ตอนที่ 590 เรื่องวุ่นวายผีหลอก

พันธกานต์ปราณอัคคี

มั่วชิงเฉินวิ่งกลับไปยังยอดเขาลั่วเฉิน เพราะเป็นยามเที่ยงคืนจึงไม่ได้รบกวนผู้ใด

กลางดึกมีศิษย์ระดับหลอมลมปราณที่ยังไม่ได้ละเว้นธัญพืชทั้งยังมีนิสัยขี้ขลาดผู้หนึ่งออกมาปลดทุกข์ เมื่อเห็นเงาสีเขียวกะพริบพาดผ่าน ก็ตกใจจนไม่ทันได้ดึงกางเกงขึ้น รีบกระโจนกลับเข้าไปในเรือน กอดศิษย์พี่ที่พักอยู่เรือนหลังเดียวกันเอาไว้พลางร้องตะโกนเสียงดัง

การเคลื่อนไหวในยามดึกดื่นเที่ยงคืนย่อมทำให้ผู้คนที่อยู่เรือนข้างๆ สองสามเรือนตกใจ

ช่วงสองสามปีที่ผ่านมาพรรคเหยากวงได้รับความนิยมมาก ยามที่เหล่าศิษย์เดินออกไปข้างนอกก็มีผู้มาหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งด้วยน้อยลงมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องมีคนมาท้าประลองอย่างที่เหล่าศิษย์มากมายจิตนาการกันยามเบื่ออะไรพวกนี้เลย

เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหว ทุกคนพลันกระโจนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สาวเท้ายาวๆ พุ่งออกไปยังเรือนที่มีการเคลื่อนไหวราวกับเหาะเหิน

จากนั้น ก็มองเห็นศิษย์น้องผู้มีสมญานามว่าเจ้าขี้ขลาดหวังซึ่งเป็นที่คุ้นเคยของทุกคนกำลังกอดเอวศิษย์พี่ที่พักเรือนเดียวกันกับเขาเอาไว้ กางเกงตกลงมากองบนขาน้อยๆ เผยบั้นท้ายสีขาวผ่องออกมา

ศิษย์พี่ผู้นั้นมีสีหน้าแข็งทื่อ เมื่อตกอยู่ในสายตาของลูกศิษย์ทุกคน ก็รู้สึกเหมือนถูกเปิดโปงความลับอะไรสักอย่าง

“เอ่อ ศิษย์น้องทั้งสองต่อสิ ต่อเลย…” เพียงพริบตา ลูกศิษย์ทั้งหมดก็วิ่งออกมาจนเกลี้ยง แต่กลับไม่มีผู้ใดกลับเรือน ล้วนหลบอยู่ด้านนอกหน้าต่างพร้อมกับแนบหูลงมา

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เสียงคำรามเลื่อนลั่นท่ามกลางความเงียบสงัดก็ดังขึ้น “เจ้าขี้ขลาดหวัง ข้าจะฆ่าเจ้า!”

“ศิษย์…ศิษย์พี่ ข้าผิดไปแล้ว…”

หน้าต่างที่ทำด้วยกระดาษถูกทะลวงจนขาด คนผู้หนึ่งลอยกระเด็นออกมา ตกอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่แอบฟังอยู่ตรงขอบหน้าต่าง

เกิดเป็นเสียงร้องคร่ำครวญดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เจ้ากระแทกหัวข้า ข้าเหยียบเท้าเจ้า ในเรือนยังมีร่างของนักรบศักดิ์สิทธิ์ที่อับอายจนเกรี้ยวกราดเดินออกมา

ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดเป็นเหตุการณ์ยกพวกตีกันครั้งใหญ่ของลูกศิษย์ระดับต่ำพรรคเหยากวงโดยมีคนเห็นผีเป็นเหตุ

วันต่อมา โถงลงทัณฑ์วุ่นวายเสียจนไม่อาจปลีกตัวไปไหนได้ ในเรือนสีดำหลังเล็กที่อยู่ติดกับกำแพงคราคร่ำไปด้วยผู้คน

หลังจากนั้นไม่นาน ข่าวโคมลอยก็แพร่ทั่วในหมู่ลูกศิษย์ระดับต่ำของพรรคเหยากวง บอกว่าคืนนั้นเจ้าขี้ขลาดถูกผีหญิงงามสิงร่าง แล้วจึงได้จับศิษย์พี่ร่วมเรือนกดอย่างอุกอาจ

