ตอนที่ 430

The Divine Nine Dragon Cauldron

ฉีหมิงตัวสั่น ความตกใจแล่นผ่านใบหน้า เทียบกับสมุนไพรบาดาลอมตะแล้ว…แก้วทมิฬนับว่าไร้ค่าไปเลย

 

“ท่านจะต้องล้อข้าเล่นแน่ๆ แม้แต่เหล่าขอบเขตภูติก็อย่างจะได้สมบัติเช่นนั้น ร้านเล็กๆอย่างข้าจะมีได้อย่างไร?”

 

ฉีหมิงทำใจให้เย็น เขาส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม

 

ซือหยูขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าข่าวสมุนไพรบาดาลอมตะที่จ้าวคณะฉิวพูดถึงจะไม่ได้มาจากกระโจมแสงทองแต่น่าจะเป็นจากเสียงพูดคุยของพวกยอดฝีมือที่มาซื้อของ เขาเดินทางครั้งนี้มาอย่างสูญเปล่าและผิดหวังอย่างช่วยไม่ได้ แต่เขาก็ทำใจให้เย็น

 

“ข้าคงพูดรวบรัดเกินไป ถ้าเจ้าไม่มีมัน ข้าก็ไม่พูดอะไรแล้ว ลาก่อน”

 

ซือหยูประสานหมัดและยืนขึ้น

 

ฉีหมิงส่งเขาอย่างสุภาพ แต่ในตอนนั้นเขาก็หูกระตุก เขาวิ่งตามซือหยูอย่างร้อนรน

 

“โปรดรอเดี๋ยว ท่าน!”

 

“มีอะไรรึ?”

 

ซือหยูถาม

 

ฉีหมิงดูเหมือนลังเล

 

“ท่าน โปรดอภัยที่ข้าระแวงไปหน่อย ข้าก็แค่ต้องรู้ให้ได้ว่าท่านมาที่นี่เพื่อหาข้อมูลจริงหรือไม่ บอกตามตรง พวกเราไม่มีสมุนไพรบาดาลอมตะหรอก แต่เรามีข้อมูลที่ไม่พลาดแน่ว่ามันอยู่ที่ใด”

 

ซือหยูหันกลับไป

 

“เจ้าของร้านฉี ถ้าเจ้าไม่คิดว่าค่าของแก้วทมิฬจะไม่พอสำหรับข้อมูลนั้น ข้าก็มีสิ่งอื่นจะแลก”

 

ฉีหมิงโบกมือ

 

“ข้าจะปฏิเสธของอย่างแก้วทมิฬได้อย่างไรเล่า? ใช้มันแลกกับข้อมูลก็เพียงพอแล้ว แต่ข้าต้องบอกตามตรง วพกข้ากำลังรวบรวมยอดฝีมือเพื่อไปเก็บสมุนไพรบาดาลอมตะ! เพราะมันเติบโตในที่ที่อันตรายอย่างสุดขั้ว เราต้องการยอดฝีมือที่แข็งแกร่งในการเอามันมา!”

 

ซือหยูกระพริบตา

 

“เจ้าหมายถึงเจ้าจะให้ข้าตามไปใช่หรือไม่?”

 

ฉีหมิงยิ้ม

 

“ท่านเป็นคนหลักแหลมนัก สมุนไพรบาดาลอมตะนั้นล้ำค่ายิ่งนัก พวกข้าไม่พร้อมจะบอกแหล่งที่อยู่มันกับคนนอก ข้าจะไม่แลกเปลี่ยนนอกจากท่านจะช่วยพวกเรา”

 

ซือหยูหัวเราะให้กับตัวเอง

 

“เจ้าจะมองข้าสูงไปแล้ว ข้าก็แค่อำมฤตระดับสี่ ข้าจะสร้างปัญหาเพิ่มให้เจ้ามากกว่า”

 

ฉีหมิงหัวเราะ

 

“ท่านไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอก ตามที่ข้ารู้ พลังของรากษสนั้นใกล้เคียงกับผู้คุมสวรรค์นัก ถ้าท่านสังหารได้หนึ่งตน พลังของท่านก็ต้องน่ายกย่องเป็นแน่”

