ตอนที่ 380 คืนที่แสงดาวรุ่งโรจน์ ( 2 )

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 380 คืนที่แสงดาวรุ่งโรจน์ ( 2 )

“ฟู่เสี่ยวกวนเป็นลำดับที่หนึ่งเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เป็นไปมิได้ เจ้าเคยบอกข้ามิใช่หรือว่าเขาใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งถ้ายชาก็สามารถตอบทุกหัวข้อจนแล้วเสร็จ เหตุใดเขาถึงได้ลำดับที่หนึ่งกันเล่า ? ”

“จะไปรู้ได้เยี่ยงไร วันนั้นเหล่าบัณฑิตที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็เห็นเหมือนกันทั้งหมด ! ”

“ข้าว่ามีบางอย่างแปลก ๆ แล้ว”

“สิ่งที่เจ้ากล่าวมีเหตุผลยิ่ง ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนเป็นถึงองค์ชายใหญ่ ก็ย่อมเลี่ยงมิได้ที่ฝ่าบาทจะทรงใช้โอกาสการในการแข่งขันประพันธ์ครานี้ให้เขาได้สั่งสมบารมี ! ”

“จิตวิญญาณนักวรรณกรรมของนักปราชญ์ผู้สูงส่งทั้งเก้าได้ถูกซื้ออย่างง่ายดายถึงเพียงนี้เลยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“จิตวิญญาณมารดาเจ้าเถอะ ชื่อเสียงหรือจะสำคัญเท่าชีวิต ข้าใคร่ถามเจ้า หากฝ่าบาททรงรับสั่ง ท่านนักปราชญ์ทั้งเก้าจะสนองพระประสงค์ของพระองค์หรือไม่ ? ”

เหล่าบัณฑิตต่างถกเถียงกันด้วยความไม่พอใจ มีเพียงแต่บัณฑิตแห่งราชวงศ์หยูเท่านั้นที่โห่ร้องด้วยความดีใจ

พวกเขาย่อมรู้ถึงสถานะของฟู่เสี่ยววกวน เพราะได้ใช้เวลากับฟู่เสี่ยวกวนเป็นเวลานาน เลยทำให้ได้ซึมซับพลังด้านบวกมาจากเขา และยังคงเคารพรักเขาดั่งอาจารย์ท่านหนึ่ง

ส่วนเรื่องที่สังกัดต่างราชวงศ์และสถานะที่แปรเปลี่ยนไปของฟู่เสี่ยวกวนนั้น สิ่งเหล่านี้บัณฑิตแห่งราชวงศ์หยูมองว่ามิได้สลักสำคัญประการใด

องค์หญิงยิงฮวาแห่งแคว้นหลิวแสดงสีหน้าปลื้มปิติเสียจนคิ้วโก่งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว สีหน้าของนางอธิบายได้แจ่มชัดแล้วว่านางรู้สึกปลื้มปิติถึงเพียงใด แล้วนางยังได้หันไปกล่าวกับจิ่งเปียนเอ้อร์ซีหยงที่ยืนอยู่ข้างกาย “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขาย่อมเป็นลำดับที่หนึ่ง ! ”

จิ่งเปียนเอ้อร์ซีหยงผงะเล็กน้อย พลางคิดไปว่านางเคยพบกับฟู่เสี่ยวกวนเพียงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น หรือว่านางจะทำนายอนาคตได้กัน ?

คุณหนูถังซานอ้าปากค้างด้วยอารามตกใจ นางหันหน้าไปมองจัวตงหลาย บัดนี้ดวงตาคู่นั้นบนใบหน้าอันคมคายของจัวตงหลายได้เป็นประกาย เขาตกใจเสียจนดวงตาเบิกโผลง ริมฝีปากได้เผยอเล็กน้อย บนใบหน้านั้นราวกับว่ามีอักขระสลักอยู่สามคำใหญ่ ๆ ซึ่งนั้นก็คือคำว่า เป็นไปมิได้… !

