ตอนที่ 292 การปรากฏของเพลิงศักดิ์สิทธิ์

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ผู้มาใหม่สวมเสื้อคลุมสีขาวนวลดุจดวงจันทร์และหน้ากากสีขาวเงินบดบังใบหน้าโดยเผยให้เห็นเพียงนัยน์ตาล้ำลึกเท่านั้น รูปร่างได้สัดส่วนและเส้นผมสีขาวเงินแซมบนศีรษะ ลักษณะทุกอย่างเสริมให้เขาดูลึกลับอย่างที่สุด

“ฮ่าๆๆ ท่านผู้นำหยินหึนก็สุภาพเกินไป พวกเราเพิ่งมาถึงเมื่อครู่นี่เอง”

เมื่อเห็นบุรุษผู้มาใหม่ เยว่ชิงประธานสมาคมช่างหลอมไม่ได้มีท่าทีแปลกใจแม้แต่น้อย

เขาเพียงยิ้มเล็กน้อยและกล่าวตัวตนของบุรุษตรงหน้า

เมื่อได้ยินว่าบุรุษผู้มาใหม่คือใคร บรรดาผู้ที่ไม่เคยพบเขามาก่อนต่างก็ชะงักค้างไปชั่วขณะ จากนั้นพวกเขาก็อุทานออกมาอย่างอดไม่ได้

ผู้นำขุมกำลังเอกพิภพคือคนที่ลึกลับที่สุดในดินแดนอ้างว้าง ทั่วทั้งดินแดนแห่งนี้ ไม่มีใครรู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริง รูปลักษณ์หรือแม้กระทั่งที่อยู่ของเขา

ไม่มีใครทราบถึงตำแหน่งที่ตั้งของขุมกำลังเอกพิภพเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม แทบทุกคนรู้ว่าขุมกำลังเอกพิภพเป็นขุมกำลังที่ลึกลับและน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าสมาคมใหญ่ทั้งสี่และสิบขุมกำลังใหญ่เสียอีก

อาจมีบางคนที่ไม่เกรงกลัวอำนาจของสี่สมาคมใหญ่ อีกทั้งยังอาจหาญเผชิญหน้ากับขุมกำลังอื่นๆ ทว่าหากต้องเผชิญหน้ากับขุมกำลังเอกพิภพ ไม่มีใครกล้าอาจหาญกระตุกหนวดของพวกเขา

ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลข่าวสารเกือบทุกอย่างในดินแดนอ้างว้างไม่สามารถเล็ดลอดไปจากขุมกำลังเอกพิภพได้และพวกเขามีหูมีตาอยู่ทั่วทุกหนแห่ง

ไม่ว่ามียอดฝีมือใหม่ปรากฏตัวหรือมีสถานที่ที่น่าสนใจใดๆ ไม่ว่ายอดฝีมือหรือขุมกำลังใดมีเรื่องบาดหมางและรบราฆ่าฟันกัน ขุมกำลังเอกพิภพมักเป็นกลุ่มแรกที่ทราบข่าวอยู่เสมอ

หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่าขุมกำลังเอกพิภพแทรกซึมไปทั่วทุกซอกทุกมุมของดินแดนแล้วหรือไม่และแทบทุกอย่างในดินแดนนี้ไม่สามารถซ่อนเร้นปิดบังจากพวกเขาได้

“ฮ่าๆๆ ผู้นำเฟิง ประธานซางเสวียน ประธานเย่าเหยียน ประธานหลี่เอิน ยินดีที่ได้รู้จัก”

เสียงหัวเราะเบาๆดังมาจากภายใต้หน้ากากและเสียงของผู้นำขุมกำลังเอกพิภพฟังรื่นหูอย่างมาก

“ฮ่าๆๆ ท่านผู้นำขุมกำลังเอกพิภพ ไม่ได้เจอกันเสียนาน”

เฟิงอู๋เฉินเคยพบหยินหึนมาก่อน ทว่ามันก็ผ่านมานานมากแล้ว

สำหรับซางเสวียน เย่าเหยียนและหลี่เอิน พวกเขาไม่เคยเห็นหน้าบุรุษลึกลับผู้นำขุมกำลังเอกพิภพมาก่อน ทว่าพวกเขาคาดเดาได้จากวาจาของเฟิงอู๋เฉินและเยว่ชิง ทั้งสามเอ่ยทักทายหยินหึนพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร

“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้าแล้ว เริ่มงานกันเถอะ”

เยว่ชิงยิ้มเล็กน้อย บัดนี้เมื่อทั้งกรรมการตัดสินและผู้เข้าแข่งขันมารวมตัวกันครบแล้ว งานชุมนุมช่างหลอมก็ได้เวลาเริ่มต้นเสียที

หยินหึนและคนอื่นๆพยักศีรษะอย่างเข้าใจโดยไม่ต้องเอ่ยปากและพวกเขาทั้งหมดนั่งลงตรงกลางแท่นสำหรับกรรมการ

ในตอนแรก แม้ว่าเยว่ชิงเป็นประธานของสมาคมช่างหลอมซึ่งถือเป็นคนสำคัญที่สุดของงานนี้ เขาก็ยังจัดตำแหน่งที่นั่งให้หยินหึนผู้ลึกลับอยู่ตรงกลาง

ทว่าหยินหึนไม่ยินยอมตามนั้นและเลือกนั่งลงบนเก้าอี้ทางซ้ายสุด

เฟิงอู๋เฉินก็เพียงยิ้มน้อยๆและนั่งลงถัดจากเขา

สุดท้ายเยว่ชิงก็ต้องนั่งลงในตำแหน่งตรงกลางไปโดยปริยายและประธานของสมาคมอื่นๆก็ นั่งถัดไปตามลำดับ

ผู้ที่ทำหน้าที่ดำเนินงานชุมนุมครั้งนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นผู้อาวุโสหลัวหลินผู้ที่ทำการประเมินทักษะให้กับฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้

ผู้อาวุโสหลัวหลินก็สังเกตเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่นๆเช่นกันจึงส่งยิ้มให้เล็กน้อยก่อนทำตามหน้าที่ของตนเอง

“ฮ่าๆๆ ในเมื่อทุกท่านมารวมตัวกันที่เมืองไป๋อวี้ของเรา ไม่ว่าจะมาเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันหรือแม้แต่มาเพื่อรับชมความสนุกสนาน ทุกท่านก็คงจะตั้งตารอคอยการแข่งขันครั้งนี้อย่างแน่นอน ผ่านมาห้าปีแล้วนับตั้งแต่งานชุมนุมช่างหลอมครั้งล่าสุด ข้าไม่รู้เลยว่าตลอดห้าปีที่ผ่านมามีจะยอดฝีมือช่างหลอมหน้าใหม่ถือกำเนิดขึ้นในดินแดนของเรามากเพียงใด”

หลัวหลินยิ้มและกล่าวอย่างคาดหวัง

“ข้าเชื่อว่าช่างหลอมทุกคนที่เข้าร่วมแข่งขันได้เห็นกฎเกณฑ์ของงานครั้งนี้แล้ว และข้าคงไม่ต้องอธิบายถึงของรางวัลมากนักเช่นกัน ข้าเชื่อว่าทุกคนทราบกันดีอยู่แล้ว เอาล่ะ ต่อไปเราจะเริ่มการแข่งขันกันได้เลย!”

ทันทีที่สิ้นเสียงหลัวหลิน เสียงดังโครมครามก็ดังขึ้นถัดจากจุดที่เขายืนอยู่

จากนั้นฉินอวี้โม่และทุกคนก็เห็นเสาหลักเล็กๆหลายต้นโผล่พ้นขึ้นจากพื้นซึ่งเสาแต่ละเสาสามารถรองรับคนสี่ถึงห้าคนยืนเรียงกันได้

เสาเล็กๆเหล่านั้นค่อยๆพุ่งทะยานสูงขึ้นบนอากาศก่อนหยุดลง หากนับจำนวนอย่างคร่าวๆจะพบว่ามีเสาทั้งหมดมีประมาณหลายร้อยต้น

