ตอนที่ 405 เส้นทางอันตราย
“พาพวกเขาไปที่เรือนรับรอง ประเดี๋ยวข้าจะตามไป” มู่เฉียนซีกล่าวกับข้ารับใช้ จากนั้นก็กล่าวกับอาถิง “เจ้ากลับเข้าไปในมิติเถอะ”
“ข้าไม่เข้า นาน ๆ ทีกว่าจะออกมาได้ เจ้าหมอนั่นก็ไม่อยู่ ข้าอยากจะสูดอากาศข้างนอกสักหน่อย”
“ตามใจเจ้าก็แล้วกัน”
ไป๋กั๋วกงกับไป๋มู่เฟิงเห็นสตรีชุดม่วงเดินออกมาพร้อมกับชายหนุ่มผู้งดงาม นั่นคือมู่เฉียนซีผู้นำตระกูลมู่ และหมอปีศาจอย่างมู่ซีนั่นเอง
มู่เฉียนซีเอ่ยปากกล่าวขอโทษขอโพยทันที “ท่านไป๋กั๋วกง สำหรับเรื่องที่ข้ายกทัพไปตีแคว้นชิงนั้น ทำให้เกิดผลกระทบกับท่านมาก ข้าต้องขออภัยท่านด้วยจริง ๆ”
ไป๋กั๋วกง “ราชวงศ์ของแคว้นชิง เป็นราชวงศ์ที่ข้านับถือและจงรักภักดี แต่พวกเขากลับจับตัวคนในจวนไป๋เข้าคุกหลวงโดยไร้เหตุผลเช่นนั้น ตอนนั้นข้าก็ตัดใจและสิ้นหวังลงแล้ว ที่มาวันนี้ก็เพื่อที่จะมาขอบคุณผู้นำตระกูลมู่ ในช่วงที่ยังขาดฮ่องเต้และยังไม่ได้รวบรวมอำนาจอย่างสมบูรณ์ จวนไป๋กั๋วกงจะให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ รอให้ทุกอย่าง…”
ไป๋กั๋วกงกล่าวไม่ทันจบคำ มู่เฉียนซีก็แทรกขึ้นมา “รอให้ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย จวนไป๋กั๋วกงจะได้รับความดีความชอบ และจะได้อาณาบริเวณปกครอง เช่นนี้ดีหรือไม่ ?”
“แต่ว่า…”
“แต่ข้าให้ซวนหยวนหลี่เทียนเขียนกฤษฎีกาแล้ว หากเปลี่ยนแปลงตอนนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะ”
ไป๋กั๋วกงนึกไม่ถึงแม้แต่น้อยว่ามู่เฉียนซีจัดการทุกอย่างเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
มู่เฉียนซีกล่าว “ท่านไป๋กั๋วกงวางใจเถอะ ซวนหยวนหลี่เทียนไม่กล้าฆ่าขุนนางหรอก”
ไป๋กั๋วกง “เช่นนั้นข้าก็คงจะคิดมากไปแล้ว”
“มู่ซี เราไม่ได้เจอกันนานเลย” เมื่อคุยธุระทางการเสร็จสิ้น ไป๋มู่เฟิงก็เริ่มทักทายสนทนากับหมอปีศาจอย่างมู่ซีทันที
ผลที่ออกมานั่นก็คืออาถิงรู้สึกรำคาญเขามาก จึงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าน่ารำคาญมากรู้ตัวหรือไม่ ?”
