ตอนที่ 49 ปีศาจชอบกินเด็กหรอกหรือ?

ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘

ในนิทานที่คนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟังไม่ใช่บอกว่าปีศาจชอบกินเด็กหรอกหรือ?

แต่ลูกของนางกำลังจะไม่รอด นางไม่มีทางเลือกอื่นจึงจำต้องลากสังขารที่ยังไม่ออกเดือนมาที่ถ้ำแห่งนี้ เพื่อขอร้องให้ปีศาจเมตตาช่วยชีวิตลูกของนาง

ยามนี้ถูกปีศาจเรียกเข้ามาให้นมและสอนให้ ‘ฆ่าเชื้อ’ ตรงสะดืออะไรนี่ ในใจนางก็ยังทั้งเครียดทั้งตื่นตระหนก กลัวว่าหลังจากป้อนลูกจนอิ่มแล้วปีศาจจะจับไปกิน หรือไม่ก็การ ‘ฆ่าเชื้อ’ จริงๆ แล้วอาจเป็นการทำร้ายลูกของนาง

แต่ยามนี้เมื่อมองปีศาจสาว นางกลับพบว่าแววตาที่อีกฝ่ายมองลูกของนางเต็มไปด้วยความเมตตาสงสาร ราวกับพระโพธิสัตว์กวนอิมซึ่งกำลังก้มลงมองสรรพชีวิตด้วยความเมตตา

นางอดประหลาดใจไม่ได้ พอตั้งใจมองปีศาจสาวอีกครั้งนางก็พบว่าผมดำขลับของอีกฝ่ายถูกรวบเป็นมวยสูงแล้วใช้ปิ่นไม้ตรึงเอาไว้ มีเพียงผมไม่กี่ปอยเท่านั้นที่ร่วงลงมาประบ่า นางมีคิ้วเรียวยาว ดวงตาสุกใสเหมือนน้ำในลำธาร จมูกแคบโด่งรั้น ผิวขาวราวหิมะ เสื้อผ้าที่สวมเป็นแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แตกต่างจากผู้คนบนภูเขา

เห็นชัดๆ ว่านางเป็นผู้หญิง แต่ก็ดูไม่เหมือนกับเหล่าสตรีอ่อนแอในหมู่บ้านสักเท่าไหร่

ตอนแรก ใครๆ ต่างก็บอกว่านางหน้าตาอัปลักษณ์ แต่ยามนี้เมื่อตั้งใจมอง นางก็รู้สึกว่าแม้อีกฝ่ายจะไม่เหมือนกับผู้หญิงในหมู่บ้าน แต่หน้าตาก็สะสวยมาก เพียงแต่ในความสะสวยของนางยังแฝงด้วยอะไรบางอย่างที่ทำให้ผู้อื่นเคารพยำเกรง

มิน่านางถึงเป็นปีศาจ แถมยังเป็นปีศาจที่ช่วยชีวิตผู้คนได้อีกด้วย

มารดาของเด็กน้อยจ้องกู้จิ้งอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นหัวใจก็กระตุกวูบ จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าบางทีหญิงสาวตรงหน้าอาจไม่ใช่ปีศาจ แต่เป็นพระโพธิสัตว์ที่ลงมาช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากต่างหาก

นางรีบหลุบตาลงแล้วยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความเคารพ รอให้ต้าเซียนออกคำสั่ง

กู้จิ้งไม่รู้ว่าในเวลาเพียงชั่วพริบตานี้ เธอได้เลื่อนฐานะจากปีศาจกู้ไปเป็นกู้ต้าเซียนเรียบร้อยแล้ว เธอหันกลับไปย้ำวิธีดูแลเด็กกับสตรีตรงหน้าอีกรอบ จากนั้นจึงให้นางอุ้มเด็กกลับไป

“ดูอาการอีกเจ็ดแปดวัน ถ้าไม่เป็นอะไรก็น่าจะพ้นขีดอันตรายแล้ว”

แต่มารดาของเด็กน้อยกลับมองเธอด้วยสายตางุนงง “หมายความว่าลูกของข้าไม่เป็นอะไรแล้วอย่างนั้นหรือ?”

