Sign in Buddha’s palm 103 ฉับไว

 

 

“คัมภีร์ทานตะวัน?”

 

ความคิดของซูฉินผันผวน ท่าทีของเขาแสดงให้เห็นว่าทำอะไรไม่ค่อยถูก

 

ช่วงแรกๆ ที่เขาอยู่ในวัดเส้าหลิน ซูฉินเคยได้ยินเกี่ยวกับคัมภีร์ทานตะวันที่ทรงพลังจนน่าหวาดกลัวมาบ้าง

 

ความจริงแล้วในแง่มุมอื่นๆ เคล็ดวิชาทานตะวันยอดเยี่ยมกว่าวิทยายุทธส่วนใหญ่ในโลกหล้านี้เสียอีก

 

หากต้องการฝึกเคล็ดวิชานี้

 

ก่อนอื่นต้องอยู่ภายในรั้วในวัง

 

นอกจากนี้ยังมีข้อควรระวังใหญ่ๆ อีกหนึ่งข้อในการฝึกคัมภีร์ทานตะวัน นั่นคือจะต้องสูญเสียร่างกายที่สมบูรณ์ไปตลอดชีวิต นั่นคือจะต้องเป็นขันที

 

ซึ่งนั่นก็คือกรณีเดียวกันกับขันทีชุดม่วงที่อยู่ข้างกายองค์จักรพรรดิถัง

 

แน่นอนถึงแม้จะมีข้อบกพร่องที่ใหญ่ขนาดนี้ แต่คัมภีร์ทานตะวันก็ยังสมกับชื่อที่กล่าวขานว่าเป็นคัมภีร์ที่ทรงพลังจนน่าหวาดกลัว

 

ท้ายที่สุดแล้วจะมีผู้ฝึกยุทธสักกี่คนที่สามารถขึ้นไปแตะขอบเขตยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดได้?

 

แทนที่จะกังวลเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ พวกเขาเอาเวลาไปฝึกฝนบ่มเพาะต่อไม่ดีกว่าหรือ

 

“น่าเสียดาย…”

 

“เหมือนข้าเสียโอกาสในการลงชื่อเข้าใช้ครั้งหนึ่งไปเลย…”

 

ซูฉินส่ายศีรษะ รู้สึกเสียใจอยู่เล็กๆ

 

หากนับโอกาสในการลงชื่อเข้าใช้วันละครั้งที่เหลืออยู่ตลอดชีวิตอีกเก้าร้อยเจ็ดสิบปี เขาสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้ไม่ถึงสี่แสนครั้งเท่านั้นเอง

 

เสียโอกาสไปตั้งหนึ่งครั้ง

 

“อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าข้าจะไม่สามารถใช้คัมภีร์ทานตะวันเล่มนี้ได้ แต่มันก็มีข้อดีต่อการโคจรกำลังภายในของอิสตรี…”

 

ซูฉินมีวิสัยทัศน์เช่นไรกัน?

 

ด้วยระดับในปัจจุบันของเขา ไม่รู้ว่าเหนือกว่าผู้ที่เขียนคัมภีร์ทานตะวันไปมากเท่าไหร่แล้ว เพียงแค่เหลือบมองก็สังเกตเห็นถึงแก่นของวิชาทานตะวันเรียบร้อยแล้ว

 

“ไม่เลวไม่เลว”

 

“สุดท้ายแล้วก็ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรกลับมาเลย”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยและเตรียมกลับไปยังตำหนักชุนฝั่งขวา

 

หลายวันต่อมา ซูฉินรู้สึกได้ถึงองค์ยูไลทองคำที่ระหว่างคิ้วของเขาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่สืบทอดวิชาฝ่ามือยูไล

 

แสงจันทร์สาดส่องลงมา

 

ขณะที่ซูฉินกำลังนั่งขัดสมาธิ

 

