บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 214 ความเสียหาย
“พี่ใหญ่”องค์ชายชูเจินเห็นพี่ชายของมันโดนแทงต่อหน้าต่อตา แม้มันจะไม่ได้รักพี่ชายของมันมากแต่มันก็ไม่อาจรับ
“ออกไป” ชูเจนผลักร่างของซูหลายออกจากร่างของพี่ชายมัน แม้จะหยาบคาย แต่ก็ไม่มีใครคิดจะต่อว่ามันแต่อย่างไร
“ท่านพี่ ท่านทําใจดีๆเอาไว้ ท่านพี่” ชูเจินกัดฟันกรอดพลางพยายามกดบาดแผลขององค์ชายชูเฟิงเอาไว้ แต่น่าเสียดาย แผลของมันแทงเข้ากลางหัวใจ ต่อให้ไปจูเหวินอยู่ที่นี่ก็ไม่ทราบว่าจะรักษาได้หรือไม่
“ท่านพี่ กินนี่ก่อน” ชูเจินมีท่าทีเป็นห่วงพี่ชายของมันอย่างผิดสังเกต ไม่ทราบมาก่อนเลยว่ามันจะเป็นห่วงเป็นใยพี่ชายของมันขนาดนี้
“กลืนลงไป เร็วๆเข้า” ชูเจินใช้มือที่สั่นเทายัดยาที่มันได้มาจากไปจูเหวินตอนมันลงไปรักษาคนของมันให้พี่ชายของมัน แต่ยาวิเศษไม่อาจอุดรูที่หัวใจได้ และถึงต่อให้ได้ มันก็คงช้าเกินไปเพราะองค์ชายชูเฟิงเสียเลือดไปไม่น้อยแล้ว
“ไม่นึกว่าเจ้าจะห่วงข้าด้วย” ชูเฟิงพึมพําออกมาพลางฝืนหายใจอย่างเต็มกลืน เสียงหายใจของมันราวกับคนที่พึ่งขึ้นมาจากการดําน้ํา ไม่ว่าจะหายใจแรงเท่าไหร่ก็ไม่อาจเติมเต็มได้เช่นการหายใจปกติ
“พูดอะไรของท่าน หากท่านตายภาระมันจะตกเป็นของข้ากันพอดี” ชูเจินว่าพลางกดแผลของชูเฟิงต่อ ความจริงแล้วการแย่งชิงบัลลังก์ของราชวงศ์ชูนั้นรุ่นแรงมาก ชูเฟิงใช้ทั้งอํานาจและพลังจัดการพี่น้องตนเองไปหลายคน แต่กลับเหลือชูเจินเอาไว้ทั้งๆที่มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยนั้น ไม่ใช่เพราะชูเฟิงไม่กลัวชูเจิน แต่มันในสมัยเด็กนั้นสนิทกับชูเจินที่สุด ถึงอย่างไรมันก็ฆ่าชูเจินไม่ลง ไม่นึกเลยว่าการเหลือมันเอาไว้จะเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เพราะหากมันตายในวันนี้ คนที่จะขึ้นครองราชก็ยังเหลืออยู่
“แก อีนั่งสารเลว” ชูเจินคํารามพลางหันไปมองอีซูหลาน นางนั้นต้องไม่อยากแต่งงานกับพี่ชายของมันอย่างแน่นอน แต่ไม่นึกว่าจะถึงขั้นลงมือสังหารพี่ชายของมันต่อหน้าประชาชนเช่นนี้
“จับมันเอาไว้ วันนี้จะไม่มีราชวงศ์อู่คนไหนมีชีวิตรอดออกไปจากวังของราชวงศ์ชู”ได้ยินคําสั่งของชูเจิน เหล่าองครักษ์ที่เดือดดานกันอยู่แล้วก็ไม่รอช้าโถมเข้าเล่นงานพวกจักรพรรดิของอาณาจักรอู๋ที่พลังวิญญาณอ่อนด้อยก่อน แต่ก็ไม่ใช่แค่คนของฝั่งอาณาจักรชูเท่านั้นที่พร้อมอยู่ก่อนแล้ว แม้แต่คนของอาณาจักรอู๋เองยังเตรียมพร้อมรับผลที่จะตามมาเช่นกัน
“หยุด” เสียงๆหนึ่งที่ดังขึ้นมากลายเป็นเสียงห้ามทัพในทันที เพราะคนที่ตะโกนออกมาด้วยเสียงที่แทบจะหมดแรงอยู่แล้วคือชูเฟิงนั่นเอง
“เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง” เฟิงกัดฟันพลางลุกขึ้นยืน มันยังคงมองไปทางซูหลานด้วยสายตาอ่อนโยนราวกับเรื่องที่มันถูกแทงนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย
“วันนี้…หรือวันไหนๆ” ชูเฟิงพูดด้วยปากที่เต็มไปด้วยเลือด ทําเอาภาพที่เห็นตรงหน้าช่างน่าหดหู่เหลือเกิน