เซียวเถี่ยเฟิงซึ่งบังเอิญหิ้วน้ำถังหนึ่งเข้ามาพอดีได้ยินเช่นนี้ก็ช่วยแปลความหมายให้ “ซ้อสาม ตอนนี้น่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว ท่านพาลูกกลับไปก่อน อีกเจ็ดแปดวัน หากยังไม่เป็นอะไร แกก็รอดชีวิตแล้ว”

ได้ยินเช่นนี้ มารดาของเด็กก็ดีใจจนน้ำตาร่วง นางรีบทรุดลงคุกเข่า ตื่นเต้นดีใจจนพูดอะไรไม่ถูก “ข้ารู้อยู่แล้ว ข้ารู้อยู่แล้ว ใครๆ บอกว่าอาการสี่หก หากผ่านวันที่เจ็ดไปได้ก็จะรอดชีวิต ขอบคุณต้าเซียน ลูกของข้ารอดชีวิตแล้ว!”

มุมปากของกู้จิ้งกระตุก เดิมคิดจะบอกว่าอย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไป หลังจากนี้ยังต้องคอยดูแลและสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด แต่เห็นสีหน้าดีอกดีใจของแม่เด็กแล้วเธอก็พูดไม่ออก สุดท้ายก็ได้แต่กำชับให้อีกฝ่ายดูแลเด็กตามคำสั่งของเธอ พร้อมทั้งมอบคอตตอนบัดซึ่งฆ่าเชื้อแล้วกับยาโพวิโดนไอโอดีนให้

มารดาของเด็กอุ้มลูกกลับไปด้วยความซาบซึ้งใจ

หลังจากนั้นเจ็ดแปดวัน จู่ๆ ครอบครัวของเซียวเป่าถังก็นำเครื่องเซ่นไหว้ชุดใหญ่ประกอบด้วยหมู, ไก่, ปลามาจุดธูปเซ่นไหว้ที่หน้าถ้ำพร้อมทั้งร้องตะโกนว่า “ขอบคุณต้าเซียนที่ช่วยลูกของเรา ครอบครัวของเรามาแก้บนแล้ว!”

ตอนที่ครอบครัวนี้มา เซียวเถี่ยเฟิงกำลังเก็บสัมภาระเตรียมเข้าป่าไปล่าสัตว์ ส่วนกู้จิ้งกำลังเดินวนไปวนมาอยู่รอบๆ ตัวชายหนุ่ม ปากก็พร่ำเรียกท่านบรรพบุรุษไม่หยุด สุดท้ายเธอก็กอดเซียวเถี่ยเฟิงเอาไว้ เตรียมพร่ำพลอดกันสักรอบ

กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนขอบคุณดังขึ้นที่ด้านนอก

“ไม่ต้องสนใจพวกเขา เราต่อกันเถอะ!” กู้จิ้งกำลังมีอารมณ์ จึงใช้เล็บข่วนหลังของเซียวเถี่ยเฟิงด้วยท่าทางออดอ้อน

“ได้” เซียวเถี่ยเฟิงนึกถึงตัวเองต้องเข้าป่าไปสิบกว่าวัน ย่อมไม่อาจตัดใจจากปีศาจน้อยจอมยั่วง่ายๆ

“ปังๆๆๆ ปังๆๆๆๆ~~” คิดไม่ถึงว่าทั้งสองเพิ่งเอนกายลงบนกองหญ้าแห้ง ที่ด้านนอกก็มีเสียงประทัดดังขึ้น

คราวนี้ทั้งสองได้แต่มองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างหมดอารมณ์ไปโดยปริยาย

รู้ทั้งรู้ว่านอกถ้ำมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังตีฆ้องร้องป่าวจุดธูปเผากระดาษแถมยังจุดประทัดแบบนี้ ถ้ายังมีอารมณ์อยู่ได้ก็แปลกไปแล้ว!

