ตอนที่ 1433 ศัตรูแกร่งกล้ารอบด้าน! โดย Ink Stone_Fantasy
“ฮ่าฮ่าฮ่า…ในที่สุด ข้าก็ฟื้นตัวแล้ว! เย่หยวน! คราวนี้ข้าอยากจะรู้เสียจริงว่า แกจะหนีไปไหนได้!”
ภายในห้องลับแห่งวังเทวะสัมปรายภพ ฉินเทียนลืมตาตื่นขึ้นพร้อมประกายแสงส่องสว่างเปล่งประกายออกมาเขาเฝ้าเก็บตัวอย่างเงียบงันมาเป็นเวลาสิบปีเต็ม! ในที่สุด วันนี้เขาก็รักษาอาการบาดเจ็บจนหายสนิทแล้ว ความอาฆาตแค้นทั้งหมดจะต้องถูกตัดสินภายในครั้งนี้!
“อู๋เหอ!”
“ผู้ใต้บัญชาน่อมรับสั่ง!”
“วังเทวะรัตติกาลฉายออกเดินทางแล้วรึยัง?”
“ยามนี้ได้ออกเดินทางไปยังซากอักขระเทวะแล้ว! ท่านประมุข เราควรออกเดินทางตอนนี้เลยดีหรือไม่?”
“ออกเดินทางได้! ครั้งนี้ไม่มีรั้งรอน!”
“รับทราบท่านประมุขวัง!”
หลังจากนั้นอู๋เหอก็จากไปทันที รอยยิ้มแสยะเย็นเหยียดขึ้นบนมุมปากของฉินเทียนในทันใด
“เอาล่ะ ข้ามาแล้ว และข้าจะไม่กลับไปมือเปล่าแน่นอน!”
…
เบื้องหน้าของเขาเป็นซากปรักหักขนาดใหญ่ แต่คลื่นแรงกดดันและกลิ่นอายของที่แห่งนี้ที่ไหลบ่าออกมาจากภายใน ทำเอาเย่หยวนใจสั่นอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน ซากอักขระเทวะแห่งนี้ดูเหมือนจะมีอยู่ตั้งแต่สมับบรรพกาล ทั้งยังเร้นแฝงภัยอันตราย แต่นั่นก็เก็บไปด้วยโอกาสมากมาย เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยอันตรายอย่างแท้จริง แม้แต่เซียนอาณาจักรบรรพกาลพระเจ้ายังมิอาจประมาทได้ ทางเข้าของซากอักขระเทวะเป็นปล่องภูเขาไฟ โดยรอบประดับประดอยไปด้วยโครงกระดูกสีขาวบริสุทธิ์ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เสมือนต้องการประกาศว่าผู้ใดเหยียบย่างจักต้องตายอยู่ที่นี่
อุณหภูมิโดยรอบสูงจนน่าสะพรึงกลัว แม้แต่เขาที่เป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าครึ่งขั้นก็ยังไม่สามารถทนได้ไหว เมื่อเข้าไปภายในนั้น อุณหภูมิคงสูงจนมิอาจประเมินได้เลย
“นี่คงเป็นครั้งแรกที่ท่านอาวุโสสูงสุดเดินทางมาซากอักขระเทวะใช่หรือไม่?” เมื่อไป๋ซิ่วเห็นสีหน้าการแสดงออกของเย่หยวน เขาก็พอจะเดาได้
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า “ที่ผ่านมา ข้าปลีกวิเวกฝึกปรืออย่างขมขื่นคนเดียวมาตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มายังซากอักขระเทวะจริงๆ”
ไป๋ซิ่วยิ้มกล่าวว่า “ความน่ากลัวของซากอักขระเทวะคือเปลวไฟจากธรรมชาติ มันสามารถเผาผลาญสรรพสิ่งให้มอดไหม้ได้ในพริบตา แม้แต่ยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าเองก็ไม่สามารถเดินทางเข้าไปโดยตรงได้ ทางเราทำอะไรไม่ได้นอกจากอยู่เฉยๆ และรอให้วังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ใช้เครื่องรางศักดิ์วสิทธิ์เพื่อผนึกเปลวไฟเหล่านั้นไว้ จากนั้นพวกเราถึงจะเดินทางเข้าไปข้างในได้”
เย่หยวนพยักหน้าตอบและกล่าวว่า “เช่นนี้นี่เอง!”