“มู่ซี ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังนะ…”
“เจ้าเป็นชาย เหตุใดถึงได้พูดมากเช่นนี้” ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจมากที่ยอมให้มู่เฉียนซีเอาใบหน้าเขาไปทำมาหากิน นางเอารูปลักษณ์เขาไปเดินกรีดกรายทั่วตลาดเช่นนี้ ต่อไปในอนาคตเขาต้องถูกใครต่อใครมาพัวพันอีกบ้างก็ไม่รู้
ไป๋มู่เฟิงกล่าวอย่างเศร้าใจ “มู่ซี เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว เจ้าไม่ใช่มู่ซีคนเดิมแล้ว ฮือ ๆ ๆ”
เส้นเลือดบนหน้าผากอาถิงปูดขึ้นอย่างบ้าคลั่งด้วยความโกรธ แน่ล่ะ ก็มู่ซีผู้นั้นไม่ใช่เขาสักหน่อย
หลังจากที่สร้างความมั่นใจให้กับไป๋กั๋วกงเรียบร้อยแล้ว มู่เฉียนซีก็จัดการเอาชนะแคว้นฉวนโดยรอบได้ ในทางตกของเซี่ยโจวตอนนี้ไม่มีกองกำลังใดกล้าล่วงเกินหอหมอปีศาจและตระกูลมู่ อีกทั้งยังมีสำนักนิกายครึ่งระดับอย่างสำนักตานจี้ สำนักเฟินเทียน และสำนักตานซินที่ยืนอยู่ข้างตระกูลมู่อีก พวกเขาไม่มีทางกล้าลงมือกับตระกูลมู่แน่นอน ทำได้เพียงปล่อยให้ตระกูลมู่เติบโตรุ่งเรืองต่อไป
“ท่านอา ถึงเวลาที่ข้าต้องออกไปฝีกฝนแล้ว” มู่เฉียนซีกล่าวกับมู่อวู่ซวง
มู่อวู่ซวงรู้แล้วว่าเส้นทางในการเดินทางครั้งนี้ของหลานสาวเขานั้นอันตรายมาก ในใจก็รู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก เขากล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า “ซีเอ๋อร์แน่ใจแล้วหรือ ?”
มู่เฉียนซี “เวลาครึ่งปีล่วงเลยไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่ตอนนี้ข้าเป็นเพียงแค่ราชาแห่งภูตระดับหนึ่ง ถึงแม้ว่าองครักษ์เงาของตระกูลมู่จะมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เป็นสัตว์พันธสัญญา สามารถรับมือกับสำนักอวิ๋นเยียนได้ แต่ความแข็งแกร่งของข้าตอนนี้ยังไม่เพียงพอ ข้าต้องฝึกฝนพัฒนาตนเอง เพิ่มพลังวิญญาณให้แข็งแกร่งขึ้นอีก แล้วข้าถึงจะคิดบัญชีกับสำนักอวิ๋นเยียนได้ จะแก้แค้นให้กับท่านอาได้”
“ส่วนป่าหนานอู้ ถึงแม้ที่นั่นจะอันตรายมาก แต่มันก็มีของล้ำค่าไม่น้อย บางทีข้าอาจจะได้เจอกับสมุนไพรวิญญาณสองชนิดที่นั่น”
“ท่านอาวางใจได้” เพื่อให้มู่อวู่ซวงได้คลายกังวล มู่เฉียนซีจึงต้องอธิบายยาวเหยียดเช่นนี้ นางรู้ดีว่าท่านอาไม่มีทางห้ามนางแน่ แต่นางนั้นไม่อยากให้ท่านอาคอยเป็นห่วงนางทุก ๆ คืนวัน