ผู้ช่วยประมุขโถงปฏิบัติงานไร้ความสามารถ พรรคเหยากวงที่ยิ่งใหญ่ ผู้บำเพ็ญเพียรสายธรรมมะ คาดไม่ถึงว่าจะมีผีคอยหลอกหลอน นี่มันไม่ใช่การตบหน้ากันหรือ หากทำให้ลูกศิษย์ระดับต่ำเหล่านั้นตกใจจะแย่กันไปใหญ่

ผู้ช่วยประมุขโถงปฏิบัติงานผู้เเป็นห่วงแว่นแคว้นและอาณาประชาราษฎร์พลันวิ่งออกมานอกยอดเขา คิดจะปลุกปลอบใจคนสักหน่อย ก็เห็นลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งกำลังถกเถียงเรื่องในคืนนั้นอยู่ใต้ตรงไม้

“ศิษย์พี่ทุกท่านขอรับ คืนนั้นพวกท่านเห็นกับตาจริงๆ หรือ ผีสาวใช่มีหน้าเขียวเขี้ยวยาวหรือไม่”

ผู้ช่วยประมุขโถงที่แอบอยู่ด้านข้างเห็นเข้า จมูกก็แทบจะตั้งขึ้น

ศิษย์ที่เอ่ยถามคือศิษย์ของยอดเขาเปี๋ยเฟิง เมื่อเหลือบมองอย่างละเอียด ในบรรดาฝูงชน ศิษย์ของยอดเขาเปี๋ยเฟิงมีจำนวนมากที่สุด

ข้าก็ว่าเหตุใดสองสามวันนี้ยอดเขาอื่นๆ ถึงเงียบสงัดไปไม่น้อย! ผู้ช่วยประมุขโถงกัดฟันแน่น ในใจพลันขบคิดว่าโชคดีที่วันนี้มาแล้ว หากปล่อยให้ความตื่นตระหนกแพร่กระจายไปในหมู่ศิษย์ระดับต่ำ นั่นจะยิ่งซวยไปกันใหญ่

ศิษย์คนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ความวุ่นวายขึ้นนั้นยืดตัวตรงทันทีแล้วเอ่ยว่า “นั่นไม่เห็นหรอก ทว่าเจ้าขี้ขลาดหวังถูกผีสาวสิงนั้นเป็นเรื่องจริง”

“แค่กๆ ศิษย์พี่ทุกท่าน พวกท่านคิดว่า โดนผีสาวสิงร่าง รสชาติเป็นเช่นไรหรือ”

ผู้ช่วยประมุขโถงขมวดคิ้ว ร้องอุทานในใจว่า เอ๋ ประโยคนี้เหตุใดถึงฟังดูแปร่งๆ เช่นนี้

มีศิษย์คนหนึ่งหัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยว่า “นั่นผู้ใดจะรู้เล่า แต่หากถูกผีหญิงงามสิงร่างจริงๆ ศิษย์พี่ผู้นั้นผลักศิษย์น้องหวังออกไปนั่นน่าเสียดายมาก…”

“หืม” ผู้ช่วยประมุขโถงเลิกคิ้วขึ้น

“นี่ต้องโทษข้า คืนนั้นพอได้ยินเสียง ข้าก็พุ่งเข้าไปคนแรก ไม่เช่นนั้น อาจจะ…”

มีศิษย์อีกคนหนึ่งถอนหายใจยาวๆ ออกมาแล้วเอ่ยว่า “เฮ้อ ไม่รู้ว่าผีหญิงงามตนนั้นจะมาอีกไหม หากมาเข้าร่างศิษย์น้องหญิงสวยๆ ก็คงจะดี…”

ศิษย์ทุกคนถอนหายใจออกมาด้วยใจคอแห้งเหี่ยว

ผู้ช่วยประมุขโถงโกรธจนปวดตับ เพียงออกแรงก็ได้ยินเสียง โครม ต้นไม้ด้านข้างหักลง

ลูกศิษย์ทุกคนมองไปอย่างพร้อมเพรียง เห็นผู้ช่วยประมุขโถงผู้อ่อนโยนและเอาใจใส่ลูกศิษย์มากที่สุด ก็เผยสีหน้าราวกับว่ารู้ใจออกมา ตะโกนออกไปอย่างกระตือรือร้น “ผู้ช่วยประมุขโถง ท่านก็มาฟังหรือ”

“ไสหัวไป ไปที่โถงลงทัณฑ์ พิจารณาตัวเองสามเดือน!”