“ทุกคนต่างก็ทราบดีว่าช่างหลอมไวต่ออิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวอย่างมากและจะต้องมีสมาธิกับกระบวนการหลอมอย่างที่สุด เพราะเหตุนั้นทางสมาคมของเราจึงเตรียมแท่นสูงไว้เพื่อที่ผู้แข่งขันจะได้ทำการหลอมอุปกรณ์ที่ต้องการบนแท่นเหล่านี้ได้อย่างอิสระ ยิ่งไปกว่านั้น คนที่อยู่ข้างล่างก็จะได้มองเห็นทักษะการหลอมและสถานะของท่านทุกคนได้อย่างชัดเจน”

เมื่อเห็นแววตาแปลกใจของทุกคน หลัวหลิวจึงยิ้มและอธิบาย

ทันทีที่เห็นแท่นสูงตรงหน้า ฉินอวี้โม่ก็เข้าใจได้พอสมควร

คาดการณ์ว่าสมาคมช่างหลอมกังวลว่าอาจมีผู้เข้าแข่งขันบางคนเล่นตุกติกระหว่างการหลอม เหตุนั้นพวกเขาจึงเตรียมแท่นสูงเหล่านี้ไว้ การกระทำของทุกคนจะเป็นที่ประจักษ์ชัดจนต่อสายตาของกรรมการและผู้ชมทุกคน และบางคนที่มีเจตนาร้ายจะไม่กล้าลงมือทำอะไร

“บัดนี้เชิญช่างหลอมทุกท่านขึ้นไปบนแท่นได้เลย”

หลัวหลินชี้ไปที่แท่นสูงและรอบรรดาช่างหลอมเดินขึ้นไป

กลุ่มสามคนของฉินอวี้โม่ก็มองหน้ากันและยิ้มอย่างรู้กัน จากนั้นร่างของทั้งสามก็กะพริบหายไปและปรากฏตัวบนแท่นสูงสามแท่นที่อยู่ไม่ไกลจากกันทันที

เมื่อหันไปมองดู นางก็พบว่าทางขวามือของตนเองคือปรมาจารย์ช่างหลอม—หวังซั่ว

หวังซั่วเองก็สังเกตเห็นฉินอวี้โม่เช่นกันและแค่นเสียงในลำคอโดยไม่พูดอะไร

อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มเล็กๆปรากฏที่มุมปากของเขา ตอนที่ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆหยามเกียรติเขาก่อนหน้านี้ มันทำให้เขาโกรธแค้นอย่างยิ่ง สำหรับการหลอมอุปกรณ์ในวันนี้ ในเมื่อโอกาสอยู่ใกล้แค่เอื้อม เขาจะแสดงให้ฉินอวี้ได้เห็นและยอมรับชะตากรรมของตนเอง

เมื่อผ่านไปครู่ใหญ่ ช่างหลอมทุกคนที่เข้าร่วมแข่งขันก็ขึ้นไปประจำบนแท่นสูงของตนเองเรียบร้อยแล้ว แท่นที่เหลือที่ไม่มีใครครอบครองก็ส่งเสียงโครมครามอีกครั้งและหดตัวกลับลงไป

“เอาล่ะ งานชุมนุมช่างหลอมครั้งนี้จะใช้เวลาสามวัน หากใครหลอมเสร็จก่อนก็มาลงทะเบียนแจ้งอายุและชื่อที่ข้า จากนั้นข้าจะบันทึกผลงานและรอแจ้งผลลัพธ์สุดท้าย”

หลัวหลินกล่าวต่อเล็กน้อยก่อนหยุดลงและหาที่นั่ง

เยว่ชิงและกรรมการคนอื่นๆก็มองบรรดาช่างหลอมและพยักศีรษะด้วยความพึงพอใจ

“ฮ่าๆๆ งานครั้งนี้มีคนเข้าร่วมการแข่งขันมากกว่าครั้งก่อนเสียอีก”

หยินหึนหัวเราะเบาๆพลางกล่าว

“ช่วยไม่ได้ รางวัลที่พี่เยว่จัดมาในงานปีนี้ธรรมดาซะที่ไหน คงมีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะเมินเฉยมันได้ ฮ่าๆๆ”

เย่าเหยียนเป็นคนโผงผางตรงไปตรงมาอย่างมาก เขากล่าวและหัวเราะเบาๆโดยไม่มีความริษยาเจือปนในน้ำเสียง

“พวกท่านคิดว่าใครจะเป็นผู้คว้าชัยในการแข่งขันครั้งนี้?”

ซางเสวียนเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้และตั้งตารอชม

“สำหรับข้า มีสามคนที่น่าสนใจ: กู่หยวน—ช่างหลอมอันดับหนึ่งของดินแดน เฟิงเสวี่ยเฉิน—หัวหน้าช่างหลอมจากขุมกำลังหนึ่งนภา และหวังซั่ว—ช่างหลอมจากตระกูลเฟิง หากไม่มีอะไรเกินคาด ชัยชนะก็น่าจะตกเป็นของหนึ่งในสามคนนี้”

หลังจากหยุดชั่วคราว หลี่เอินก็กล่าวต่อ “แต่ทว่า… ในเมื่อมีคนเข้าร่วมแข่งขันมากมายถึงเพียงนี้ อาจมีใครอื่นที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้ ไม่มีทางบอกได้เลยว่าในงานชุมนุมครั้งนี้จะมีดวงดาวที่เจิดจรัสขึ้นมาอย่างฉับพลันหรือไม่”

เมื่อได้ฟังความคิดเห็นของหลี่เอิน ทุกคนก็พยักศีรษะเห็นด้วยอย่างพร้อมเพรียงกันและตั้งตารอดูผลที่จะเกิดขึ้น

อันที่จริง พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้ตั้งตารอดูผลงานของกู่หยวน เฟิงเสวี่ยเฉินและหวั่งซั่วเท่าไหร่นัก ทว่าพวกเขาต่างรอดูว่าจะมียอดฝีมือหน้าใหม่เฉิดฉายในงานครั้งนี้หรือไม่

เฟิงอู๋เฉินไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร สายตาของเขาเพียงจดจ่ออยู่ที่เฟิงเสวี่ยเฉินจากขุมกำลังหนึ่งนภาของตนเอง เรียกได้ว่าเขามั่นใจในความสามารถและเชื่อมั่นอย่างมากว่าเฟิงเสวี่ยเฉินจะไม่พ่ายแพ้ต่อหวังซั่ว กู่หยวนและคนอื่นๆ

สำหรับผู้นำขุมกำลังเอกพิภพนั้น แม้ว่าไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน อดีตนักฆ่าสาวก็สัมผัสได้ว่าแววตาของเขามองตรงมาที่นาง

จู่ๆฉินอวี้โม่ก็เกิดความสนเท่ห์บางอย่าง ดูเหมือนว่าผู้นำขุมกำลังเอกพิภพผู้ลึกลับจะสงสัยเกี่ยวกับตัวนาง!

ฟึ่บ!

ไม่ทราบได้ว่าช่างหลอมคนใดเริ่มต้นเปิดฉากและจุดเพลิงของตนเองขึ้นมา

เปลวเพลิงสีน้ำเงินปรากฏบนปลายนิ้วมือของเขาและดูสวยงามอย่างมาก

จากนั้นช่างหลอมคนอื่นๆก็ไม่รอช้าและเพลิงของพวกเขาก็จุดขึ้นตามๆกันด้วยความพร้อมที่จะหลอมอุปกรณ์ของตนเอง

ฟึ่บ!

ทันใดนั้น เพลิงสีทองร้อนฉ่าก็ปรากฏท่ามกลางสายตาของทุกคนส่งผลให้เพลิงของช่างหลอมคนอื่นๆดูสลัวลงเล็กน้อยและถึงขั้นดับไปในทันที

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงแหล่งที่มาของเพลิงนั้นและนางก็นิ่วหน้าเล็กน้อย

เจ้าของเพลิงนั้นไม่ใช่ใครอื่นไกล หากแต่เป็นปรมาจารย์ช่างหลอมที่อยู่ถัดจากนาง—หวังซั่ว

สีหน้าของหวังซั่วเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เขาเป็นปรมาจารย์ช่างหลอมผู้ครองเพลิงศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าเพลิงของเขาต้องแตกต่างจากคนอื่นๆ