 

ในความจริงแล้ว พลังของรากษสที่ซือหยูฆ่าไปนั้นเป็นภัยยิ่งกว่าฉิงจูกับหลงเฟยหยูเสียอีก มันไม่ได้อ่อนแอไปกว่าราชามนุษย์เลย

 

“ข้าก็แค่โชคดีเท่านั้น…”

 

“แต่ถ้าเจ้าคิดจะเชื่อใจข้า เจ้าของร้านฉี…ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะร่วมด้วย”

 

ฉีหมิงดีใจ

 

“ฮ่าๆ! ถ้าท่านช่วยด้วย โอกาสที่พวกเราจะสำเร็จก็เพิ่มไปอีกสามส่วน+”

 

“เราจะเดินทางเมื่อใดกัน?”

 

ซือหยูคาดหวัง

 

แต่ฉีหมิงก็ถอนหายใจ

 

“อย่ารีบร้อนไปเลยท่าน สมุนไพรบาดาลอมตะมันอันตรายมาก พลังแห่งความตายของมันจะหนาแน่นที่สุดเมื่อไร้พระจันทร์ แม้แต่ผู้คุมสวรรค์ก็มีผลกับพลังนั้นถ้าเข้าใกล้เกินไป ฐานพลังจะเสียหายได้ บางคนถึงกับตายคาที่ พวกเรารอวันจันทร์เต็มดวงจะดีกว่า พลังของมันจะอ่อนแอที่สุด แล้วถ้ามีข้ากับท่าน การเดินทางก็จะไม่เสี่ยงเกินไปนัก ก่อนที่ท่านจะมา ที่ร้านกำลังเชิญยอดฝีมือมากมาย พวกเขาจะรวมตัวอยู่ที่นี่อีกสิบวันก่อนจะเดินทาง”

 

สิบวันรึ? ซือหยูลูบคางและพยักหน้า

 

“ถ้าเช่นนั้น อีกสิบวันข้าจะมาหาเจ้า”

 

หลังจากพูดจบ เขาก็ยืนยันรายละเอียดบางอย่างกับเจ้าของร้านก่อนจะออกจากกระโจมแสงทอง เขาหาพื้นที่ที่มีพลังวิญญาณหนาแน่นเพื่อบ่มเพาะพลัง ในครั้งนี้ เขามีหลายสิ่งที่ต้องทำ

 

******

 

หลังจากที่รอให้ซือหยูไป รอยยิ้มเป็นมิตรของฉีหมิงหายไป เขาก้มหน้าและพูดด้วยความนอบน้อม

 

“ท่าน สมุนไพรบาดาลอมตะสำคัญนักกับตระกูลของเรา ทำไมท่านถึงให้คนนอกเข้าร่วมด้วยเล่า? ถ้าข้าจำไม่ผิด บุรุษผู้นี้คือราชาปีศาจหิมะทมิฬผู้ฉาวโฉ่ ตามข่าวลือบอกว่าจำนวนผู้คุมสวรรค์ที่เขาสังหารนั้นมีไม่ต่ำกว่าสิบคน แล้วตอนนี้เขาก็แสดงแก้วทมิฬกับเรา ข่าวลือนั่นต้องเป็นเรื่องจริง! เขาจะต้องรอดออกมาจากก้นบึ้งมังกร! คนผู้นี้เป็นภัย เขาจะไม่ทำให้แผนของเขาล้มเหลวรึ?”

 

ที่หลังกำแพง ภาพเขียนบุรุษก้มลงมองด้วยมือไพล่หลังเริ่มมีชีวิต เขาค่อยๆหันมา

 

“ชายคนนั้นมีพลังของวิชาอัสนี…”

 

ชายในภาพเขียนพูดออกมา น้ำเสียงของเขาสุขสงบ

 

“เขาจะต้องคลายผนึกสุดท้ายได้แน่ ชายคนนี้อาจจะทำให้เราได้แผนที่สวรรค์มาครอง แม้เขาจะแข็งแกร่ง เขาก็ไม่ได้มีภัย แต่ถ้าหากเรื่องทั้งหมดเสร็จสิ้น…เราต้องปิดปากเขา”