ในเวลานี้เองเหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้ากลุ่มใหญ่ก็เหาะเหินทะยานปรากฏขึ้นจากขอบฟ้า พวกนั้นคือฮั่วเทียนหยางและเหล่ายอดฝีมือของวังเทวะพิรุณร่วงโรยอย่างแม่นยำ บรรยากาศภายในกลุ่มของวังเทวะรัตติกาลฉายแปรเปลี่ยนไปในทันที โดยเฉพาะไป๋เฉินที่แทบจจะพ่นไฟออกมาจากดวงตาคู่นั้น เขาเกลียดตัวเองที่ยังคงอ่อนแอเกินไป มิฉะนั้นเขาคงปราดพุ่งสัประยุทธ์กับฮั่วเทียนหยางให้รู้ดำรูแดงไปแล้ว
ในขณะที่วังเทวะพิรุณร่วงโรยตรงดิ่งลงมา ขั้วอำนาจทั้งสองกลุ่มพลันหยั่งเชิงโจมตีด้วยวาจาสาดใส่ทันที
“เจ้าหลานชายอย่ามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น อีกสักครู่หนึ่งต่อจากนี้ หลังจจากเข้าไปคงไม่ดีเป็นแน่ ระวังประมุขวังผู้นี้จจับเจ้าโยนลงทะเลเพลิงโดยมิโดยมิตั้งใจ” ฮั่วเทียนหยางกล่าววาจาสีหน้าเย้ยหยันใส่อีกฝ่าย
เย่หยวนหรี่ตาแคบลงเล็กน้อย และเอ่ยปากน้ำเสียงเย็นสวนตอบไปว่า “แล้วจะให้มองแบบเจ้าหรืออย่างไร?”
สีหน้าการแสดงออกของฮั่วเทียนหยางทื่อแข็งในบัดดล ก่อนหยุดสายตาลงบนเย่หยวนเจือประกายครั่นคร้ามหากมิใช้เพราะชายหนุ่มคนนี้ พวกเขาคงโค่นล้มวังเทวะรัตติกาลฉายลงได้นานแล้ว!
“เหอะ! ไอ้เด็กเหลือขออย่าคิดอวดดีให้มากนัก! คล้อยหลังรอดตายออกจากซากอักขระเทวะได้ค่อยเปิดปากอวดเก่ง!” ฮั่วเทียนหยางสวนวาจาตอบพร้อมแสยะยิ้มใส่
เมื่อกล่าวจบ ฮั่นเทียนหยางก็นำเหล่าผู้คนของวังเทวะพิรุณร่วงโรยไปรอ ณ มุมด้านหนึ่ง
สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนเปลี่ยนไปคล้ายดูมืดมนลงหลายส่วน ฮั่วเทียนหยางคนนี้…มีจักต้องมีนัยยะเร้นแฝงในวาจาเหล่านั้นแน่นอน!
ท่าทีของไป๋ซิ่วดูไม่ค่อยจจะดีเช่นกัน เขาตรงเข้ามาใกล้เย่หยวนและกระซิบเบาๆ ว่า “ผู้อาวุโสสูงสุด ดูท่าฮั่นเทียนหยางคนนี้จะมีแผนอะไรอยู่ในใจ!”
เย่หยวนพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “พินิจจากรูปลักษณ์ คล้ายว่าเจากำลังพึ่งพาอะไรบางอย่าง! เจ้าออกไปเตือนทุกคนโดยไว หลังจากเข้าสู่ซากอักขระเทวะ จงระวังตัวให้มากขึ้น!”
ไป๋ซิ่วพยักหน้าและกล่าวว่า “รับทราบ!”
