“น-นานเท่าไรแล้วที่ท่านรู้เรื่องนี้” ชิวเยวี่ยถามเขาด้วยเสียงสั่นสะท้าน ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความอับอาย

 

เธอนึกไม่ออกว่าเหตุใดซูหยางจึงสามารถรู้ความลับของเธอได้ ตามปกติแล้วพวกเขาแทบอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ดังนั้นเขาสามารถพบเห็นโดยที่เธอไม่รู้ได้อย่างไร

 

ทันใดเธอก็นึกถึงซูเมิ่งอี้และตอนที่เธอปล่อยให้ซูหยางอยู่กับอีกฝ่ายตามลำพังสองสามวันได้ ชี้ให้เห็นถึงว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ร้ายได้ในทันที

 

“ต้องเป็นเธอแน่นอน” เธอเริ่มสาปแช่งซูเมิ่งอี้ในใจ

 

“เพียงสองสามวันก่อน” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

 

แม้ว่าเขาไม่ได้วางแผนที่จะเปิดเผยตัวตนเธอเช่นนี้ แต่เขาก็ยังประสบผลตามที่มุ่งหวัง

 

“ซูเยวี่ย เหอ เป็นเสียงที่เพราะคล้องจองกันดี เจ้าคงคิดเช่นเดียวกันใช่ไหม” ซูหยางหัวเราะเสียงดัง จนทำให้ชิวเยวี่ยปิดหน้าด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อซ่อนความอาย

 

“หยุดพูด ข้ายังเด็กและงี่เง่านักตอนนั้น ล-ล-และท่านก็ถือว่าได้ตายไปแล้ว มันเป็นสิ่งที่คล้ายกับสิ่งแทนตัว เข้าใจไหม” ชิวเยวี่ยเริ่มส่งเสียงแก้ตัวไม่หยุดด้วยความกระวนกระวาย

 

เซียวลี่มองดูพวกเขาสนทนากันด้วยท่าทางสับสน แม้ว่าเธอได้เรียนรู้วิธีการพูดและอ่าน แต่ความเข้าใจในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนยังขาดอยู่บ้าง

 

“มีอะไรที่จะต้องอาย มันเป็นเพียงแค่นามแฝง” ซูหยางส่ายหน้า รู้สึกว่าชิวเยวี่ยกังวลเรื่องนี้เกินไป

 

เขากล่าวต่อว่า “ข้าเองก็มีนามแฝงอยู่บ้างเมื่ออยู่ในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่เช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นคนที่โดดเดี่ยวเช่นเจ้าต้องเคยได้ยินชื่อเหล่านั้นไม่ต่ำกว่าหนึ่งชื่อแน่”

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ชิวเยวี่ยก็ไม่ได้ปิดหน้าของเธอต่อไปและหันไปมองดูเขาด้วยความสนใจที่เพิ่มมากขึ้น เธอสงสัยว่าเป็นนามแฝงประเภทใดที่เป็นไปได้สำหรับคนแบบซูหยาง

 

“บอกข้ามา” เธอพลันกล่าว

 

“หือ”

 

“บอกนามแฝงหนึ่งในนั้นของท่านมา และข้าจะถือว่านี่เป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรม” เธอกล่าว

 

ซูหยางส่ายหน้าอีกครั้งและกล่าวว่า “ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เราจะแลกเปลี่ยนนามแฝง มันเป็นความผิดของเจ้าเองที่ไม่ทำการปกปิดนามแฝงของเจ้าเองให้ดี”

 

ชิวเยวี่ยค่อนข้างไม่พอใจที่เธอไม่สามารถรู้แม้กระทั่งนามแฝงสักชื่อของเขา แต่เธอก็ไม่อาจปฏิเสธอคำพูดของเขาได้ ว่าไปแล้วมันเป็นความผิดของเธอเองทั้งหมดที่เธอสร้างนามแฝงเช่นนั้นตั้งแต่แรกโดยไม่สนใจใครหน้าไหน

 

หากจะมีสิ่งอื่นใด ก็คงเป็นที่เธอควรจะดีใจที่ซูหยางไม่ได้ใช้นามแฝงของเธอ ซูเยวี่ย มาเป็นเรื่องหยอกล้อเธอจนเธออยากจะตายเพราะความอาย และเพียงแต่ทำให้เธอน้ำตาเล็ดออกมาสองสามหยด

 

“แล้วนี่อะไรกัน เมื่อไรกันที่แมวโง่นี่จึงเรียนรู้ที่จะพูดได้ชัดเจนเช่นนี้” ชิวเยวี่ยมองดูเซียวลี่พร้อมขมวดคิ้ว ทัศนคติของเธอต่ออีกฝ่ายดูเหมือนเลวร้ายลงไปกว่าเดิม

 

เซียวลี่ก็ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำเรียกว่าโง่ แม้ว่าเธอไม่ได้เข้าใจอีกฝ่ายอย่างแท้จริงมาก่อน หลังจากที่ได้เรียนภาษามนุษย์แล้ว ในที่สุดเซียวลี่ก็เข้าใจว่าชิวเยวี่ยได้ด่าเธอมาโดยตลอด

 

“เจ้าเรียกใครว่าแมวโง่ เจ้าเด็กน่าเกลียด” เซียวลี่โต้กลับไปยังชิวเยวี่ยอย่างไม่คาดคิด ซึ่งเธอถึงกับตกตะลึงกับการถูกด่ากลับ

