ตอนที่ 189 เมืองดอกบัว

Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน

“เจ้านิกาย ตื่น เจ้านิกาย”

 

ผู้อาวุโสนิกายหลายคนพยายามที่จะปลุกโหลวหลานจีจากการหลับไหล แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเขย่าตัวเธอเท่าไร เธอยังคงสลบไสล

 

นี่ทำให้ผู้อาวุโสนิกายเกิดความกลัว เกิดอะไรขึ้นกับเธอ เธอจะตื่นขึ้นอีกหรือไม่

 

และในเมื่อพวกเขาไม่ต้องการให้เธอหลับอยู่ในที่แจ้งอีกต่อไป พวกเขานำเธอกลับไปยังห้องของเธอเองและเริ่มตามหาหมอโดยหวังว่าจะหาสาเหตุได้

 

ในเวลานั้นหลังจากเดินทางไปไม่กี่นาที ซูหยางก็กลับไปถึงเมืองที่เขาได้แหวนมิติเป็นครั้งแรก

 

แท้จริงแล้ว เพื่อนเก่าที่เขาต้องการพบคือหวังซูเหริน นักปรุงยาฝึกหัดของนิกายดอกบัวเพลิง

 

อย่างไรก็ตามครั้นเมื่อเขาไปถึงโรงประมูลดอกบัวเพลิง เขาก็พบว่าทั้งสถานที่นั้นปิด

 

“หนุ่มน้อย โรงประมูลดอกบัวเพลิงเปิดเพียงปีละครั้ง และปีนี้การประมูลได้จบไปแล้ว”

 

คนผ่านทางที่ใจดีเตือนเขาเมื่อเห็นเขายืนอยู่หน้าโรงประมูลด้วยท่าทางงงงัน

 

“ท่านทราบหรือไม่ว่าข้าจะหาคนที่ดูแลสถานที่นี้ได้จากที่ไหน” ซูหยางถามคนผ่านทางนั้น

 

“ถ้าเจ้าพูดถึงศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิง เช่นนั้นเจ้าสามารถหาพวกเขาได้ที่เมืองดอกบัวใกล้กับชายแดนด้านใต้” คนผ่านทางกล่าวพร้อมกับชี้ไปทางใต้

 

ซูหยางพยักหน้า “ขอบคุณสำหรับข่าวสาร”

 

เขาพลันนำเอาหินวิญญาณห้าก้อนจากแหวนมิติส่งมันให้กับคนผ่านทางก่อนที่จะออกจากเมือง

 

“สวรรค์” เมื่อคนผ่านทางเห็นสิ่งที่ซูหยางส่งให้กับเขา เขาเกือบตกใจตาย

 

ว่าไปแล้ว หินวิญญาณหนึ่งก้อนสามารถขายได้เหรียญทองหลายเหรียญ ซึ่งเกินพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัวปกติได้หลายปี อย่าว่าแต่หินวิญญาณห้าก้อน

 

ด้วยความกลัวว่าจะมีใครแอบเห็นหินวิญญาณและปล้นเขา คนผ่านทางรีบซ่อนหินวิญญาณในกระเป๋าและเริ่มวิ่งกลับบ้านเพื่อที่จะแจ้งข่าวให้กับครอบครัว

 

สองสามนาทีหลังจากที่เขาออกจากโรงประมูลดอกบัวเพลิง ซูหยางก็ตรงไปไปยังเมืองดอกบัว

 

“เจ้ารู้ไหมว่าข้าสามารถหานิกายดอกบัวเพลิงได้จากที่ไหน” ซูหยางถามทหารยามคนหนึ่งที่ยืนยามอยู่ด้านนอกเมืองดอกบัว

 

“นิกายดอกบัวเพลิง เจ้าเป็นใครกัน ทำไมเจ้าต้องหาพวกเขา” ทหารยามพลันสอบถามเขา

 

“ข้าเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และข้ามาที่นี่เพื่อพบเพื่อนเก่า” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร

 

“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” ทหารยามตอนนี้นึกขึ้นได้ว่าเหตุใดเสื้อผ้าของซูหยางดูคุ้นเคย “เจ้ามีบัตรประจำตัวหรือไม่”

 

ทหารยามยืนยันตัวตนของเขาแล้วกล่าวว่า “เมืองดอกบัวก็คือนิกายดอกบัวเพลิง และนอกจากว่าเจ้ามาพร้อมกับศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิง มิฉะนั้นเจ้าต้องจ่ายสิบเหรียญทองแดงก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าได้ ถึงแม้ว่าเจ้าจะมาเยี่ยมศิษย์คนใดก็ตาม”

 

“ทั้งเมืองเป็นนิกายดอกบัวเพลิง” ซูหยางค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อย นิกายเช่นนี้ค่อนข้างหายากแม้กระทั่งในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่

 

“เออ พูดให้ถูกต้องก็คือเมือถูกสร้างล้อมรอบนิกายดอกบัวเพลิง มันมีระบบงานเหมือนกับเมืองอื่นแต่เน้นในเรื่องของธุรกิจมากกว่าสิ่งอื่นใด และมันถูกควบคุมโดยนิกายดอกบัวเพลิง”

 

“เช่นนั้นนั่นเอง…”

 

เพราะว่าซูหยางไม่ได้มีเหรียญย่อยในตัว เขาจึงยื่นส่งหินวิญญาณให้ทหารยามทั้งก้อน

 

“อือ…” ทหารยามมองดูเขาด้วยตาเบิกกว้างและท่าทางงุนงง “ค-ค่าเข้าเมืองสิบเหรียญทองแดง…”