ต้นกำเนิดของเพลิงสีทองที่จุดประกายขึ้นได้สร้างความตกตะลึงในหมู่ผู้คนและหลายคนสัมผัสได้ถึงความแตกต่างระหว่างตนเองและเขา

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเพลิงเกือบทั้งหมดดับไปแล้วก็ยังมีส่วนน้อยที่เพลิงยังคงริบหรี่เป็นประกายสลัวอย่างไม่ย่อท้อ

ช่างหลอมหลายคนจดจ่อสายตาไปที่หวังซั่วและไม่สบอารมณ์กับท่าทีของเขามากยิ่งขึ้น

“ฮ่าๆๆ อวี๋โม่ ก่อนหน้านี้เจ้ายังโอหังได้มิใช่รึ เหตุใดจึงไม่จุดเพลิงของตนเองขึ้นมา? ข้าขอชมเพลิงของเจ้าจะได้รึไม่ ข้างสงสัยนักว่าเจ้าจะหลอมอุปกรณ์อย่างไรหากปราศจากเพลิง”

หวังซั่วหาได้สนใจสายตาของผู้คนขณะมองฉวี่ฉินอวี้โม่อย่างหยามเหยียดและกล่าวด้วยวาจาดูแคลน

ฉินอวี้โม่นิ่วหน้าเล็กน้อยและในที่สุดก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการทำอะไร

นั่นก็คือเขาพยายามใช้อำนาจบารมีจากเพลิงศักดิ์สิทธิ์ของตนเองในการกดขี่ข่มเหงนางเพื่อที่นางจะจุดเพลิงของตนเองขึ้นมาไม่ได้และไม่สามารถหลอมอุปกรณ์ของตนเอง

“ข้าแนะนำให้เจ้าไสหัวไปให้เร็วที่สุด การที่มีข้าอยู่ที่นี่ทั้งคน เจ้าไม่มีทางได้แข่งขันอย่างราบรื่น”

เมื่อเห็นสีหน้าของฉินอวี้โม่หวังซั่วก็ทะนงตนยิ่งกว่าเดิม ภายใต้แรงกดดันจากเพลิงศักดิ์สิทธิ์ เพลิงเล็กเพลิงน้อยธรรมดาย่อมต้องยอมจำนน

‘อวี๋โม่’ ผู้นี้ ถึงแม้หวังซั่วจะไม่สามารถมองเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจนและไม่รู้พลังที่แท้จริง ทว่าหากเขาเป็นช่างหลอมที่โดดเด่นและมากฝีมือหรือถือครองเพลิงศักดิ์สิทธิ์อยู่ ไม่ว่าจะเป็นคนลึกลับเพียงใดสุดท้ายก็ต้องมีชื่อเสียงเลื่องลือในดินแดนพอสมควร ในเมื่ออีกฝ่ายไร้ซึ่งชื่อเสียงใดๆ แน่นอนว่าเขาก็ไม่จำเป็นต้องวิตกกังวล

ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วมุ่นอีกครั้งเมื่อได้ยินวาจาข่มขวัญดังกล่าว

“นายหญิง เพลิงอสูรของคนผู้นี้ดูจะเป็นเพลิงประเภทหนึ่งที่มาจากกวางศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสี มันเป็นเพลิงที่ทรงพลังอย่างมาก แต่หากนายหญิงใช้เพลิงของพวกเรา มันก็น่าจะไม่ส่งผลอะไร”

เสี่ยงของหงส์แดงดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่

‘กวางศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสี’ เป็นอสูรมายาโบราณ แม้ว่าพลังการต่อสู้ของมันไม่แข็งแกร่งนัก มันก็มีเพลิงที่ทรงพลังอย่างมากซึ่งถือว่าเป็นอสูรมายาที่ช่างหลอมมากมายหมายปองอย่างที่สุด

ไม่คิดเลยว่าหวังซั่วจะมีกวางศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสีเป็นอสูรมายาประจำตัว ไม่แปลกใจเลยที่เขายโสโอหังถึงเพียงนี้

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเล็กน้อยขณะเตรียมเรียกเพลิงของวิหคอมตะ

.