“ฝ่ามือยูไลมีทั้งหมดเก้ารูปแบบ ตอนนี้ข้าเข้าใจเพียงหนึ่งรูปแบบเท่านั้น ส่วนอีกแปดอย่างที่เหลือ ข้ายังไม่สามารถเข้าใจมันได้ไปอีกสักพัก”

 

ซูฉินนวดที่หัวคิ้วพลางคิดไปด้วยในใจ

 

ในความจริงซูฉินก็เข้าใจดีว่าองค์ยูไลสีทองที่อยู่กึ่งกลางระหว่างคิ้ว ไม่ได้ตั้งใจจะไม่ถ่ายทอดอีกแปดรูปแบบที่เหลือ

 

แต่ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของซูฉินมาถึงขีดจำกัดแล้วที่จะแบกรับหนึ่งรูปแบบของฝ่ามือยูไล

 

เหมือนกับว่าขวดใบหนึ่งสามารถจุมวลน้ำได้เพียงหนึ่งชาม แล้วต้องการจะยัดน้ำสิบชาม ร้อยชาม จุดจบมีเพียงอย่างเดียวคือขวดแตก

 

“ไม่ต้องรีบ”

 

“ค่อยเป็นค่อยไป”

 

“อย่างไรก็ตามข้อได้เปรียบของข้าก็คือเวลาอยู่แล้ว”

 

ซูฉินไม่ใช่คนโลภมิรู้จักพอ

 

ตอนนี้เขามีเคล็ดวิชามากมายล้นเหลือ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเข้าใจวิชาฝ่ามือยูไลได้ แต่เขาก็ยังสามารถทำความเข้าใจวิชาอื่นได้

 

นอกจากนี้ เพียงฝ่ามือยูไลรูปแบบเดียวก็เพียงพอสำหรับซูฉินไปอีกนาน

 

“พระราชวังถังนี้ช่างคู่ควรกับการเป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่อารยประเทศ นอกจากจะมีสองยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดแล้ว ยังมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่อีกมากในวัง…”

 

ซูฉินสอดส่ายสายตามองไปทั่วพระราชวังถังจากมุมกว้าง

 

ในช่วงเวลาที่เขาลงชื่อเข้าใช้อยู่นั้นก็พลางสำรวจพระราชวังถังไปด้วยในตัว

 

มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหมดยี่สิบสามคนภายในวังหลวง

 

จำนวนที่มากจนน่ากลัวนี่มันคืออะไรกัน?

 

รู้หรือไม่ว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง สามารถก่อตั้งสุดยอดพรรคในยุทธภพด้วยตัวเองได้เลย

 

แต่ในพระราชวังถังกลับมีถึงยี่สิบสามคน?

 

และนี่เป็นเพียงจำนวนของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งภายในวังหลวงเท่านั้น

 

ในบรรดากองทัพปกป้องชายแดนของราชวงศ์ถังจะต้องมียอดปรมาจารย์คนอื่นๆ คอยเฝ้าระวังอยู่เป็นแน่

 

แค่การประมาณการเบื้องต้น ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งในอาณาจักรถังคงมีไม่น้อยกว่าสามสิบคนและอาจมากเกือบสี่สิบคนด้วยซ้ำไป

 

ซูฉินรู้สึกทึ่งในใจ แต่ไม่นานก็กลับมารู้สึกเป็นปกติ

 

บางทีในแง่ที่นับยอดปรมาจารย์จากทั่วภูมิภาคที่กระจายกันอยู่อาจจะหายากมาก แต่ถ้านับรวมยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหมดร่วมกันอาจจะมีจำนวนไม่น้อย

 

อาณาจักรถังครอบครองที่ราบภาคกลางอันกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์พร้อมพรั่งไปด้วยทรัพยากรสำหรับบ่มเพาะ ตลอดจนมีประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ที่นี่ แต่การฟูมฟักยอดฝีมือขึ้นมาสักคนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก

 

แน่นอนว่าแม้จะมีอาณาจักรใดที่ทรงพลังพอๆ กับอาณาจักรถัง แต่ก็มีข้อจำกัดสำหรับการฝึกฝนเพื่อจะบรรลุถึงขั้นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง และแม้แต่ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด ตำนานยุทธหรือระดับอรหันต์ก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกฝนกัน

 

 

วันต่อมา

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงถามซูฉินว่าจะออกจากวังแล้วกลับไปตระกูลซูกับพวกตนไหม

 

ซูฉินคิดสักพักก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย

 

เขาไม่ได้กลับตระกูลซูมาสักพักแล้ว ถึงเวลาต้องไปเยี่ยมเยียนสักหน่อย

 

จากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินก็มาสมทบกับองค์รัชทายาทหลี่เชิงและซูเยว่หยุน

 

ผิวของซูเยว่หยุนดีขึ้นมาก เห็นได้ชัดว่ายาที่ซูฉินสั่งไปนั้นได้ผลดีทีเดียว

 

หลังจากที่พูดคุยกันเล็กน้อย พวกเขาก็เดินทางออกจากพระราชวังตะวันออกเตรียมพร้อมที่จะไปประตูเต่าดำเพื่อขออนุญาตออกนอกวัง

 

“เอ๋”

 

ซูฉินหยุดลงอย่างกะทันหันและมองไปที่คณะทูตจากหนานหมิงที่กำลังเดินเข้ามา

 

“พี่สาม ท่านเป็นอะไรไป? พวกเขาเป็นคณะทูตจากหนานหมิง…”

 

ซูเยว่หยุนคิดว่าซูฉินสงสัยจึงพยายามอธิบาย

 

อย่างไรก็ตาม

 

ไม่ทันทีซูเยว่หยุนจะพูดจบ

 

คณะทูตจากหนานหมิงซึ่งเดินมาอย่างช้าๆ ก็เปลี่ยนท่าทีเป็นเกรี้ยวกราดรุนแรงอย่างกะทันหัน

 

“ฆ่า!!”

 

ในชั่วพริบตาจิตสังหารอันเย็นยะเยือกก็แพร่กระจายออกมา

 

“ไม่ดีแล้ว!”

 

“มือสังหาร!”

 

องค์รัชทายาทหลี่ชิงตกใจและไปยืนบังหน้าซูเยว่หยุนโดยสัญชาตญาณ

 

“ปกป้ององค์รัชทายาท”

 

“ปกป้ององค์รัชทายาท!”

 

ในเวลานี้คนรับใช้คนสนิทขององค์รัชทายาทหลี่เชิงที่ได้รับการฝึกฝนมาตลอดหลายปีได้เคลื่อนไหว ยืนล้อมองค์รัชทายาทและซูเยว่หยุนเอาไว้

 

“พวกเจ้าทนไม่ได้แม้สักหนึ่งกระบวนท่าหรอก”

 

ชายในคณะทูตหนานหมิงที่หน้าตาเย็นชาดึงดาบยาวออกมา แสงจากดาบสะท้อนวิบวับฟันใส่ข้ารับใช้คนสนิทขององค์รัชทายาททั้งหลาย

 

“ต้องรีบแล้ว”

 

ชายที่หน้าตาเย็นชาพลันรู้สึกว่าต้องรีบจัดการเรื่องราวอย่างเร่งด่วน

 

แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นช่องโหว่ของวังหลวง แต่ตอนนี้พวกเขาเสียงดังกันเกินไป ภายในห้าลมหายใจกองทหารของวังหลวงจำนวนมากจะต้องมาถึงเป็นแน่

 

กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกเขาต้องสังหารองค์รัชทายาทให้ได้อย่างช้าที่สุดภายในห้าลมหายใจ

 

มิเช่นนั้นหากกองทหารของวังหลวงมาถึง พวกเขาก็ยากที่จะหาโอกาสสังหารองค์รัชทายาทอีกครั้งได้

 

ส่วนจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากผ่านไปห้าลมหายใจ…

 

สำหรับมือสังหารจากหนานหมิงทุกคน เนื่องจากพวกเขากล้าเข้าวังมาเพื่อลอบสังหาร หมายความว่าไม่มีใครมุ่งหวังจะกลับไปอย่างมีชีวิตอยู่แล้ว

 

“เอาชีวิตมาให้ข้า!”