 

“น-น่าเกลียด” ชิวเยวี่ยเกือบจะไม่เชื่อหูตัวเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเคยได้ยินใครสักคนกล้าที่จะเรียกเธอว่าน่าเกลียด

 

“จ-เจ้าเป็นเพียงแค่แมว หุบปากและทำตัวเหมือนแมวซะ”

 

“ฮึ่ม” เซียวลี่แค่นเสียง โบกมือ ทำให้เรือบินสั่นสะท้านอย่างรุนแรงราวกับว่าพวกเขาพลันตกอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรที่มีคลื่นลมแรง

 

“จ-เจ้าทำอะไร หรือว่าเจ้าจะพยายามทำลายยานบินของข้า” ชิวเยวี่ยร้องลั่น เสียงเธอเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

 

เพราะว่าพลังการฝึกปรือของเซียวลี่เหนือกว่าตัวเธอ การควบคุมยานบินของชิวเยวี่ยจึงไม่เสถียร

 

ซูหยางถอนใจกับเด็กหญิงสองคนนี้ พวกเธอทำให้เขาคิดไปถึงไฟกับน้ำ สิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามที่ไม่มีวันที่จะอยู่ร่วมกันได้นอกจากว่าจะมีปาฏิหาริย์บางอย่างเกิดขึ้น

 

“เซียวลี่ หยุดเขย่าเรือ มันทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายเช่นกัน” เขากล่าวกับเธอ

 

แม้ว่าจะลังเลอยู่บ้าง เซียวลี่ก็หยุดยุ่งเกี่ยวกับชิวเยวี่ยและหันมาสนใจเรื่องของตนเองแทน

 

ชิวเยวี่ยจ้องมองเซียวลี่ด้วยท่าทางไม่พอใจ ไม่ว่าเธอต้องการที่จะเลิกสนใจเซียวลี่เท่าไรก็ตาม แต่ก็มีบางสิ่งเกี่ยวกับเซียวลี่ที่ทำให้เธอไม่พึงพอใจ บางทีนั่นอาจจะเป็นเพราะพลังการฝึกปรือของเซียวลี่ที่เหนือกว่าจึงทำให้เธอไม่สบายใจ หรืออาจจะเป็นเพราะเพียงว่าเธอไม่คุ้นเคยกับสัตว์อสูรที่ผิดธรรมดาดังเช่นเซียวลี่ บ้าไปแล้วแน่ๆ เธออาจจะเพียงอิจฉาความสัมพันธ์ของอีกฝ่ายกับซูหยางในฐานะสัตว์อสูรวิญญาณของซูหยางซึ่งในเมื่อสัตว์อสูรวิญญาณจะอยู่กับเจ้านายของตนเองตราบที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสิ้นชีพไป แต่ไม่ว่าจะทางใด เธอก็อดไม่ได้ที่จะไม่ชอบอีกฝ่าย

 

“เจ้าคงมิถึงกับไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยใช่ไหม ชิวเยวี่ย” ซูหยางหันมาสนใจเธอ

 

“ฮึ่ม เป็นความผิดของเจ้าแมวนั่นที่เรียกข้าน่าเกลียด” เธอแค่นเสียงเย็นชา

 

“แล้วเจ้าเป็นอะไร เด็กน้อยงั้นรึ” ซูหยางแอบส่ายหน้า ดูเหมือนว่าไม่ว่าเธอจะเป็นผู้ใหญ่เพียงใด ก็ยังมีส่วนหนึ่งของเธอที่ยังคงเป็นเด็กเสมอ

 

หลังจากที่เธอทะเลาะกับเซียวลี่ไปเล็กน้อย ชิวเยวี่ยก็ไม่รู้สึกอายจากการที่นามแฝงของเธอถูกเปิดเผยจากซูหยางอีกต่อไป สุดท้ายแล้ว มันก็เป็นเพียงนามแฝงและไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม ซูหยางพลันกล่าวกับชิวเยวี่ยว่า “เกี่ยวกับนามแฝงของเจ้า…ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้นจริง เจ้าสามารถเก็บไว้ใช้ต่อไปได้ในอนาคต”

 

คำพูดของเขาทำให้เธอประหลาดใจ ชิวเยวี่ยจ้องมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้างที่เต็มไปด้วยความตระหนกและงงงัน

 

“ท-ท่านว่ากระไรไป พ-พูดให้ข้าฟังอีกครั้ง…ได้โปรด…” เธอขอร้องเขา เพียงแค่ในกรณีที่อาจจะเป็นแค่จินตนาการของเธอเอง

 

อย่างไรก็ตาม ซูหยางกลับไม่ฟังคำขอร้องของเธอและทำตัวนิ่งเฉยด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

 

“ข-เขายังคงล้อข้าเล่น” เธอร่ำร้องในใจ

 

และสำหรับเวลาที่เหลืออยู่ก่อนที่จะกลับไปถึงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ชิวเยวี่ยก็ได้แต่พยายามที่จะให้ซูหยางพูดถ้อยคำเหล่านั้นอีกครั้ง น่าเสียดายซูหยางหลับตาลงและทำเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ยินคำพูดเธอจนกระทั่งพวกเขาไปถึงจุดหมายปลายทางในที่สุด