์หนีไปแล้ว” 

 

 

คนของกรมทหารม้าห้าเมืองไม่อาจไม่อธิบายปลอบประโลมไปทุกที่ 

 

 

ม้าหนีต้องเล่นใหญ่ปานนี้เชียวรึ? อย่าเห็นพวกเราเป็นคนโง่นะ ชาวบ้านทั้งหลายไหนเลยจะยอมเชื่อ เกิดเหตุการณ์แห่ไปที่ประตูเมืองติดกันหลายครั้ง 

 

 

ชั่วขณะหนึ่งด้านในด้านนอกเมืองหลวงอลหม่าน คิดว่าชาวจินบุกมาก็คงไม่พ้นเช่นนี้ 

 

 

“ยังวุ่นวายไม่พอ! ยังรังเกียจวุ่นวายไม่พอใช่หรือไม่?” 

 

 

ฮ่องเต้พิโรธจนพลิกโต๊ะ ชี้ขุนนางในห้อง 

 

 

“พวกเจ้าล้วนเป็นตัวไร้ประโยชน์ ล้วนเป็นตัวไร้ประโยชน์” 

 

 

ขุนนางเต็มห้องคุกเข่ากล่าวว่ากระหม่อมมีความผิดอย่างพร้อมเพรียง 

 

 

“ฝ่าบาท ปลอบขวัญประชาชนทั้งหลายแล้วพ่ะย่ะค่ะ อธิบายชัดเจนแล้ว” ขุนนางคนหนึ่งก้าวขึ้นมาเอ่ย “คนที่อาศัยความวุ่นวายก่อเรื่องปลุกปั่นก็จับไว้กลุ่มหนึ่งแล้ว คนที่เจ็บเพราะเบียดเสียดเหยียบกันก็ล้วนจัดการหมดแล้วเช่นกัน” 

 

 

ฮ่องเต้ได้ยินคำพูดนี้กลับไม่เบิกบานใจเท่าใด หางคิ้วกระตุก 

 

 

“จะอธิบายอย่างไร?” พระองค์ตรัสถาม ไม่รอขุนนางคนนั้นตอบก็ตรัสต่อ “ม้าของโรงเลี้ยงม้ากรมปศุสัตว์หนีไปแล้ว แต่คนที่ต้องการไล่ตามไม่ใช่ม้า แต่เป็นบุตรชายเฉิงกั๋วกง” 

 

 

ความจริงก็เป็นเช่นนี้ นอกจากนี้หลังอธิบายเช่นนี้ ได้ยินว่าบุตรชายเฉิงกั๋วกงหนีไปแล้ว ชาวบ้านทั้งหลายถึงกับล้วนเชื่อและสงบลงทันที 

 

 

“ที่แท้ก็บุตรชายเฉิงกั๋วกงนี่เอง” 

 

 

“รู้อยู่แล้วเชียวว่าบุตรชายเฉิงกั๋วกงไม่ก่อเรื่องก็แล้วไป ก่อเรื่องขึ้นมาทั้งเมืองอลหม่าน” 

 

 

ชาวบ้านทั้งหลายพูดคุยหัวเราะไถ่ถามกัน ข่าวก็กระจายไปอย่างว่องไว ถึงขั้นไม่ต้องให้พวกเขาไปเปลืองน้ำลายอธิบาย เหตุการณ์และใจคนก็สงบลงเช่นนี้แล้ว 

 

 

เป็นเรื่องที่ทำให้คนหมดคำพูดจริงๆ ขุนนางลังเลครู่หนึ่งส่งเสียงตอบว่าพ่ะย่ะค่ะ 

 

 

สีหน้าของฮ่องเต้ไม่น่าดูยิ่งนัก 

 

 

“เห็นบุตรชายเฉิงกั๋วกงหนีเช่นนี้ ชาวบ้านทั้งหลายคงดีใจมากล่ะสิ?” พระองค์ตรัส 

 

 