แท้จริงแล้วเหล่าปัญญาชนหมู่มากก็เห็นพ้องต้องกันว่าเรื่องนี้มันยากที่จะเป็นไปได้ เพราะตุ้ยเหลียนคู่นี้แปลกประหลาดยิ่ง อีกทั้งยังมีกลิ่นอายของพุทธศาสนาอีกด้วย แต่บนผืนปฐพีแห่งราชวงศ์หยูมิมีวัดแม้แต่แห่งเดียว เหตุใดฟู่เสี่ยวกวนถึงได้คะแนนสูงสุดในหัวข้อนี้กัน

ฝานเทียนหนิงได้สงบสติอารมณ์ลงบ้างแล้ว เขายกยิ้มขึ้นอย่างเย้ยหยัน จากนั้นจึงเอ่ยกับคูฉานว่า “ท่านกล่าวถูก”

คูฉานพยักหน้าเล็กน้อย “อาตมามิเคยพลาดมาก่อน ! ”

ฝานเทียนหนิงถลึงตาใส่เขา ความหน้าหนาของเจ้าบ้านี่เริ่มละม้ายคล้ายกับฟู่เสี่ยวกวนเข้าทุกวันแล้ว

ณ ชั้นห้าของหอคอยหลิวหยุน ไทเฮาทรงทอดพระเนตรไปด้านนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็น แต่พระพักตร์ก็ยังคงแสดงความปิติที่มิอาจแอบซ่อนเอาไว้ได้ “ตุ้ยเหลียนสองบทนั้นอายเจียเคยเห็นมาแล้ว เดิมทีนักปราชญ์ทั้งเก้านั้นให้ระดับเจี่ยสูง แต่เมื่ออายเจียเอ่ยมากไปนิดหน่อย ตุ้ยเหลียนสองบทนี้จึงได้ลดระดับลงมาที่ระดับเจี่ยกลาง”

หนานกงอี้หยู่เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดถึงลดลงมาระดับเจี่ยกลางกันพ่ะย่ะค่ะ ? ”

ไทเฮาทรงส่ายหน้า “ตัวอักขระเหล่านั้นของเขา…หากพวกเจ้าได้เห็น โปรดอย่าได้ตื่นตกใจเป็นอันขาด ! ”

หนานกงตงเซวี๋ยเผลอยิ้มมุมปากขึ้นมา จัวอี้สิงและหนานกงอี้หยู่ได้หันไปสบตากัน ต่างคิดในใจว่าเขาเป็นถึงอันดับหนึ่งด้านงานประพันธ์ในปฐพี เพียงแค่ศิลปะพู่กันขั้นพื้นฐาน จะทำให้ฟ้าดินตกใจจนแทบจะหลั่งน้ำตาได้เยี่ยงไรกัน ?

หนานกงอี้หยู่อดที่จะเชยชมตุ้ยเหลียนคู่นั้นมิได้ เขาจึงได้เอ่ยถามต่อ “แล้วตุ้ยเหลียนนั้นเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”

หนานกงตงเซวี๋ยเดินไปที่โต๊ะทรงพระอักษร จากนั้นก็ได้จรดปลายพู่กันเพื่อบรรจงเขียนตุ้ยเหลียนคู่นั้นออกมา จากนั้นจึงมอบให้กับผู้ที่เป็นปู่

จัวอี้สิงสงสัยใคร่รู้เขาเลยแทรกตัวเข้ามาด้วยเช่นกัน บัดนี้อัครเสนาบดีทั้งฝ่ายซ้ายและขวาผู้กุมอำนาจบาตรใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋ได้รู้สึกตกตะลึงเสียจนหยุดชะงักนิ่งค้างไปชั่วขณะ สีหน้าของทั้งสองคนนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “นี่น่ะหรือคือตุ้ยเหลียนที่องค์ชายใหญ่ได้ประพันธ์ขึ้นมา ? ”

“ใช่ เขาใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งถ้วยชาก็สามารถประพันธ์ตุ้ยเหลียนสองบทนี้ออกมาได้แล้ว แท้จริงแล้วระดับเจี่ยสูงยังประเมินค่าพรสวรรค์ของเขาต่ำไปเสียด้วยซ้ำ ! ”

ไทเฮาทรงยืนขึ้นจากนั้นก็ดำเนินไปที่ริมหน้าต่าง ก้มลงทอดพระเนตรฝูงชนอันเนืองแน่นที่อยู่เบื้องล่าง นึกคำนึงถึงบทประพันธ์ที่เหลือหลังจากนั้นเขาจะประพันธ์ได้เป็นเยี่ยงไรบ้าง ?