 

แสงดาบจากชายผู้โหดเหี้ยมเย็นชาเปล่งประกายออกมาก่อนที่จะเหวี่ยงฟันเข้าใส่องค์รัชทายาทหลี่เชิง

 

“ฝ่าบาทหนีไป!”

 

ในเวลานั้นเอง คนสนิทที่อยู่ด้านข้างก็รีบพุ่งไปด้านหน้า เหวี่ยงองค์รัชทายาทให้ออกจากวิถี จนหลุดรอดจากคมดาบมาได้อย่างฉิวเฉียด

 

แต่การที่องค์รัชทายาทหลบคมดาบได้ ไม่ได้แปลว่าดาบจะหายไป

 

แสงดาบส่องประกายออกไปตัดร่างที่อยู่ด้านหลังขององค์รัชทายาท

 

ชายผู้โหดเหี้ยมขมวดคิ้ว มองไปที่ที่ดาบถูกฟันออกไป มีชายคนหนึ่งยืนอยู่นิ่งๆ

 

“เป็นเขา?”

 

ชายผู้โหดเหี้ยมจำได้ตั้งแต่ครั้งแรก

 

ในฐานะมือสังหาร ก่อนการลอบสังหารเขาได้เก็บข้อมูลทั้งหมดขององค์รัชทายาทหลี่เชิงไว้ในใจตนจนหมดสิ้นแล้ว

 

ความสัมพันธ์ของชายคนนี้กับองค์รัชทายาทควรจะเป็นพี่เขยคนที่สาม และเป็นพี่ชายของซูเยว่หยุน

 

นั่นคือซูฉิน

 

“ไม่เป็นไร”

 

“ฆ่าเจ้าก่อนแล้วค่อยสังหารองค์รัชทายาท”

 

“เวลามันล่วงเลยไปมากแล้ว”

 

แววความบ้าคลั่งปรากฏขึ้นในดวงตาของชายผู้นี้และทันใดนั้นแสงจากดาบก็สว่างขึ้น ความเร็วก็ว่องไวมากขึ้น

 

“มอบชีวิตเจ้ามาให้ข้า!!!”

 

ชายที่หน้าตาเย็นชาจ้องมองไปที่ซูฉินราวกับว่ากำลังมองศพที่ตายไปแล้ว

 

เพราะอย่างไร

 

เมื่อเขาสังหารซูฉินได้แล้ว เขาก็จะไปสังหารองค์รัชทายาทหลี่เชิงต่อในทันที

 

ซูฉินยืนนิ่งไม่ไหวติง ค่อยๆ เงยศีรษะขึ้นและมองไปที่ชายผู้เย็นชาตรงหน้า

 

ชายที่หน้าตาเย็นชามองไปที่ซูฉินโดยไม่รู้ตัว

 

เพียงแค่มองเขาก็รู้สึกราวกับว่าเขาเข้าไปอยู่ในพื้นที่อันว่างเปล่าและมืดมน

 

“นี่คือ?”

 

การแสดงออกของชายผู้เย็นชาพลันแข็งกระด้างไป ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

 

เขาเห็นเป็นวังวนอันลึกลับโหมเข้ามาจากทุกทิศทางราวกับกระแสน้ำวนสีดำที่หมุนเข้ามาอย่างช้าๆ และเมื่อกระแสวังวนนั้นหายไปชายที่หน้าตาเย็นชาก็เห็นดวงอาทิตย์เก้าดวงบนท้องฟ้าจากไกลๆ

 

ในตอนแรกดวงอาทิตย์ทั้งเก้าอยู่ห่างไกลออกไปมาก แต่ในชั่วพริบตามันก็ขยายตัวใหญ่ขึ้น ในที่สุดก็ปะทุเพลิงแผดเผาทุกสิ่งกลืนกินทุกอย่าง