คำพูดนี้ฟังดูแล้วไม่ … ขุนนางอดไม่ได้ยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อ ยังไม่ทันคิดเสร็จว่าจะพูดอย่างไร ฮ่องเต้ด้านนั้นก็เก็บฎีกาเล่มหนึ่งบนพื้นเขวี้ยงลงมา 

 

 

“ตัวไร้ประโยชน์! พวกเจ้าตัวไร้ประโยชน์ฝูงนี้!” พระองค์ตวาดโกรธเกรี้ยว “นักโทษที่ถูกเฝ้าดูคนหนึ่งหนีไปเช่นนี้แล้ว หนีไปใต้หนังตาข้าเช่นนี้แล้ว ก่อเรื่องจนอลหม่าน ตกใจเสียยิ่งกว่าชาวจินบุกเข้ามา นี่จะให้ประชาชนทั้งเมืองหลวงมองข้าเป็นตัวไร้ประโยชน์หรือ?” 

 

 

ขุนนางทั้งหลายโขกศีรษะประสานเสียงอีกครั้ง 

 

 

“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ พวกกระหม่อมผิดไปแล้ว” 

 

 

ฮ่องเต้พิโรธผรุสวาทพรวนหนึ่งถึงหายใจหอบนั่งกลับไปบนบัลลังก์มังกร 

 

 

“ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น? คนมากปานนั้นเฝ้าจูจั้นอยู่ปล่อยให้เขาหนีไปแล้วได้ยังไง? คนตายหมดแล้วรึ?” พระองค์คิ้วตั้งตวาด 

 

 

ขุนนางหลายคนสบตากันทีหนึ่ง ฝืนทำหน้าด้านลุกขึ้นยืน 

 

 

“ไม่ใช่ปัญหาที่คนพ่ะย่ะค่ะ เป็นเขาปล่อยให้ม้าพวกนั้นวิ่งหนีกะทันหัน คนจึงขวางไม่อยู่สักนิด” ขุนนางคนหนึ่งกราบทูล 

 

 

พระขนงของฮ่องเต้กระตุกอีกครั้ง 

 

 

“ความหมายของพวกเจ้าก็คือคนไม่ฟังคำพูดของเขา เดรัจฉานฟังเขา?” พระองค์ตรัส 

 

 

คำพูดนี้ฟังแล้วประหลาดอยู่บ้าง บรรดาขุนนางสบตากันทีหนึ่งแต่ก็คล้ายจะเป็นเช่นนั้น 

 

 

………………………………………. 

 

 

“เขาบอกว่าไปตามม้า แต่ผิวปากตลอดทาง ม้าพวกนั้นก็วิ่งตามเขาไปหมด” 

 

 

“ม้าหลายร้อยตัวนี้กระเจิงเหนือใต้ออกตกรอบด้าน ถึงท้ายที่สุดจึงไม่รู้ว่าเขาหนีไปไหนแล้ว” 

 

 

หัวหน้ากองร้อยเจียงเอ่ยกับลู่อวิ่นฉี บนหน้าเต็มไปด้วเพลิงโทสะ 

 

 

สิ่งใดล้วนคาดไว้แล้ว ก็แค่คาดไม่ถึงว่าเจ้าหนูนี่จะใช้เดรัจฉานมาฉวยโอกาสหนีตอนโกลาหล 

 

 

ภาพม้านับร้อยวิ่งห้อบนถนนใหญ่ตอนนั้นทำให้คนผวาจริงๆ 

 

 

เดรัจฉานเหล่านี้ก็ไม่ใช่คน ไม่เข้าใจอันตรายของหอกดาบคันศรสักนิด ประหนึ่งแม่น้ำไหลเชี่ยวจู่โจมมากวาดม้วนทุกสิ่งที่ขัดขวาง 

 

 

จูจั้นซ่อนร่องรอยในนั้นไม่อาจขวางจริงๆ 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีสีหน้านิ่งสนิท 

 

 

“นี่เป็นความผิดของข้า” เขาเอ่ย พลางควบม้าเลี้ยว “ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาเลี้ยงม้าจะเลี้ยงเดรัจฉานเหล่านี้เป็นเช่นนี้ได้” 

 

 