มู่อวู่ซวง “เจ้าเป็นบุตรสาวของพี่ใหญ่ เป็นเจ้าหญิงตัวน้อยแห่งตระกูลมู่ เจ้าไม่ได้ถูกกำหนดมาให้เป็นดอกไม้ที่บอบบางอยู่ในจวน หากตัดสินใจว่าจะไปแล้วก็ไปเถอะ แต่ต้องรับปากข้าว่าจะกลับมาหาข้าอย่างปลอดภัย”
มู่เฉียนซียิ้ม “แน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะท่านอา ข้าจะต้องเอาสมุนไพรวิญญาณสองชนิดนั้นมารักษาท่านอา ให้ท่านอากลับมายืนได้อีกครั้ง”
หลังจากที่ได้บอกลาท่านอาแล้ว มู่เฉียนซีก็ไปบอกลาสหายอย่างซวนหยวนชิงอวิ๋นและบอกลาเยวี่ยเจ๋อ สำหรับเส้นทางการเดินทางที่อันตรายนี้ นางจำเป็นต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับ หากพวกเขารู้ว่าเส้นทางในการเดินทางครั้งนี้ของนางเต็มไปด้วยภัยอันตราย ไม่รู้ว่าพวกเขาจะทำเรื่องอะไรขึ้นมา แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็คงไม่กังวลใจเท่ามู่อวู่ซวงแน่นอน
แท้จริงแล้วมู่เฉียนซีนั้นประเมินมู่อวู่ซวงสูงเกินไป ตอนนี้มู่อวู่ซวงกำลังนั่งอยู่บนรถเข็นภายในเรือนและกำลังก้มมองสองขาของตัวเอง เส้นผมสีเขียวกลับกลายเป็นสีน้ำเงิน ยานั้นไม่อาจบดบังดวงตาที่แปลกประหลาดได้ เขากำหมัดแน่น
หากเขาสามารถเดินได้ เขาจะไม่ปล่อยให้ซีเอ๋อร์จากไปเช่นนี้แน่นอน เขาจะตามซีเอ๋อร์ไป คอยปกป้องนาง ไม่ยอมให้นางเดินทางไปอย่างโดดเดี่ยวเด็ดขาด ทว่าตอนนี้ เขากลับทำอะไรไม่ได้เลย
มู่อวู่ซวงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองไปที่ประตูและกล่าวเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ซีเอ๋อร์ต้องกลับมาอย่างปลอดภัยนะ มิเช่นนั้นท่านอาของเจ้าทนไม่ได้และทำให้เซี่ยโจวกลายเป็นเมืองผีเป็นแน่”
กลิ่นอายที่เย็นยะเยือกและจิตสังหารแผ่ซ่านไปทั่วทั้งเซี่ยโจว
……
มู่เฉียนซีเดินทางมาถึงเมืองเมืองหนึ่งของแคว้นจื่อเยี่ยที่อยู่ใกล้กับเทือกเขาชีชงแล้ว นั่นก็คือเมืองจื่อหลี
เมืองจื่อหลีอยู่ใกล้กับเทือกเขาชีชง ดังนั้นผู้คนที่นี่จึงเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก ถึงแม้ว่าที่นี่จะไม่ไม่ได้มีการจลาจลของสัตว์วิญญาณขนาดใหญ่ แต่บางครั้งก็มีสัตว์วิญญาณวิ่งออกมา ผู้คนที่นี่มักจะเข้าไปในเทือกเขาแห่งนี้เพื่อล่าสัตว์วิญญาณ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปลึกมากนัก
ในส่วนลึกของเทือกเขาชีชงแห่งนี้ไม่ใช่อันตรายธรรมดา มันอันตรายมากทีเดียว!