 

“ข้ามิมีเหรียญย่อย”

 

“ป-โปรดรอสักครู่ในระหว่างที่ข้าไปแลกเปลี่ยนให้กับเจ้า–”

 

“นั่นมิจำเป็น” ซูหยางไม่สนใจกับเพียงแค่หินวิญญาณก้อนเดียว

 

ดวงตาทหารยามเบิกกว้างกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น

 

“เพื่อที่จะจ่ายค่าเข้าเมืองด้วยหินวิญญาณทั้งก้อน คนประหลาดนี้รวยมากแค่ไหนกัน” เขาอดไม่ได้ที่จะอิจฉาความร่ำรวยและพฤติกรรมที่ไว้ตัวของอีกฝ่าย

 

“ช-เช่นนั้นนี่คือใบผ่านทางพิเศษสำหรับท่าน… ตราบเท่าที่ท่านมีสิ่งนี้ ท่านสามารถเข้าออกเมืองดอกบัวได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องจ่ายอีกต่อไปในอนาคต” ทหารยามกล่าวพร้อมกับยื่นส่งป้ายสีทองให้กับซูหยาง

 

ซูหยางรับป้ายสีทองไว้แบบสบายๆและเข้าไปในเมืองดอกบัวเป็นครั้งแรก

 

“ท่านสามารถหานิกายดอกบัวเพลิงพบถ้าเดินไปตามทางนี้…” ทหารยามกล่าวกับเขาอีกครั้งครั้นเมื่อเขาเข้าไปในเมือง

 

ซูหยางพยักหน้าและเริ่มเดินไปตามทาง

 

และหลังจากเดินไปเพียงไม่กี่นาที ซูหยางก็เข้าใจสิ่งที่ทหารยามพูด เมื่ออีกฝ่ายพูดว่าเมืองดอกบัวเน้นหนักด้านธุรกิจ ในเมื่อสิ่งที่เขามองเห็นล้วนเป็นร้านค้าหรือไม่ก็ร้านอาหาร และผู้คนย่อมสามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดายว่าเหตุใดนิกายดอกบัวเพลิงจึงร่ำรวยเมื่อเข้าเมืองนี้ ซึ่งประดับประดาไปด้วยสิ่งของและร้านค้าแพงๆ

 

 

 

 

สถานที่แห่งหนึ่งภายในเมืองดอกบัว สามารถมองเห็นเหล่าหญิงสาวและชายหนุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนานภายในร้านอาหาร คนเหล่านี้ล้วนสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกัน ชุดคลุมสีแดงปักสัญลักษณ์ดอกบัวสีเหลืองบนอก แสดงให้เห็นว่าพวกเขาล้วนเป็นศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิง

 

“ศิษย์น้องหญิงจาง อย่าขี้เหนียวนักจงบอกพวกเรามาเลยว่าเจ้ามีโชคพบกับสมบัติบางอย่างใช่หรือไม่” หนึ่งในศิษย์ที่นั่นถามหญิงสาวสวยที่นั่งอยู่ปลายสุดของโต๊ะ “เจ้าเพียงอยู่ที่ระดับเจ็ดของเขตปฐมวิญญาณไม่นานมานี้ แต่เจ้าสามารถไปถึงเขตคัมภีร์วิญญาณได้ภายในไม่กี่อาทิตย์ กลายเป็นศิษย์ใน ข้ามิเชื่อว่าเจ้าสามารถบรรลุได้เช่นนั้นโดยไม่พบกับโชคอะไรบางอย่าง”

 

ครั้นเมื่อหนึ่งในพวกเขาเริ่มหัวข้อเรื่อง ศิษย์คนอื่นก็เริ่มแสดงความคิดเห็นของตนเอง ซึ่งค่อนข้างกดดันศิษย์สกุลจางให้บอกพวกเขาอยู่บ้าง

 

“เอ้อ…แม้ว่าข้ามิได้พบกับสมบัติใด ข้าก็ถือได้ว่ามีโชคที่ได้พบกับคนคนหนึ่ง…” ศิษย์หญิงสกุลจางอธิบายอย่างคลุมเคลือ

 

“คนที่ว่านี้ เป็นชายหรือเป็นหญิง” เหล่าหญิงยิ่งพากันสนใจ

 

“เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง…” หญิงสาวหน้าแดง

 

“โออออ บอกพวกเราเกี่ยวกับเขามากกว่านี้ เขามีผลต่อการฝึกวิชาของเจ้าอย่างไร”

 

ขณะที่ศิษย์หญิงพบว่าหัวข้อนี้ช่างน่าสนุกสนานยิ่งนัก แต่มันกลับเป็นตรงกันข้ามกับเหล่าศิษย์ชายที่หลงไหลหญิงสาวคนนี้

 

“เอ้อ….”

 

อย่างไรก็ตาม ขณะที่หญิงสาวเตรียมตัวพูดเกี่ยวกับแขกคนหนึ่งที่เธอพบที่โรงประมูลดอกบัวเพลิง สายตาเธอพลันปะทะเข้ากับร่างของชายหนุ่มหล่อคนหนึ่งที่เดินอยู่บนถนน

 

“ซ-ซ-ซ-ซูหยาง” หญิงสาวทะลึ่งพรวดลุกขึ้นยืนและวิ่งออกไปจากร้านอาหารเพื่อที่จะวิ่งไล่ตามเขา สร้างความงงงันให้กับทุกคนในที่นั้น