“ใต้เท้า นี่ไม่ใช่ท่านคิดไม่ถึง ใครก็คิดไม่ถึงขอรับ“ หัวหน้ากองร้อยเจียงยิ้มขมขื่นเอ่ย 

 

 

เขาทำได้อย่างไรกัน? คนผู้นี้ทำไมทำได้เสียทุกอย่าง? นอกจากนี้ยังร้ายกาจปานนี้ 

 

 

ยอมรับว่าอีกฝ่ายร้ายกาจไม่ใช่เรื่งอน่าขายหน้าอะไร คนที่ร้ายกาจในสายตาผู้คนเท่าไร ท้ายที่สุดยามอยู่ในคุกก็แค่นั้น 

 

 

“หนีได้ก็ไม่นับเป็นอะไร รอดได้ถึงนับว่าร้ายกาจ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยเรียบๆ 

 

 

หัวหน้ากองร้อยเจียงเข้าใจความหมายของเขา 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราลงมือนะขอรับ” เขาเอ่ยขอคำสั่ง 

 

 

“ถ่ายทอดคำสั่งไปยังที่ต่างๆ บุตรชายเฉิงกั๋วกงหนีโทษ หากพบเข้าไม่ว่าสถานการณ์อะไร ประหารทันที” ลู่อวิ๋นฉีเอ่อพลางยกมือขึ้น “หนีโทษอีกทั้งแดนเหนือยังวุ่นวายจากสงคราม คนตายสักคนก็ปกติยิ่ง” 

 

 

หัวหน้ากองร้อยเจียงขานรับ 

 

 

คำประกาศนี่ไม่ใช่แค่บอกกับเหล่าขุนนางต้าโจว ยังบอกกับชาวจินที่รุกรานเข้าแดนเหนือมาด้วย จับหรือสังหารบุตรชายคนเดียวของเฉิงกั๋วกงได้ สำหรับชาวจินแล้วสำคัญกว่าโจมตียึดเมืองหลายแห่งมาก พวกเขาถึงขั้นยินดีเอาเมืองหลายแห่งมาแลก 

 

 

ถึงเวลากลัวว่าคงผลัดไม่ถึงพวกเขาลงมือแล้ว 

 

 

ปล่อยให้มีชีวิตอยู่ดีๆ ไม่เอา ถ้าอย่างนั้นก็ไปตายเสียเถอะ 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีควบม้าวิ่งไวว่องไปทางวังหลวง 

 

 

หลังฮ่องเต้ในวังหลวงเขวี้ยงของด่าพักหนึ่งก็ทรงหอบหายใจแล้วเริ่มหลั่งน้ำพระเนตร 

 

 

“ศึกในศึกนอกกรายกร้ำจริงๆ หรือว่าสวรรค์กำลังลงโทษข้า” พระองค์ตรัส 

 

 

ขุนนางทั้งราชสำนักค้อมกายร่วมโศกเศร้าอีกครั้ง 

 

 

“ฝ่าบาท เรื่องนี้ต้องแจ้งเฉิงกั๋วกงทันที” หวงเฉิงที่เงียบไม่ส่งเสียงมาตลอดพลันเอ่ยขึ้น 

 

 

“ข้าย่อมต้องแจ้งเขา” ฮ่องเต้กริ้วตรัส “ดูลูกชายตัวดีที่เขาเลี้ยงสิ” 

 

 

หวงเฉิงค้อมกายคำนับ 

 

 

“อย่างไรก็ขอฝ่าบาทออกคำสั่งให้เฉิงกั๋วกงเคลื่อนทหารกลับมาป้องกันเมืองไคเฟิงอีกครั้งด้วย” เขาเอ่ย 

 

 

“ไม่ใช่เพิ่งมีพระราชโองการรึ? ยังไม่ทันเดินทางไปไกลเท่าไรเลยกระมัง” ฮ่องเต้ตรัสอย่างไม่สบอารมณ์ 

 

 

“วันนี้สถานการณ์วิกฤต ออกพระราชโองการเพิ่มสักหลายหนย่อมแสดงว่าฝ่าบาทไว้วางพระทัยเฉิงกั๋วกง” หวงเฉิงเอ่ย สีหน้าติดจะอ้อนวอน ดูไปแล้วน่าเวทนาสงสาร 