ด้วยเหตุนี้ โถงลงทัณฑ์จึงมีสมาชิกเนืองแน่นอีกครั้ง

มั่วชิงเฉินไม่รู้เรื่องวุ่นวายพวกนี้ เมื่อมาถึงยอดเขาลั่วเฉิน เพราะว่าเป็นเจ้าของ จึงไม่ได้สัมผัสกับค่ายกลใดๆ นางเดินเข้าไปในเรือนตามประตูและถนนที่คุ้นเคย ก็มองเห็นเยี่ยเทียนหยวนนั่งสงบนิ่งอยู่บนตั่ง ไม่ไหวติง

มั่วชิงเฉินเดินไป นั่งลงบนตั่ง มองผู้ที่อยู่บนตั่งเขม็ง

ผ่านไปเนิ่นนาน ค่อยยื่นมือออกไปลูบคิ้วตรงแน่วของเขา แล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “ศิษย์พี่ ท่านช่างโง่เขลานัก”

ย้อนนึกถึงสิ่งละอันพันละน้อยระหว่างทั้งสอง ดูเหมือนว่าตั้งแต่ที่นางอายุสิบกว่าปี ที่ข้างบ่อน้ำพุร้อน โชคชะตาก็เริ่มพัวพันเข้าด้วยกันแล้ว

นางเย็นชา ปฏิเสธ ส่วนเขาตั้งแต่ที่ตัดสินใจ ก็นำความจริงใจออกมา

ไม่ดีอกดีใจจนกระโดดโลดเต้น และไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย ยิ่งไม่ได้ก้าวร้าวและเอาเปรียบผู้อื่น

และยามนี้ ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหวที่เขาต้องเสียใจอีกแล้ว

นอนลงด้านข้าง กอดเอวของผู้ที่อยู่ด้านข้างเอาไว้ มั่วชิงเฉินค่อยๆ กลายเป็นควันสีเขียวสายหนึ่ง จมหายเข้าไปในร่างของเยี่ยเทียนหยวน

ทารกปราณขนาดเหลือเพียงเท่าเมล็ดมันฮ่อกำลังหลับใหลไม่ได้สติ ดวงตาทั้งสองปิดสนิท ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อควันสีเขียวสายหนึ่งที่บุกเข้ามา

มั่วชิงเฉินรู้ว่านี่คืออาการจิตวิญญาณดั้งเดิมเสียหายอย่างรุนแรง จึงรีบโผทะยานเข้าไป โอบกอดทารกปราณเอาไว้

บางทีจิตใต้สำนึกเขาอาจจะรู้ว่านี่คือคนที่สนิทชิดเชื้อมากที่สุด ทารกปราณจึงไม่ได้ขัดขืนใดๆ กลับมีสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย

คิดถึงวิธีที่ถังมู่เฉินบอกตน มั่วชิงเฉินก็แปลงจากควันสายหนึ่งกลายเป็นแขนข้างหนึ่ง เข้าไปใกล้ริมฝีปากของทารกปราณ

ดวงวิญญาณเป็นของบำรุงชั้นเลิศของจิตวิญญาณดั้งเดิม ทากรวิญญาณอ้าปากออกตามสัญชาตญาณ แต่แล้วก็กลับปิดปากฉับลงแน่นอีกครั้ง

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วอยู่นาน ฉับพลันนั้นก็เข้าใจขึ้นมา แม้ว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมของศิษย์พี่จะกำลังสะลึมสะลือไม่ได้สติ แต่สัญชาตญาณกลับไม่ยอมทำร้ายตน

นางจึงแปลงจากควันสายหนึ่งกลายเป็นร่างของตนเองเสีย แล้วจุมพิตลงบนทารกปราณของเยี่ยเทียนหยวน

ทารกปราณหลบหลีกและดิ้นรนสองสามครั้ง ในที่สุดก็เป็นเพราะกำลังกายแตกต่างกันเกินไป จึงถูกดวงวิญญาณของมั่วชิงเฉินรัดเอาไว้แน่น ปล่อยให้ทำตามอำเภอใจ

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ สีของดวงวิญญาณมั่วชิงเฉินอ่อนลงเรื่อยๆ ทารกปราณของเยี่ยเทียนหยวนกลับค่อยๆ แข็งแรงขึ้น

ด้านนอก เวลาสิบปีผ่านไปตั้งนานแล้ว

สิบปีมานี้ ลั่วหยางเจินจวินและชิงเฉิงเจินจวินไม่เคยมาปรากฏตัว ว่ากันว่ากักตนฝึกบำเพ็ญเพียรคู่กันอยู่

แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด จึงเกิดเป็นข่าวลือขึ้น บอกกันว่าความจริงชิงเฉิงเจินจวินดับสูญแล้ว แต่แค่พรรคเหยากวงปิดบังเอาไว้

ผู้อาวุโสของพรรคเหยากวงย่อมรู้สึกโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก จึงแอบตรวจสอบกันเงียบๆ ก็พบว่าข่าวนี้แพร่งพรายมาจากสำนักลั่วสยา

ผู้แพร่งพราย ก็คือหร่วนหลิงซิ่วที่กำลังจะแต่งงานกับคุณชายตระกูลสวี่

มั่วหลีลั่วโกรธจนคิ้วตั้ง ตบโต๊ะอย่างแรง “ไร้เหตุผล นางหญิงชั่วร้ายปากเสียใจดำนั่น คาดไม่ถึงว่าจะแช่งให้ชิงเฉินตาย!”

นอกจากต้วนชิงเกอและถังมู่เฉินที่รู้ว่ามั่วชิงเฉินกลับคืนสู่หยางได้ เจินจวินระดับก่อกำเนิดสองสามท่านก็กดเรื่องนี้เอาไว้

คำสั่งเรียกรวมตัวของพรรคในปีนั้น เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ยกขึ้นมาถกเถียงกัน

เมื่อมาอยู่ในพลังยุทธ์เช่นนี้อย่างพวกนาง ความสัมพันธ์ระหว่างสหายที่ไม่เจอหน้ากับสิบกว่าปีก็ไม่นับว่าแปลกประหลาดอะไร ต้วนชิงเกอเองก็ไม่ได้บอกความจริงกับมั่วหลีลั่ว ถึงอย่างไรเสียการไปแดนหยินมารอบหนึ่ง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรป่าวประกาศออกไป

ต้วนชิงเกอมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ขบคิดแล้วรู้สึกไม่เห็นด้วย “เรื่องนี้แปลกประหลาดไปหน่อย ชิงเฉินกักตัวบำเพ็ญคู่กับลั่วหยางเจินจวินตั้งนานแล้ว เหตุใดจนถึงตอนนี้ถึงเพิ่งได้มีข่าวเช่นนี้”

นางรักษาหมาป่าน้อยและอีกาไฟแล้ว ช่วงหลายปีที่ผ่านมา อสูรวิญญาณทั้งสามอารักขาอยู่ที่ยอดเขาลั่วเฉินไม่ออกไปไหน นางเองก็ไปถามข่าวคราวเป็นบางครั้ง และรู้รายละเอียดจากปากของเขาน้อย

หากจะกล่าวว่าในโลกนี้มีคนนอกที่รู้การตายของชิงเฉินผู้หนึ่ง นั่นก็คือหร่วนหลิงซิ่ว

แต่เหตุใดนางถึงไม่ได้ยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาตั้งแต่สิบปีที่แล้ว

มั่วหลีลั่วมีนิสัยมุทะลุ ยืนขึ้นแล้วเอ่ยว่า “จะไปสนทำไม สตรีผู้นั้นอยากออกเรือนมิใช่หรือ ข้าจะทุบเรือนของนาง ดูว่านางยังจะพ่นสิ่งปฏิกูลออกมาได้อีกหรือไม่!”

“หลีลั่ว เจ้าอย่าบุ่มบ่าม…”

มั่วหลีลั่วถลึงตา “ข้าไม่เคยบุ่มบ่าม แต่ครั้งนี้ ข้าไม่ไปไม่ได้ ข้าอยากฟาดสตรีผู้นั้นมานานแล้ว!”

เอ่ยไปพลางเดินไปด้านนอกไปพลาง “ใช่แล้ว อาจารย์อาจื่อซีบอกเอาไว้แล้วว่านางจะเป็นผู้นำไป”

ต้วนชิงเฉินลูบหน้าผากไปมาอย่างทนไม่ไหว

คุณหนูใหญ่สำนักลั่วสยาออกเรือน สำนักพรรคต่างๆ ในโลกบำเพ็ญเพียรล้วนจะต้องส่งคนไป อาจารย์อาจื่อซีวุ่นวายอยู่นานเพื่อแย่งตำแหน่งผู้นำไปก็เนื่องด้วยเหตุนี้

นางจินตนาการได้เลยว่า จากที่เดิมทีนำกลุ่มไปเข้าร่วมพิธี ผลที่ได้กลับจะกลายเป็นพากลุ่มไปก่อความวุ่นวายเสียมากกว่า หากอาวุโสสูงสุดประมุขพรรครู้เข้าจะมีสีหน้าอย่างไร