 

ฉีหมิงโค้งคำนับ

 

“ข้าเข้าใจแล้ว”

 

ซือหยูทำสมาธิ

 

ขั้นแรก เขานำโลงศพมังกรหมอกออกมา ตามที่หยุนย่าสีบอก มีเพียงพลังชีวิตที่ไม่ใช่ของทวีปเฉินหลงเท่านั้นที่จะทำให้หลงเสี่ยวเทียนเริ่มฟื้นฟูขึ้นมาได้

 

ซือหยูย้อมร่างด้วยสีโลหิต มันคือสายเลือดของปีศาจ ใบหน้าภูติมีก้อนพลังในปากขนาดเท่าลูกตา มันเต็มไปด้วยพลังชีวิตอันเข้มข้น! มันคือก้อนพลังชีวิตที่ซือหยูแอบกักเก็บมาตอนที่จางตี๋เก้อให้ซือหยูยืมพลัง นั่นเป็นเหตุที่จางตี๋เก้อสงสัยว่านางเสียพลังชีวิตไป

 

เพื่อไม่ให้จางตี๋เก้อสงสัย ซือหยูไม่ได้เก็บพลังไว้มากนัก…มีเพียงพลังที่พอจะสร้างก้อนกลมเล็กๆ พลังเช่นนี้ยังห่างไกลที่จะช่วยหลิงเสี่ยวเทียน แต่มันจะทำให้หลิงเสี่ยวเทียนตายช้าลง

 

เขาใส่พลังชีวิตลงในโลกศพมังกรหมอก หลังจากที่มันดูดซับเข้าไป พลังนั้นก็กลายเป็นสีขาวกระจ่างที่ค่อยๆฟื้นฟูร่างกายของหลิงเสี่ยวเทียน ผิวของเขาเริ่มกลับมามีสีแดงของโลหิตที่ไหลเวียน ร่างกายอันเหี่ยวเฉาอวบขึ้นเล็กน้อย แม้แต่ผมสีขาวก็กลายเป็นสีดำเสียส่วนใหญ่ พลังชีวิตอันอ่อนแอเริ่มมั่นคงขึ้น ทั้งหมดราวกับว่าเขากำลังจะกลับมามีชีวิต!

 

ครึ่งชั่วยามต่อมา พลังขาวกระจ่างหายไป ร่างกายของหลิงเสี่ยวเทียนมั่นคงขึ้นและไม่เหี่ยวแห้งดังเดิม ซือหยูดีใจมาก จากครั้งแรกที่ประเมินว่าหลิงเสี่ยวเทียนจะอยู่ได้อีกหนึ่งเดือน ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขายังมีเวลาอีกครึ่งปี!

 

พลังชีวิตนั้นคือหนทางเดียวที่จะช่วยหลิงเสี่ยวเทียนจริงๆ โชคร้ายที่แม้ว่าร่างกายจะฟื้นฟูขึ้นมามาก เขาก็ยังไม่ได้สติกลับมา แต่เขาก็ดีขึ้นมากกว่าที่ซือหยูคาดคิดไว้ ซือหยูพอใจมาก

 

ซือหยูที่คลายใจเก็บโลงศพมังกรหมอกเอาไว้และเริ่มตรวจสอบร่างกายของตัวเอง เขาตรวจดูอย่างละเอียดและเหงื่ออันเย็นเยือกก็ไหลออกมา! เขาไม่ได้รู้มาเลยจนถึงตอนนี้ว่ามีภัยร้ายแรงอยู่ในร่างกายของเขา

 

เขาเคยต้องสายฟ้าจากกระบี่สายฟ้า อัสนีสีมรกตนั้นเข้าสู่ร่างและทำลายจากภายใน ซือหยูใช้อัสนีม่วงเพื่อต้านพลังของมันในจุดที่อันตรายที่สุด หลายวันผ่านมาแล้ว และตอนนี้เขาก็หัวใจเต้นอย่างรุนแรงเมื่อได้มองดูตัวเองอย่างละเอียด