 

 

มองเห็นสภาพนี้ของเขา ฮ่องเต้ก็รู้สึกว่าตนเองน่าเวทนาสงสาร 

 

 

ไว้วางพระทัยอันใด เป็นการอ้อนวอน เป็นพระองค์อ้อนวอนขอร้องเฉิงกั๋วกงรีบนำทหารมาช่วยพระองค์ 

 

 

ฮ่องเต้พระวรกายสั่นเทานิดๆ พระองค์สูดลมหายใจลึกหลายครั้ง 

 

 

“ออกไปอีกครั้งจะพอได้อย่างไร” พระองค์ผ่อนเสียงลงเอ่ยขึ้น “ออกไปอีกสองครั้ง ไม่ สามครั้ง ไม่ สิบครั้ง” 

 

 

………………………………………. 

 

 

“ฝ่าบาท เวลานี้ไม่อาจออกราชโองการให้เฉิงกั๋วกงกลับมาเมืองไคเฟิงได้เด็ดขาด” 

 

 

ในท้องพระโรงเสียงของหนิงเหยียนดังกังวานและหนักแน่น 

 

 

ประโยคนี้เอ่ยมาหลายวันนักแล้ว 

 

 

แต่พระราชโองการก็ยังคงเป็นไปตามรับสั่งของฮ่องเต้ ทยอยหนึ่งวันหนึ่งฉบับส่งไปให้เฉิงกั๋วกงที่แดนเหนือ วันนี้พระราชโองการฉบับที่สิบกำลังส่งไป 

 

 

ฮ่องเต้ออกพระราชโองการจนชาชินแล้ว ฟังก็ชาชินแล้ว 

 

 

“หรือจะมองดูประชาชนเมืองไคเฟิงเดือดร้อนรึ?” พระองค์ตรัส 

 

 

“ฝ่าบาท ทหารกองหนุนจากที่ต่างๆ กำลังจะเร่งเดินทางมาถึงแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เฉิงกั๋วกงบุกฝ่าเดินทางไกลปานนั้นมา ตำแหน่งของเฉิงกั๋วกงสำคัญ สงครามแดนเหนือกำลังตึงเครียด หากเขาขยับ ทั้งแดนเหนือล้วนจะวุ่นวาย คนที่บุกเมืองไคเฟิงอย่างไรก็จำนวนน้อย หากแดนเหนือรักษาไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นโจรจินหลายหมื่นก็จะทะลักเข้ามา…” หนิงเหยียนเอ่ยเสียงรีบร้อน 

 

 

ฮ่องเต้ขัดเขาทันที 

 

 

“ข้าเชื่อมั่นในตัวเฉิงกั๋วกง” พระองค์ตรัส “ข้าเชื่อว่าเขาจะทำเรื่องนี้ให้ดีได้”” 

 

 

ข้าเชื่อว่าเขายังภักดีต่อนายเหนือหัว 

 

 

พระหัตถ์ของฮ่องเต้กำที่วางแขนแน่น 

 

 

หนิงเหยียนยังอยากพูดอะไรอีก นอกประตูเสียงแจ้งข่าวด่วนก็ดังขึ้น 

 

 

“ฝ่าบาท เฉิงกั๋วกงกราบทูลขอไม่กลับมาป้องกัน” 

 

 

พระเนตรของฮ่องเต้นิ่งค้าง 

 

 

ไม่ กลับมาป้องกัน 

 

 

ในท้องพระโรงชะงักนิ่งไปหมดทันที 

 

 

แต่เสียงแจ้งข่าวด่วนยังไม่จบ มีขันทีวิ่งมาจากด้านนอกชูสาสน์ด่วนฉบับหนึ่งขึ้นสูงอีกครั้ง 

 

 

“ฝ่าบาท เฉิงกั๋วกงกราบทูลขอไม่กลับมาป้องกัน” 

 

 