เซียวเถี่ยเฟิงจำต้องหยิบเสื้อขึ้นมาสวมแล้วเดินออกไปดูข้างนอก “เจ้าอย่าโผล่หน้าออกไป นอนอยู่ตรงนี้ก่อน รอข้ากลับมา เราค่อยมาต่อกัน”

กว่ากู้จิ้งจะลุกขึ้นนั่งได้ก็เห็นเพียงแค่เงาหลังแข็งแรงของชายหนุ่ม ไม่นานนัก เขาก็กระโดดข้ามเนินเขาเล็กๆ ไปที่ถนนแล้วเดินไปหาคนกลุ่มนั้น

หญิงสาวส่ายหน้าด้วยความจนใจ ตอนนี้เธอหมดอารมณ์แล้ว ดังนั้นจึงตัดสินใจลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าเตรียมออกไปทัศนาความงมงายของคนกลุ่มนี้บ้าง

คิดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินไปถึงปากถ้ำ เธอก็ต้องสำลัก “แค็กๆๆ”

“นี่ๆๆ กำลังทำอะไรกัน?” กู้จิ้งไอจนน้ำตาเล็ดก่อนจะรีบหลบกลับเข้าไปในถ้ำด้วยความตกใจ

ผ่านไปครู่หนึ่ง เซียวเถี่ยเฟิงก็กลับมา

“มา… ต่อ” เขายังลุกไม่ล้ม

“พวกเขาคิดจะทำอะไรกัน รมปีศาจน้อยอย่างฉันให้ตายหรือ?” กู้จิ้งเช็ดน้ำตา

เซียวเถี่ยเฟิงมองขอบตาแดงช้ำน่าสงสารของเธอแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้

เขาเอื้อมมือไปบีบแก้มเธอพลางกล่าวยิ้มๆ “น้ำไม่จำเป็นต้องลึก มีมังกรก็ศักดิ์สิทธิ์ ภูเขาไม่จำเป็นต้องสูง มีเซียนพำนักก็เลื่องชื่อ ใครๆ พากันมาเซ่นไหว้ปีศาจน้อยอย่างเจ้าที่ปากถ้ำของเรากันใหญ่แล้ว”

ช่วยไม่ได้ มีคนมาเซ่นไหว้มาก ควันก็เลยเยอะไปหน่อย

 

(คำถาม*: ท่านบรรพบุรุษ ในฐานะสามีของเจ้าถ้ำกู้ต้าเซียน ท่านมีความรู้สึกอย่างไร?*

ท่านบรรพบุรุษ*: ถึงเวลาซื้อหน้ากากป้องกันแก๊สพิษกับเครื่องฟอกอากาศแล้ว)*

เซียวเถี่ยเฟิงเข้าป่าไปล่าสัตว์แล้ว ก่อนไปเขาย่อมกำชับแล้วกำชับอีก เพราะกลัวกู้จิ้งจะปล่อยให้ตัวเองอดตาย

กู้จิ้งพยักหน้ารับคำซ้ำแล้วซ้ำอีก ในที่สุดชายหนุ่มที่จู้จี้ขี้บ่นเสียยิ่งกว่าคุณยายก็ยอมจากไป ไม่เสียทีที่เป็นบรรพบุรุษของคุณยายจริงๆ

เธอมองตามเงาหลังของชายหนุ่มไป เห็นเขาสะพายคันธนูทำเองไว้บนหลัง แขวนดาบยาวไว้ข้างกาย เท้าสวมรองเท้าหนังวัว รูปร่างแข็งแรงสูงตระหง่าน ย่างก้าวหนักแน่นมั่นคงราวกับว่าหากก้าวเท้าออกไป หินที่ข้างทางอาจถูกเหยียบจนแตกได้

“ฉันชอบความแข็งแกร่งของเขาจริงๆ แค่ก้าวเท้าออกไปฮอร์โมนก็ฟุ้งกระจายไปทั่ว!” เธอมองเงาหลังของเขาด้วยความหลงใหล จนกระทั่งเขาเดินไปสุดทางและกำลังจะเลี้ยวไป เธอก็เห็นเขามองกลับมา

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่วางใจ เขาหันมาโบกมือบอกให้เธอกลับเข้าไปในถ้ำ

เธอยิ้มพลางโบกมือตอบ แถมยังส่งจูบไปให้

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจความหมาย หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ทำท่าส่งจูบเลียนแบบเธอกลับมาบ้าง

เครื่องแต่งกายแบบโบราณกับท่าทางแบบคนในยุคปัจจุบันทำให้เขาดูน่าขันอย่างบอกไม่ถูก เธออดยิ้มออกมาไม่ได้