“พวกเราก็จะไม่ทําสงครามกับอาณาจักรอู๋” ชูเฟิงกัดฟันพูดพลางจ้องมองไปทางอู๋หมิงมันได้เห็นท่าที่ของซูหลานมานานแล้ว มันทราบดีว่าซูหลานไม่ได้รักมัน แต่ดวงตาของนางไม่เคยโกหก นางไม่มีวันทรยศอาณาจักรของตนเองอย่างการแทงชูเฟิงท่ามกลางสายตาของประชาชนอาณาจักรชูแน่ๆ ทําแบบนั้นมันเหมือนการประกาศสงครามกันโต้งๆ แม้มันจะใกล้หมดลมหายใจแล้วมันก็ยังเชื่อว่า เรื่องทั้งหมดนี้ต้องมีเบื้องหลังแน่ๆ
“ชูเจิน เจ้าสัญญากับข้าปล่อยคนของอาณาจักรอู๋ไป แล้วห้ามทําสงครามกับอาณาจักรธุ์โดยเด็ดขาด” ชูเฟิงว่าพลางล้มลงคุกเข่ากับพื้น ทําให้ซูหลานที่ล้มอยู่ตรงหน้ามันอยู่ในระดับสายตาของชูเฟิงพอดี
“นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า” ชูเฟิงพูดด้วยน้ําเสียงแผ่วเบา ก่อนที่ร่างของมันจะล้มลงไปนอนกับพื้น พริบตานั้นพวกมันก็ทราบทันทีว่าชูเฟิงได้หมดลมหายใจลงแล้ว
“องค์ชาย” เหล่าองครักษ์และขุนนางต่างโถมเข้ามาหาชูเฟิงทันที ตลอดหลายปีที่ผ่านมาชูเฟิงกัดฟันส้กับภัยธรรมชาติของอาณาจักรเสมอมาจนอาณาจักรตั้งตัวได้ การเสียองค์ชายผู้นี้ไปนั้นสร้างความเสียหายให้กับอาณาจักรชูอย่างมาก
“ออกไป” ชูเจนว่าพลางใช้นิ้วชี้มาทางอี้หมิงที่ยืนอยู่ด้านหลังซูหลาน
“ออกไป ก่อนที่ข้าจะทนไม่ไหว” ชูเจินตะหวาดเสียงแหบพร่า นี้เป็นครั้งแรกที่มันโกรธจนแทบคลั่ง แต่มันไม่อาจทําอะไรได้เพราะคําขอของชูเฟิงที่ทิ้งเอาไว้ก่อนตาย หากมันไม่ขอเอาไว้เช่นนั้น เหล่าองครักษ์ยอดฝีมือ แม้แต่พวกขุนนางไร้พลังวิญญาณคงช่วยกันรุมทิ้งร่างของซูหลานไปแล้วแน่ๆ
“แล้วข้าจะหาสาเหตุของเรื่องทุกอย่าง”อู๋หมิงพูดพลางมองท่าทีของซูหลาน นางคงโดนอะไรบางอย่างมาแน่ๆ เพราะหากนางจะไม่เข้าพิธี นางคงบอกแต่แรกแล้ว
“ข้าบอกให้ออกไป” ชูเจินไม่ฟังสิ่งใดทั้งสิ้น มันตะหวาดใส่อู๋หมิงพลางเรียกกระบี่ออกมาด้วยโทสะอันเดือดดาน แต่มันก็ยังสามารถรั้งมือเอาไว้ได้เพราะมันยังพยุงร่างของพี่ชายมันเอาไว้ด้วยมืออีกข้าง
“ ”ฝั่งอาณาจักรอี้ไม่ทราบจะทําเช่นไรดี พวกมันได้แต่พากันออกจากวังของอาณาจักรชูท่ามกลางสายตามุ่งร้ายนับไม่ถ้วน หากไม่ได้คําขอสุดท้ายของชูเฟิงช่วยเอาไว้ ต่อให้ที่นี่มีอาวุโสเทียนหมิงและเซียนดาบอยู่ด้วย พวกมันก็คงไม่อาจหนีรอดออกมาได้ทุกชีวิตเช่นนี้
“รีบเดินทางกลับเร็วเข้า”องค์จักรพรรดิสั่ง พลางบอกให้ลูกน้องถอดเครื่องประดับตกแต่งรถม้าออก แล้วใช้รถม้าเปล่าหนีไปจากเมือง
“ซูหลาน…”อู๋หมิงที่นั่งอยู่บนรถม้าคันเดียวกันกับซูหลานพูดด้วยความเป็นห่วง เพราะตั้งแต่แทงชูเฟิงไปนางยังไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คําเดียว
“ซูหลาน”อู๋หมิงพยายามเรียกตัวซูหลาน แต่นางกลับไม่มีท่าที่จะตอบโต้เลย นางเอาแต่มองพื้นเบื้องหน้านาง โดยไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างไร
“ปล่อยให้นางพักเถอะ” พระมเหสีพูดพลางเดินเข้ามาหาอู๋หมิง นางเข้ามานั่งข้างๆซูหลานแทน พลางจับมือที่เต็มไปด้วยเลือดของชูเฟิงเอาไว้แน่น