มู่เฉียนซีซื้อแผนที่แผ่นหนึ่งจากเมืองจื่อหลี หลังจากที่พักผ่อนมาหนึ่งวัน นางก็เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทาง
เนื่องจากเทือกเขาชีชงทางฝั่งนี้ไม่สามารถเข้าไปได้ลึก จึงมีกลุ่มนักผจญภัยน้อยมาก กองกำลังที่แข็งแกร่งของที่นี่ทำได้เพียงคอยสำรวจบริเวณรอบ ๆ ของเทือกเขาชีชง ดังนั้นเส้นทางต่อจากนี้นางจึงต้องเดินทางไปคนเดียว
ในเมื่อมาแล้ว นางจึงต้องเตรียมความพร้อมสำหรับการผจญภัยในครั้งนี้อย่างรอบคอบ เมื่อออกมาจากเมืองจื่อหลีก็ต้องผ่านหมู่บ้านเล็ก ๆ หมู่บ้านหนึ่งก่อนถึงจะเข้าไปยังเทือกเขาชีชงได้ การเดินเข้าไปจากที่นี่นั้นลึกกว่าจากเมืองฉู่แคว้นฉวนมาก
แต่ในขณะที่มู่เฉียนซีกำลังจะพุ่งเข้าไป ทันใดนั้นมีเด็กคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา “พี่สาว พี่สาวตัวคนเดียว จะเข้าไปในเทือกเขาชีชงไม่ได้เด็ดขาด มันอันตราย”
มู่เฉียนซีเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุราวสิบเอ็ดสิบสองปี สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เขามาขวางหน้ามู่เฉียนซีเอาไว้
“เจ้าไม่ให้ข้าเข้าไป เช่นนั้นเหตุใดเด็กตัวเล็ก ๆ อย่างเจ้าจึงเข้าไปคนเดียว ?” เด็กน้อยผู้นี้ไม่มีพื้นฐานในการฝึกพลังวิญญาณแต่อย่างใด และดูเหมือนว่าไม่เคยฝึกมาก่อนด้วยซ้ำ การที่เขาอยู่ใกล้เทือกเขาชีชงเช่นนั้นมันอันตรายยิ่งนัก
เด็กน้อยกล่าวตอบ “ข้าคุ้นเคยกับที่นี่ รู้ว่าตรงไหนมีสัตว์วิญญาณ และถ้าหากข้าไม่มาเก็บสมุนไพรให้ท่านแม่ อาการป่วยของท่านแม่ข้าก็จะทรุดหนักลง”
มู่เฉียนซี “เจ้ามาเก็บสมุนไพรที่นี่บ่อย แล้วเจ้าเคยเห็นสมุนไพรสองชนิดนี้บ้างหรือไม่ ?” มู่เฉียนซีหยิบเอาภาพวาดดอกบัวกำเนิดเก้าวิญญาณและดอกเก้าพิฆาตลึกลับออกมาให้เด็กน้อยผู้นี้ดู “อ้อ ที่แท้พี่สาวก็มาหาสมุนไพรนี่เอง”
“ใช่ ท่านอาของข้าป่วย ข้าจึงต้องการสมุนไพรสองชนิดนี้ไปรักษา”
“น่าเสียดายจริง ๆ ที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
อันที่จริงมู่เฉียนซีก็ถามไปอย่างนั้นเอง นางไม่อยากเสียโอกาสที่จะตามหาสมุนไพรวิญญาณสองชนิดนี้ ทว่านางก็นึกอยู่แล้วว่าเด็กน้อยผู้นี้คงจะไม่รู้จัก
“พี่สาว บางทีท่านแม่ของข้าอาจจะรู้จักก็ได้ ท่านแม่ข้ามีความรู้มากกว่าข้าเยอะเลย อีกอย่างตอนนี้ฟ้าก็จะมืดแล้ว อีกประเดี๋ยวสัตว์วิญญาณก็จะมาที่นี่มากมาย”
มู่เฉียนซีเหลือบไปมองสมุนไพรวิญญาณในกระเป๋าของเขาและกล่าวถามว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าท่านแม่ของเจ้าไม่สบายงั้นหรือ ?”
“ใช่ขอรับ”
“อืม เช่นนั้นข้ากลับบ้านกับเจ้าดีกว่า”
เวลานี้ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ไม่เหมาะกับการเดินทาง อีกอย่าง ไปดูอาการป่วยของท่านแม่ให้เขาหน่อยก็ดี แต่มู่เฉียนซีคิดไม่ถึงเลยว่าในขณะที่นางเดินเข้าไปในกระท่อมมุงจากที่ทรุดโทรมกับเด็กน้อยผู้นี้ พลังวิญญาณขั้นจักรพรรดิระดับเก้าจะโจมตีเข้าใส่นาง
.