พระนางทรงเสด็จกลับพระราชวังเสียก่อน บทประพันธ์ของฟู่เสี่ยวกวนทั้งสองวันที่เหลือจึงยังมิเคยได้เห็น แม้ว่าบทประพันธ์เหล่านั้นจะถูกส่งมายังพระราชวังแล้วก็ตาม แต่เพราะพระองค์ได้ใช้เวลาทั้งหมดเพื่อทรงดำริแผนสืบสันติวงศ์จึงเป็นเหตุให้มิมีเวลาใส่ใจกับสิ่งอื่นใด

บัดนี้ เบื้องล่างของหอคอยหลิวหยุน ถังจู้กั๋วได้นำโคลงสัมผัสทั้งสามลำดับแรกที่ได้คะแนนสูงสุดแขวนไว้ เหล่าบัณฑิตทั้งหลายจึงแห่แหนกันเข้ามาชื่นชม ทุกสายตาได้จับจ้องไปยังตุ้ยเหลียนที่ได้ลำดับที่หนึ่ง

“อ่า…”

เมื่อเหล่าบัณฑิตได้อ่านตุ้นเหลียนสองบทนั้น ทุกข้อครหาได้พาลอันตรธานหายไปในบัดดล ทุกตนต่างรู้สึกโล่งอกโล่งใจในทันที !

ฝานเทียนหนิงพึมพำในปากขณะไล่อ่านตัวหนังสือ

การสั่งสอนนั้นมีนับหมื่นวิธี มิมีสิ่งใดพิเศษ มิควรยึดถือ มิใช่ธรรมและมิใช่อธรรม

เอกยานในพระพุทธศาสนา มีรากฐานที่ต่างกัน ดังนั้นจึงเอ่ยถึงหินยาน ปัจเจก มหายาน และวัชระยาน

“ท่านพี่ฟู่ร้ายกาจเกินกว่าจะสรรหาคำใดมาสาธยาย ช่างเก่งกาจยิ่ง ช่างเก่งกาจมากยิ่งนัก ! ไม่สิ…” ฝานเทียนหันหน้าไปมองทั่วทุกสารทิศ ทว่ายังไร้ซึ่งวี่แววของฟู่เสี่ยวกวน

“แล้วเขาเล่า หรือจะมิมาเสียจริง ๆ ? ”

เมื่อได้ยินฝานเทียนหนิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นถึงเพียงนี้ ทำให้เหล่าบัณฑิตมากมายเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้นมาในทันที

จริงด้วย เหตุใดฟู่เสี่ยวกวนถึงยังมิมาอีกกัน ?

ตุ้ยเหลียนที่วิจิตรบรรจงเยี่ยงนี้ ข้ายอมแพ้ให้กับเขาอย่างแท้จริง !

ก่อนหน้านี้ข้ายังแอบระแวงว่าเขาจะโกงการแข่งขัน บัณฑิตเหล่านั้นต่างก็หน้าแดงเรื่อ เพราะย้อนนึกถึงคำสบประมาทเหล่านั้นก็ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกละอายแก่ใจยิ่ง การตัดสินนั้นได้ตัดสินโดยยุติธรรมแล้ว มิจำเป็นต้องพร่ำเอ่ยสิ่งใด มองเพียงปราดเดียวก็เห็นถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจน

จัวตงหลายจ้องมองตุ้ยเหลียนที่ฟู่เสี่ยวกวนประพันธ์ด้วยสายตาที่ตะลึง จากนั้นเขาก็ได้อ่านตุ้ยเหลียนบทที่สองด้วยเสียงอันแผ่วเบา

ต้นไม้ดอกไม้ แดงฉ่ำเขียวชอุ่ม มีเพียงเจ้าที่คอยประคอง มิให้ลมฝนพายุ พัดพาหนาวเหน็บ

“คู่รักชื่นมื่น ทุกภพชาติ ปรารถนามีคนรักร่วมสร้างครอบครัว อย่างยาวนานทุกเช้าค่ำ และมีความสุข”

เขาก้มหน้าลง และยังคงพึมพำถึงสิ่งที่เพิ่งอ่านวกไปวนมา

เมื่อคุณหนูถังซานได้อ่านตุ้ยเหลียนสองบทนั้นนั้น ณ ชั่วขณะนั้น นางก็รู้ได้ทันทีว่าฟู่เสี่ยวกวนได้คว้าชัยชนะไปอย่างสมศักดิ์ศรี !

นางได้หันไปมองจัวตงหลาย และเป็นจังหวะเดียวกันที่เขาเงยหน้าขึ้นมาพอดี แววตาคู่นั้นได้ส่องประกายขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ยกขึ้นจากริมฝีปาก “ข้าแพ้อย่างยอมจำนน ชัยชนะเหนือผู้ใดบนผืนปฐพีนี้สมควรเป็นของเขา ! ”

เหล่าบัณฑิตแห่งสำนึกศึกษาหลีชานต่างรู้สึกละอายแก่ใจมากยิ่งนัก ที่ได้ทำตัวดั่งสุนัขเห่าใบตองแห้งข่มผู้อื่นไปเสียมากมาย ถึงขนาดที่กล่าวาจาเหยียดหยามฟู่เสี่ยวกวนอย่างถึงที่สุด

พวกเขาต่างครหาฟู่เสี่ยวกวนว่าเป็นเจียงหลางผู้สิ้นความสามารถ ครหาว่าฟู่เสี่ยวกวนแสร้งทำเพื่อเรียกร้องความสนใจ และอื่น ๆ อีกสารพัดคำครหา

ทว่าเวลาเพียงแค่ครึ่งถ้วยชา ฟู่เสี่ยวกลับประพันธ์ตุ้ยเหลียนที่ทำให้วงการวรรณกรรมสั่นสะเทือนได้ !