“องค์จักรพรรดิ แย่แล้วขอรับ” หลังจากเดินทางมาจนถึงชายแดนด้วยความตึงเครียด อยู่ๆทหารที่ทําหน้าที่ขับรถม้าก็โพล่งขึ้นมาด้วยความตกใจ
“มีอะไร”องค์จักรพรรดิถามพลางโผล่ออกมาจากหน้าต่างรถม้า
“เมืองของเรา…” องครักษ์คนนั้นว่าพลางชี้ไป ที่เบื้องหลังเขตแดนเมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่ซูหลานเดินทางด้วยพรมแดงข้ามเขตไปยังเมืองของอาณาจักรชู เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าอาณาจักรทั้งสองจะกลายเป็นเมืองพี่น้องกัน แต่ยามนี้พรมสีแดงสวดสุดงดงามกลับเต็มไปด้วยดินทรายและรอยเท้าของทั้งคนและม้า พรมสีแดงที่ทอดออกมาจากในเมืองไหม้เกรียมจนเหลือแต่เศษข้างนอกเท่านั้น แน่นอนว่าภายในเมืองนั้นไหม้เกรียมไม่เหลือชิ้นดี ดูจากสภาพแล้วที่นี้อาจจะโดนทําลายตั้งแต่ตอนที่พวกอู๋หมิงเดินทางไปยังวังของอาณาจักรชูแล้วก็เป็นได้
“…..”อี้หมิงและเหล่าพี่น้องที่อยู่ในรถม้ามองสภาพเมืองที่เหลือแต่ศากด้วยสายตาตื่นตระหนก แม้จะพยายามอ้อมไปทางอื่นแล้ว แต่เมืองทั้งเมืองที่ไหม้ไม่เหลือชิ้นดีนั้นไม่อาจจะเลี่ยงได้จริงๆ
“อาจารย์ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”อู๋หมิงกระโดลงจากรถม้า มันวิ่งตรงไปหาอาวุโสเทียนหมิงที่ขึ้นไปสํารวจบนกําแพงอยู่ก่อนแล้ว
“เป็นพวกอาณาจักรฮัว” อาวุโสเทียนหมิงตอบด้วยสีหน้าเศร้าหมอง นอกจากลักษณะการไหม้ที่เกิดจากเพลิงสีฟ้าของอาณาจักรฮัวแล้ว ตามบ้านเรือนยังมีธงของอาณาจักรฮัวบางผืนตกอยู่อีกด้วย
“พวกมัน…” หมิงกัดฟันแน่นหลังจากสายตามองไปเห็นภาพชาวเมืองของตนที่โดนเผาจนไม่เหลือชิ้นดี
“ไปกันเถอะ ที่นี่เราช่วยไม่ได้แล้ว” อาวุโสเทียนหมิงว่าพลางจับบ่าของอู๋หมิงเอาไว้
“ขอรับ”อู๋หมิงตอบเสียงเบาพลางหลับตาลง ไม่นึกเลยว่านอกจากจะเข้าไปทําลายพิธีอภิเษกของซูหลานแล้ว พวกมันยังโจมตีอาราจักรอู่อีกต่างหาก
“แบบนี้มันกลายเป็นสงครามแล้ว รีบกลับไปที่วังเถอะ”องค์จักรพรรดิว่าพลางพาอี้หมิงกลับขึ้นรถม้า ยามนี้พวกมันต้องรีบกลับไปที่วัง เพราะหากไม่มีผู้นําละก็ อาณาจักรได้ล่มสลายเป็นแน่
“ข้าบอกท่านแล้วพี่ใหญ่ ว่ามันต้องเป็นแบบนี้” หลังจากอู๋หมิงกลับเข้ามาในรถม้า จื่อหลานองค์หญิงอันดับ 1 แห่งอาณาจักรอู๋ก็พูดขึ้นพลางจ้องมองพี่ชายในนามของนางอย่างเอาเรื่อง นางพยายามบอกทุกคนแล้วว่าสงครามจะต้องเกิดขึ้น
“เจ้าถูกแล้ว”อู๋หมิงว่าพลางเรียกกระบี่ทัณฑ์สวรรค์ออกมา พร้อมปลดปล่อยพลังเซียนจนเหล่าองครักษ์สัมผัสถึงพลังของธุ์หมิงได้ทุกคน
“ในเมื่อพวกมันต้องการสงครามนัก”อูหมิงพูดด้วยน้ําเสียงเย็นยะเยียบ ยามนี้รอบกายมันปรากฏประกายไฟฟ้าไหลอยู่รอบๆ ราวกับจะบอกว่าภายในใจของมันนั้นเดือดดาลแค่ไหน
“ข้าก็จะทําให้พวกมันสมหวัง”อู๋หมิงชักกระบี่ทัณฑ์สวรรค์ออกมาพลางส่องเงาตนเองในกระบี่ แววตาของมันที่ส่องกระทบกระบี่นั้นเต็มไปด้วยความแค้นและความจริงจัง หากมันอยากให้อาณาจักรอู๋สู้ พวกมันจะได้ตามนั้น