เขาเองก็ยิ้มให้เธอ ในรอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ เซียวเถี่ยเฟิงโบกมือให้เธออีกครั้ง ในที่สุดก็หันกายเดินจากไป

มองดูท่านบรรพบุรุษจากไป แม้กู้จิ้งจะรู้สึกอาวรณ์อยู่บ้าง แต่ไม่นานนักก็ไม่สนใจอีก เพราะเธอกำลังพะวงถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง…กระเป๋าหนังสีดำของเธอ

หลังจากเข้าไปสำรวจกระเป๋าครั้งก่อน เธอก็ยังไม่เคยเข้าไปอีก เธออยากจะทดลองดูว่าเงินที่ได้มาจากจ้าวจิ้งเทียนเมื่อครั้งก่อนจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากมายนับไม่ถ้วนได้เหมือนกันหรือไม่

“ฉันจะปลูกเศษเงินก้อนหนึ่งไว้ในดิน พอถึงฤดูใบไม้ร่วงก็จะได้เก็บเกี่ยวเศษเงินมากมายนับไม่ถ้วน”

เธอกำเศษเงินมุดเข้าในกระเป๋าด้วยความหวังว่าจะได้ร่ำรวยในวันหน้า

พอคิดเช่นนี้ เธอก็คิดถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา

“เอ๋ ถ้าฉันฝังท่านบรรพบุรุษเอาไว้ในดิน พอถึงฤดูใบไม้ร่วงก็จะมีท่านบรรพบุรุษมากมายนับไม่ถ้วนหรือเปล่า? ถึงตอนนั้นก็ทิ้งคนหนึ่งไว้บนเขาเว่ยอวิ๋นให้เป็นบรรพบุรุษของยาย ส่วนคนที่เหลือก็มาปรนนิบัติปรนเปรอฉัน?”

นึกถึงภาพที่ตัวเองมีท่านบรรพบุรุษมากมายนับไม่ถ้วนคอยห้อมล้อม ภาพนั้นช่างงดงามมากจนเธอไม่กล้ามองตรงๆ เลยทีเดียว

ช่างเถอะๆ ตั้งใจปลูกเงินดีกว่า

ก่อนอื่นเธอวางเศษเงินไว้ในกระเป๋าก่อน จากนั้นก็หยิบกลับขึ้นมา มุดออกมาจากกระเป๋าแล้วโยนทิ้งไปข้างๆ เสมือนหนึ่งว่าได้ใช้ไปแล้ว จากนั้นก็มุดกลับเข้าไปในกระเป๋าอีกเพื่อดูว่ามีเศษเงินก้อนใหม่โผล่ออกมาหรือไม่

กู้จิ้งมองซ้ายทีขวาที มองไปมองมา มองอย่างไรก็ไม่พบ

ไม่มีเศษเงินก้อนใหม่โผล่ออกมาสักก้อน

สิ่งที่ค้นพบทำให้เธอผิดหวังมาก

“ความฝันเรื่องบ่อสมบัติของฉันหมดหวังแล้วหรือนี่?” กู้จิ้งไม่อยากเชื่อเลยว่าชีวิตจะโหดร้ายเช่นนี้

หลังจากผิดหวังเรื่องเศษเงิน ไม่นานนักเธอก็คิดหาวิธีสร้างความมั่งคั่งวิธีใหม่ได้

“เงินก้อนนี้ไม่ได้หายไป เงินก้อนใหม่ก็เลยไม่งอกออกมา ดังนั้น ฉันต้องทำให้มันหายไปเสียก่อน ยกตัวอย่างเช่น…” เธอหันไปเห็นฮัสกี้กำลังแทะเนื้อติดกระดูกชิ้นหนึ่งอยู่ก็เลยเอื้อมมือไปแย่งมา “เนื้อติดกระดูกของแกถูกยึดแล้ว”

ฮัสกี้ไม่อยากเชื่อเลยว่ากู้จิ้งจะแย่งกระดูกของมันไป มันมองเธอด้วยสายตาน้อยอกน้อยใจพลางส่งเสียงครางหงิงๆๆๆๆ ตายังคงจ้องกระดูกชิ้นนั้นไม่กะพริบ