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง ก็มีอีกกลุ่มคนสองถึงสามกลุ่มติดตามเข้ามา บริเวณทางเข้าเริ่มมีผู้คนเดินทางรวมพลเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ แต่หลายกลุ่มคนเหล่านั้นดูจะให้ความสนใจกับทางฝ่ายวังเทวะรัตติกาลฉายเป็นพิเศษ
“ข้าไม่คิดมาเกินเลยว่า วังเทวะรัตติกาลฉายจะปล่อยให้เด็กน้อยนั้นขึ้นกลายเป็นประมุขวังจริงๆ เจ้าไป๋ซิ่วมันคิดอะไรอยู่กันแน่?”
“ฮ่าฮ่า นี่คงเป็นภาพฉากที่น่าขันที่สุดแล้วกระมัง? เด็กน้อยอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นเป็นผูนำกลุ่มเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า! ตลกสิ้นดี!”
“แต่ข้าได้ยินมาว่า ผู้อาวุโสสูงสุดนามว่าเย่หยวนเป็นคนที่น่าเกรงขามยิ่งนัก ไม่เพียงจะทรงพลัง แต่เขายังมีภูตเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าสุดแกร่งอยู่ข้างกาย ฟังว่าสัประยุทธ์กับฮั่วเทียนหยางได้อย่างสูสียิ่ง!”
…
บทสนทนาเหล่านี้ทำให้ไป๋เฉินที่ยืนอยู่ข้างๆเย่หยวนดูกระสับกระส่ายไม่สบายใจนัก เขารู้ว่าหลังจากที่ท่านอาจารย์เย่ได้รับศิลาชีวิตนิจนิรันดร์ไป เขาจจะออกเดินทางไปจากดินแดนนภาบรรพตทันที แล้วในตอนนั้นเขาจะต่อกรกับศัตรูอันทรงพลังได้อย่าง?
“ทุกคนบนผืนพิภพดูถูกเจ้าได้ แต่เจ้าห้ามดูถูกตัวเอง! พวกเขาเป็นใคร มีอิทธิพลต่อชีวิตเจ้าขนาดนั้นเชียว? ในเมื่อพวกมันดูถูกเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ทำให้พวกมันเห็นว่าคิดผิด!” เย่หยวนเอ่ยกล่าวเสียงเย็น
แววตาของไป๋เฉินผันแปรแลดูมุ่งมั่นขึ้นหลายส่วน ปรับอารมณ์สงบลงทันที เขาพยักหน้าและกล่าวว่า
“ข้าเข้าใจแล้วท่านอาจารย์!”
ในเวลานั้นก็มีหลายร่างเหาะทะยานมาไกลจากขอบฟ้าอีกครั้ง คนที่อยู่ตรงกลางขี่เสือติดปีกบินเหินด้วยความเร็วสูง รัศมีกลิ่นอายของเขาผู้นี้ทรงพลังแกร่งกล้าอย่างหาที่เปรียบไม่ ทั้งๆที่ยังมาไม่ถึง แต่ทุกคนล้วนสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอย่างชัดเจน จนสีหน้าทุกคนแปรเปลี่ยน ยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า!
สีหน้าเย่หยวนเปลี่ยนไปแลดุร้ายขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับจ้องไปยังชายชราที่ขี่อยู่บนหลังเสือตัวนั้น บุคคลนี้น่าจะเป็นผู้อาวุโสระดับสูงของวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ ในไม่ช้า สายตาของเขาก็หยุดลงที่ชายอีกคนที่อยู่ด้านหลังเขา ซึ่งเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเหลยต้วน?
แต่จู่ๆเย่หยวนก็พึ่งสังเกตเห็นว่า สีหน้าการแสดงออกของทุกคนยามนี้แลดูเปลี่ยนไป บรรยากาศของกลุ่มวังเทวะรัตติกาลฉายดูมืดมนลงในทันใด
เย่หยวนหันเข้ากับจ้องไป๋ซิ่วอย่างว่างเปล่าและเอ่ยถามขึ้นว่า “มีอะไรผิดปกติงั้นรึ?”