ใต้หล้านี้จะมีผู้ใดเก่งกาจได้ถึงเพียงนี้อีกเล่า ?

เช่นนั้นแล้วบทกวีทั้งห้าในวันที่สองล่ะ ?

แล้วบทความในวันที่สามล่ะ ?

……

เมื่อยามราตรีมาเยือน จันทราและแสงของดวงดาราที่สุกสกาวก็ได้ทอประสานเหนือท้องนภาสะท้อนบนผืนน้ำของทะเลสาบสือหลี่ เปรียบดั่งภาพวาดที่แสนสงบสุข

ณ หอจิ้นสุ่ย ฟู่เสี่ยวกวนยังคงทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง

เกาะทั้งสิบเกาะที่กระจัดกระจายอยู่ในทะเลสาบสือหลี่นั้นเจิดจรัสไปด้วยแสงไฟ มีเรือน้อยใหญ่ประดับประดาอยู่บนผืนน้ำของทะเลสาบสือหลี่

โคมไฟสีแดงถูกแขวนไว้สูงลิ่ว ลมบางพัดพลิ้วยามราตรี พัดพาภาพวาดนั้นบนพื้นผิวน้ำให้แตกกระจุยแปรเปลี่ยนเป็นแสงสะท้อนจากเกลียวคลื่นแทน

บัดนี้ก็ถึงยามซวีแล้ว คาดว่างานประการผลการแข่งขันที่หลิวหยุนถายคงจะเสร็จสิ้นแล้ว

เขามิได้ไปเยือนหลิวหยุนถายเฉกเช่นผู้อื่น ทว่ามิใช่เพราะมั่นใจว่าตนจะสามารถคว้าชัยมาได้อย่างแน่นอน แต่เป็นเพราะที่หลิวหยุนถายผู้คนย่อมหนาแน่น ผู้คนมากมาย เสียงดังตะโกนโหวกเหวกน่ารำคาญยิ่ง อีกอย่าง ถ้าหากตนมิสามารถคว้าชัยมาได้เล่าจะเป็นเยี่ยงไร ?

ดังนั้นเขาจึงได้นำคนกลุ่มหนึ่งมาบุกยึดหอจิ้นสุ่ยนี้เอาไว้ ชั้นที่หนึ่งเป็นกองกำลังองครักษ์ชุดแดง ส่วนชั้นที่สองมีพวกเขาเพียงมิกี่คนเท่านั้น

หยูเวิ่นหวินเอ่ยถาม “เจ้ามิใคร่อยากรู้ผลการแข่งขันสักหน่อยหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนจับจมูก จากนั้นจึงเอ่ยกล่าวว่า “เยี่ยงไรเสียข้าก็ย่อมเป็นลำดับหนึ่งทั้งสามหัวข้อ ! ”

ต่งชูหลานเบะปากแล้วกลอกตาใส่เขา “ข้ามิเคยพบพานผู้ใดที่หน้าหนาเฉกเช่นเจ้ามาก่อนเลยสักครา ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับหลงจู๊สง “นี่คืออาหารที่พวกข้าอยากกิน เจ้าจงไปเตรียมไว้ หากข้าอยากกินตอนไหนเจ้าค่อยยกมา”

หลงจู๊สงโค้งคารวะแล้วเดินจากไป เขาไปยังห้องโถงด้านหลัง จากนั้นเขาก็ได้จ้องมองกระดาษแผ่นนี้อยู่เนิ่นนาน

เขาเรียกนกพิราบสื่อสารมาหนึ่งตัว จากนั้นจึงนำกระดาษผูกไว้กับขานกพิราบ แล้วก็ปล่อยไปนอกหน้าต่าง มิอาจหยั่งรู้ได้ว่าเมื่อฮองเฮาซั่งทรงทอดพระเนตรจดหมายฉบับนี้แล้วพระองค์จะทรงมีความคิดเห็นว่าเยี่ยงไรบ้าง