กลับไม่รู้ว่าในสำนักลั่วสยา หร่วนหลิงซิ่วก็กำลังกลัดกลุ้มเช่นกัน

นางขังตัวเองอยู่ในห้องพลางพึมพำอยู่คนเดียว “เจ้า เหตุใดถึงพูดซี้ซั้ว อยู่ดีๆ ก็ไปหาเรื่องมา วันก่อนท่านพ่อก็ตักเตือนข้ามาแล้ว…”

ในหัวมีเสียงหัวเราะอย่างเย็นชาดังขึ้น ‘ทำไม ข้าตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้ว กลัวหรือ’

ปีนั้น หร่วนหลิงซิ่วตัวจริงถูกหลัวอวี้เฉิงโจมตีจนกระเด็น ก็ตกอยู่ในภวังค์หลับใหล ที่ตื่นอยู่นั้นเป็นดวงวิญญาณอีกดวงหนึ่ง

“เจ้า เจ้าต้องการอะไรกันแน่ หากเจ้าไม่ยอม ก็ไม่มีอำนาจควบคุมร่างนี้ หากไม่มีข้า เจ้าเองก็ไม่อาจควบคุมร่างกายได้ตลอดกาล”

‘พูดเช่นนี้ จะให้ข้าขอบคุณเจ้าหรือ หึ ไม่เจอกันสิบปี เจ้ากลับรู้จักลับฟันให้คมเชียวนะ!’ เสียงในหัวสูงปรี๊ดขึ้น ทำให้หูของหร่วนหลิงซิ่วเจ็บจี๊ด

“ข้าแค่พูดความจริง หากเจ้าโมโห ก็ไม่มีประโยชน์…” เสียงของหร่วนหลิงซิ่วอ่อนลง

ในหัวมีเสียงหัวเราะอย่างเย็นชาดังมา ‘ไม่มีประโยชน์แล้วอย่างไร ข้าแค่ทำอะไรสักอย่างยามที่ควบคุมร่างได้ก็พอแล้ว ตัวอย่างเช่น ใช้กริชนี้แทงจุดต่างๆ บนตัวของสามีเจ้ายามดึก…’

หร่วนหลิงซิ่วใจสะท้าน สีหน้าซีดเผือด

แม้ว่าสวี่เซี่ยวถานแห่งตระกูลสวี่จะมีรากวิญญาณสวรรค์ แต่เป็นเพราะเรื่องแต่งงานจึงมักจะมาหานางบ่อยๆ หากบอกว่าชอบนั่นก็คงไม่ใช่ แต่ที่นางจะสนใจล้วนเป็นสายตาของทุกคน

เมื่อคิดถึงว่าเกิดเรื่องน่ากลัวเช่นนั้น จนทำให้สถานการณ์ที่นางกอบกู้มาอย่างไม่ง่ายดายพังทลายลง ก็รู้สึกหนาวสะท้าน

“เจ้าว่ามาสิ เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร” หร่วนหลิงซิ่วล้มลงนั่งบนเตียงอย่างโศกเศร้า

ฝึกบำเพ็ญมาหลายปี นางเปลี่ยนจากอเทวนิยมมาเป็นเทวนิยม เชื่อว่ามรรคาสวรรค์นั้นมีความสมดุล

บางทีการยึดครองร่างคนอื่น ก็ต้องมีค่าตอบแทนสินะ

ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อคิดเช่นนี้ กลับรู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง

‘ง่ายมาก ก่อนที่เจ้าจะแต่งงาน จะต้องไปที่พรรคเหยากวง ข้าอยากพบลั่วหยางเจินจวินสักครั้ง’ เสียงในหัวเย็นยะเยือกราวกับว่าลอยมาจากอเวจี

หร่วนหลิงซิ่วเบิกตาโพลง สั่นศีรษะอย่างต่อเนื่อง “จะเป็นไปได้อย่างไร ไม่พูดถึงจะปิดบังสามีได้หรือไม่ หากไปถึงพรรคเหยากวง เจ้าเองก็ไม่อาจเข้าไปได้”

‘ข้าไม่สน เจ้าหาวิธีให้ข้า ขอแค่เจ้าคลายความปรารถนาให้ข้า ความหมกมุ่นของข้าก็จะสลายหายไป และจะไม่รบกวนเจ้าอีก’

หร่วนหลิงซิ่วขบคิดอยู่นาน ในที่สุดก็พยักหน้า