สีหน้าของไป๋ซิ่วยิ่งดูน่าเกลียดถึงขีดสุด ขณะเอ่ยกล่าวขึ้นว่า “ไม่น่าแปลกใจเลย ไฉนฮั่นเทียนหยางถึงดูมั่นใจอวดดีขนาดนี้! ปรากฏว่ามันรู้เรื่องนี้มานานแล้ว! ผู้อาวุโสระดับสูงคนนี้เป็น อดีตประมุขวังเทวะพิรุณร่วงโรยนามว่า ต้วนเฟย!”
เย่หยวนถอดสีหน้าทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่า จะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้อยู่จริงๆ! เขาทราบดีว่า ภายในดินแดนนภาบรรพตแห่งนี้ ตราบใดที่คนๆหนึ่งสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าได้ คนเหล่านั้นจะถูกเรียกตัวไปโดยวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ เพื่อรับตำแหน่งผู้อาวุโสระดับสูงแห่งวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์!
หลังจากขึ้นกลายเป็นผู้อาวุโสระดับสูงแล้ว พวกเขาจำต้องตัดสายสัมพันธ์ทั้งหมดกับวังเทวะดั่งเดิมที่เคยอาศัยอยู่ และรับใช้วังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ด้วยความซื่อสัตย์ อย่างไรก็ตามแต่ แม้เขาจะกลายมาเป็นผู้อาวุโสระดับสูง แต่เขาก็ยังเป็นมนุษย์ที่มีหัวใจและความรู้สึกอยู่ดี สาเหตุที่ฮั่นเทียนหยางดูมั่นหน้ามั่นใจขนาดนั้นเป็นเพราะ เขาทราบมานานแล้วว่า ผู้อาวุโสระดับสูงที่มาในครั้งนี้คือต้วนเฟย!
สิ่งนี้บ่งชี้ได้ว่า ต้วนเฟยได้แจ้งข่าวให้แก่ฮั่นเทียนหยางล่วงหน้าแล้วแน่นอน ระหว่างการเดินทางภายในซากอักขระเทวะ ต้วนเฟยคนนี้อาจลงมือลงไม้หรือมีอแผนการอันใดแอบแฝงไว้อยู่ก็ไม่ทราบ
เย่หยวนรู้สึกปวดเศียรขึ้นมาในทันใด ฮั่นเทียนหยางคนเดียวก็สร้างความลำบากมากพออยู่แล้ว แต่นี่ยังมีเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าเพิ่มมาอีกคน การเดินทางครั้งนี้ค่อนข้างอันตรายเป็นอย่างยิ่ง!
“เย่หยวนคนที่ใส่หน้ากากตลอดเวลานั้น…ดูเหมือนจะสนใจเจ้าไม่น้อย มันลอบมองเจ้าตลอดเลย อืม..กลิ่นอายนี้ช่างคุ้นเคยนัก” ทันทีทันใดสุ่มเสี่ยงของหวูเฉินก็ดังขึ้นจากจิตใจของเย่หยวน สิ่งนี้ดั่งทำให้หัวใจเย่หยวนกระโจนขึ้นอีกคราว
“สนใจข้า? กลิ่นอายช่างคุ้นเคย?”
ทันใดนั้นรอยยิ้มเย็นสะท้านพลันฉีกกว้างบนมุมปากทันที เย่หยวนเอ่ยขึ้นว่า “ข้าคิดว่า ข้ารู้แล้วว่ามันเป็นใคร! ไม่คิดเลยว่ามันจจะลงทุนถึงขนาดนี้!”
“เจ้าทราบรึว่าเป็นใคร?” หวูเฉินเอ่ยกล่าวขึ้นด้วยความสงสัย
“นอกเหนือจากฉินเทียนแล้ว ยังจะมีใครอีก?” เย่หยวนเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเย็นชา
…………………………………