คำกราบทูลของเฉิงกั๋วกงวิ่งรี่มาจากนอกตำหนักดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ตอบรับพระราชโองการที่ออกไปฉบับแล้วฉบับเล่า 

 

 

พระราชโองการเก้าฉบับ กราบทูลปฏิเสธเก้าฉบับ 

 

 

ฮ่องเต้ที่ทรงนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรสีหน้าคล้ำเขียว 

 

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมขอให้ลงโทษเฉิงกั๋วกงจูซานกบฏไม่ภักดี” หวงเฉิงลุกขึ้นยืน ไม่สั่นโงนเงนอีกแล้ว เอ่ยเสียงดัง 

 

 

ขุนนางใหญ่มากกว่าเดิมก้าวตามเขาออกมาด้วย 

 

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมขอให้ลงโทษเฉิงกั๋วกงจูซานกระหายความชอบ” 

 

 

“ฝ่าบาท เฉิงกั๋วกงบ้าระห่ำ” 

 

 

“ฝ่าบาท เฉิงกั๋วกงมีที่พึ่งไม่กลัวเกรง ทำตามอำเภอใจไร้มารยาท” 

 

 

คำกล่าวโทษเสียงแล้วเสียงเล่าดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้ในท้องพระโรง 

 

 

เสียงของหนิงเหยียนที่เดิมทีจะโต้แย้งถูกกลบมิด 

 

 

มีที่พึ่งไม่กลัวเกรง? นี่คือเอ่ยเตือนฮ่องเต้ว่าบุตรชายเฉิงกั๋วกงออกจากเมืองหลวงไปแล้ว ไม่มีเครื่องค้ำประกันอีกแล้วสินะ 

 

 

เรื่องๆ หนึ่ง คนต่างคนก็มีมุมมองต่างกันจริงๆ หนิงอวิ๋นเจาเงยหน้ามองขุนนางใหญ่ทั้งหลายที่คุณธรรมคับอกทุบอกกระทืบเท้า 

 

 

บุตรชายเฉิงกั๋วกงหนีไปแล้ว พวกเขาจึงมองว่าเฉิงกั๋วกงมีที่พึ่งไม่กลัวเกรง ทำไมมองไม่เห็นว่าบุตรชายเฉิงกั๋วกงหนีไปแดนเหนือ มีโทษติดตัวประกาศแจ้งทั่วดินแดน สถานการณ์ที่เขาเป็นอันตรายมากเท่าไร 

 

 

ที่จริงเวลานี้ในฐานะบิดาคนหนึ่ง เฉิงกั๋วกงนำทหารกลับมาป้องกันถึงเป็นสิ่งที่ควรทำที่สุด 

 

 

ต่อให้ไม่ใช่เพื่อชาวบ้านประชาชน ไม่ใช่เพื่อแผ่นดินบ้านเมือง เพื่อบุตรชายของตนเองก็เป็นเรื่องที่เรียบง่ายที่สุดสมควรที่สุด 

 

 

เขากลับมาป้องกัน ทั้งทำตามพระราชโองการของฮ่องเต้ ทั้งช่วยบุตรชายที่ตกอยู่ในอันตรายได้ นี่ถึงเป็นการกระทำยิงทีเดียวได้นกสองตัว 

 

 

แต่เขาไม่ได้ทำ เขามองไม่เห็นบุตรชายของตนเองตกอยู่ในอันตราย เขาเห็นเพียงหากเขากลับมาป้องกันจะทำให้แดนเหนือโกลาหลครั้งใหญ่ จะทำร้ายชาวบ้านประชาชนที่แดนเหนือ จะทำลายแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอน 

 

 

สาส์นปฏิเสธรับราชโองการฉบับแล้วฉบับเล่าของเฉิงกั๋วกงเหล่านี้ ดูแล้วเหมือนเป็นการขัดพระประสงค์เจ้าแผ่นดินฝืนต่อต้านราชโองการ ที่จริงเขากำลังปฏิเสธเรื่องที่บิดาคนหนึ่งควรทำ  

 

 

“เป็นวีรบุรุษ ไม่ง่ายเลยนะ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยพึมพำ