ตอนที่ 225

Crazy Leveling System

CLS ตอนที่ 225: ราชทูตจากอาณาจักรใต้พิภพ

 

ไม่คิดเลยว่าตำหนักเทียนเฉวียนที่ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นนิกายเทียนเฉวียนจะเป็นสำนักที่ราชาวิญญาณเซวียนเทียนสร้างขึ้น ตอนแรกตำหนักเทียนเฉวียนล้วนรับศิษย์ทั้งชายและหญิง แต่หลังจากราชาวิญญาณเซวียนเทียนจากไป กลัวว่าจะมีข้อโต้แย้งอะไรกันเกิดขึ้น ทำให้สุดท้ายแล้วก็เกิดการไล่ผู้ชายทั้งหมดออกไป

 

อี้เทียนหยุนเดาว่าราชาวิญญาณเซวียนเทียนได้ทำการกำจัดบรรพชนของตำหนักเทียนเฉวียน ดังนั้นจึงทำให้บรรพชนของตำหนักเทียนเฉวียนโมโห จึงได้ทำการไล่ผู้ฝึกตนชายทั้งหมดออกไป จนกระทั่งเป็นอย่างทุกวันนี้

 

ตามจริงแล้วเขาควรกลับไปสืบดู ดูว่าแท้ที่จริงแล้วเจ้าตำหนักคนแรกชื่อนี้หรือเปล่า ถ้าใช้ราชาวิญญาณเซวียนเทียนจริง การหลอมรวมเข้าด้วยกันก็จะเป็นไปอย่างสะดวก คนของวังเทียนจี๋นี้ไม่ได้มาก แต่ดินแดนที่ครอบครองนั้นค่อนข้างดี เหมาะแก่การเป็นที่ฝึกฝน

 

ยามเมื่อแต่ละสำนักทำการเลือกที่ตั้ง ล้วนแต่ทำการเลือกจากสถานที่ที่โดดเด่น ดังนั้น จึงไม่ต้องเป็นกังวลเลยว่าสภาพแวดล้อมจะด้วยกว่าสำนักอื่น

 

“ในเมื่อจะหลอมรวมกันแล้ว ข้าก็จะขอรับตำแหน่งประมุขนี้อย่างเต็มใจ!” อี้เทียนหยุนยิ้ม ผลลัพธ์นี้เป็นที่พอใจของเขามาก

 

“จริงเหรอ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ดี แต่ไม่รู้ว่าราชาวิญญาณเซวียนเทียนคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงได้ไปสร้างสำนักใหม่ที่อาณาจักรตี้จิ่ง?”

 

พวกเขาพากันส่ายหัว เรื่องราวส่วนใหญ่พวกเขาไม่รู้ แต่ถ้าแค่เล็กน้อยก็พอจะเดาได้

 

หลังจากตัดสินใจเรื่องนี้แล้ว อี้เทียนหยุนก็เริ่มทำความเข้าใจสถานการณ์ของวังเทียนจี๋ ส่วนว่าเมื่อไหร่จะประกาศเรื่องการแต่งตั้งประมุขคนใหม่นั้น เรื่องนี้คงต้องรอไว้ก่อน อย่างน้อยก็จนกว่าประมุขคนปัจจุบันจะทุเลาจนพอจะเดินเหินเองได้ จากนั้นค่อยประกาศก็ยังไม่สาย

 

เพราะถ้าสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้อยู่ การประกาศออกไปจะทำให้ศิษย์จำนวนมากรู้สึกลังเลใจ ดังนั้น เรื่องประกาศนี้จึงต้องละเอาไว้ก่อน ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบอะไร

 

ภายใต้ความเข้าใจของอี้เทียนหยุน วังเทียนจี๋แห่งนี้ดูแล้วย่ำแย่จริงๆ แม้จะได้ชื่อว่าเป็นสำนักใหญ่แห่งอาณาจักร แต่ระดับผู้อาวุโสกลับไม่มี ดูได้จากตำหนักต่างๆ นอกจากตำหนักเทียนเหวินแล้ว ตำหนักอื่นๆ ล้วนแต่น่าผิดหวังเป็นอย่างมาก ชื่อเสียงย่ำแย่ ทรัพยากรก็ขาดแคลน

 

กระทั่งบางตำหนักยังน่าผิดหวังยิ่งกว่านิกายเทียนเฉวียน สามารถจินตนาการได้เลยว่า วังเทียนจี๋แห่งนี้น่าผิดหวังแค่ไหน

 

“สถานการณ์ของวังเทียนจี๋ในตอนนี้เหมือนจะย่ำแย่มากเลยนะ…..” อี้เทียนหยุนปิดหนังสือลง เมื่อเขาอ่านบันทึกสถานการณ์ต่างๆ ของที่นี่ก็ได้เงยหน้ามองไปยังผู้อาวุโสใหญ่ ฝั่งตรงหน้าก็มีสีหน้าอึดอัด

 

“มันก็เป็นเช่นนี้จริงๆ นานแล้วที่ไม่มีศิษย์ใหม่เข้าร่วม หรือเข้าร่วมเพียงไม่นานก็จากไป สภาพแวดล้อมของที่นี่ดีมาก แต่ก็ไม่มีใครคิดจะเข้าร่วม…. เฮ้อ การทำให้ทั้งสำนักตกอยู่ในสภาพนี้ เป็นความรับผิดชอบของพวกเรา” ผู้อาวุโสใหญ่ถอนใจ

 

“ก่อนหน้านี้ข้าได้ไปยังตำหนักเทียนเหวิน สถานการณ์ที่นั่นค่อนข้างน่าเป็นห่วงอย่างมาก ศิษย์บางคนมีนิสัยก้าวร้าว ลอบแทงกันข้างหลัง แม้ว่าข้าจะไม่คัดค้าน แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการประลองลักษณะนี้” อี้เทียนหยุนพูดอย่างจริงจัง “ตะกอนพวกนี้จำเป็นต้องกำจัด ไม่อย่างนั้น ยามใดที่มีศิษย์ที่มีพรสวรรค์แต่กลับมีระดับต่ำเข้ามา ก็จะถูกตะกอนพวกนี้กดหัว หรือไม่ก็ถูกบังคับให้ต้องเข้าร่วมกับตระกูลพวกนี้ไป!”

 

“ก่อนหน้านี้พวกเราก็ได้มีการพูดคุยกันแล้ว….. แต่ในการพูดคุยกัน พวกเขาก็ได้มอบข้อเสนอให้กับพวกเรา” ผู้อาวุโสใหญ่มีสีหน้าอึดอัด สถานการณ์ของวังเทียนจี๋เป็นยังไงใครบ้างไม่รู้ การจะควบคุมคนนั้น จำเป็นต้องมีข้อเสนอเพื่อรั้งผู้คน หากไร้ซึ่งข้อเสนอ คนคงหนีหายไปหมด

 

“ทำอย่างนี้ก็ไม่ต่างจากการดื่มยาพิษดับกระหาย ไม่นานหลังจากนี้สำนักจะต้องดับสลายอย่างแน่นอน ข้าไม่เชื่อว่าสำนักใหญ่จะเอาแต่พึ่งพาวิธีนี้เพื่อเอาชีวิตรอดต่อไปอย่างนี้หรอกนะ? ข้าคิดว่าเหตุผลส่วนใหญ่ที่พวกท่านทำอย่างนี้เพราะศิษย์ใหม่ที่เข้าร่วมมีน้อย แต่ถึงจะมีศิษย์ใหม่เข้าร่วมจำนวนมาก แต่สุดท้ายก็ต้องถูกขยะพวกนี้ขับไล่ไปอยู่ดี!” อี้เทียนหยุนพูดอย่างจริงจัง “ผู้อาวุโสใหญ่ อะไรที่ควรทิ้งก็ต้องทิ้ง พวกเขาบางส่วนจำเป็นต้องถูกกำจัด เมื่อตัดเนื้อร้ายทิ้งไป ส่วนที่เหลืออยู่ก็จะเป็นปกติ”

 

ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะรับศิษย์จากตระกูลใหญ่ เขามั่นใจว่ามีความเป็นไปได้ที่จะรับศิษย์จากตระกูลใหญ่ แต่ศิษย์จากตระกูลใหญ่ที่เข้าร่วมทุกวันนี้ล้วนแต่หยิ่งยโส เอาแต่ใจ ยิ่งมายิ่งไม่เห็นหัวใคร

 

หลังจากผู้อาวุโสใหญ่เงียบไปก็ได้พยักหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าในตอนนี้คือประมุข ข้าจะทำตามที่เจ้าเสนอ”

 

“เอาล่ะ ข้าจะไม่พูดอะไรมาก ที่จริงแล้วก็มีคนมากมายที่รู้ว่าจะจัดการยังไง จากนี้เราต้องจัดการให้ดี ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะรวมสำนักเข้าด้วยกัน แต่อย่างน้อยข้าก็อยากให้สถานการณ์ที่นี่มั่นคง จากนี้ไปเมื่อรวมสำนักเข้าด้วยกันแล้ว ข้าถึงจะรับตำแหน่งประมุขของที่นี่” อี้เทียนหยุนพูด

 

ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น ไว้ท่านประมุขหายดีแล้ว เราค่อยประกาศเรื่องนี้กันอีกครั้ง การเปลี่ยนประมุขของวังเทียนจี๋ถือเป็นเรื่องใหญ่”

 

อี้เทียนหยุนพยักหน้า ตั้งแต่นี้ไปคงต้องทำให้ดีที่สุด กลัวแต่ว่าจะพวกเขาจะไม่เต็มใจเปลี่ยน เมื่อถึงตอนนั้น ตอนที่ซังข้าวถูกตั๊กแตนกัดแทะไปแล้ว อยากจะเปลี่ยนก็สายเกินไป แต่ถ้าเปลี่ยนตอนนี้ อย่างน้อยก็ช่วยได้นิดหน่อย แต่ถ้ายิ่งช้า ทุกอย่างก็จะสายเกินไป

 

ขณะที่พวกเขากำลังจะคุยหัวข้อถัดไป ก็ได้มีศิษย์เดินเข้ามารายงาน พร้อมกับพูดอย่างเคารพว่า “ผู้อาวุโสใหญ่ ราชทูตจากอาณาจักรใต้พิภพได้มาขอพบครับ!”

 

“ราชทูตจากอาณาจักรใต้พิภพ?”

 

อี้เทียนหยุนและผู้อาวุโสใหญ่ต่างมองตากัน ช่างมาได้ถูกเวลาจริงๆ การมาของฝั่งตรงข้ามถือเป็นข่าวร้ายอย่างแน่นอน

 

“ไป พวกเราไปดูกัน” ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้า จากนั้นก็ลุกนำไป

 

เมื่อมาถึงตำหนักหลัก พวกเขาก็เห็นชายกลางคนกำลังนั่งจิบชาด้วยท่าทางเกียจคร้าน เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามา เขาไม่ได้ลุกขึ้นทักทาย แต่กลับพูดออกมาแทน “พวกเจ้ามาแล้ว”

 

ท่าทางอวดดีของเขาราวกับเป็นเจ้าของบ้านก็ไม่ปาน เหมือนคนมาเยี่ยมที่ไหน ส่วนระดับพลังของเขาก็ไม่ต่ำ อยู่ในระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 7 สำหรับคนส่งสารแล้ว ถือว่ามีระดับสูงอย่างมาก

 

ถึงจะบอกว่าเป็นราชทูต แต่ที่จริงก็แค่คนส่งสาร

 

“ที่แท้ก็ตัวแทนฝ่าบาท เสียมารยาทแล้ว” ผู้อาวุโสใหญ่ทักทายอย่างสุภาพ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะถูกลอบโจมตีจากผู้คุ้มกันเงา แต่บางเรื่องก็ไม่สามารถพูดออกมาตรงๆ ได้ อาณาจักรใต้พิภพนี้มีอำนาจมาก ทำไมพวกเขาจะต้องลงมือกับเจ้าด้วย ทำไปแล้วได้อะไร?

 

วังเทียนจี๋มีราชาวิญญาณเซวียนเทียนอยู่ แต่ก็เป็นเรื่องเมื่อหลายปีมากแล้ว แต่อาณาจักรใต้พิภพตอนนี้มีปรมาจารย์ระดับวิญญาณเที่ยงแท้นั่งบัญชาการด้วยตัวเอง ส่วนฉายาราชาวิญญาณนั้นเป็นเรื่องที่ภายนอกพูดถึง แต่ตอนนี้เหลือแค่ชื่อเท่านั้น ส่วนทางนั้นมีปรมาจารย์ระดับวิญญาณเที่ยงแท้อยู่หลายคน!

 

แค่ส่งมาคนเดียวก็สามารถทำลายขุมอำนาจชั้น 3 ทิ้งอย่างง่ายดาย นี่ก็คือพลังอำนาจ

 

“อืม ครั้งนี้ข้ามาเชิญเจ้าเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงอาณาจักร” พูดจบ ตัวแทนก็ได้ยื่นบัตรเชิญให้ พร้อมพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อถึงเวลาต้องไป ข้าไม่ต้องการให้เจ้าขาด”

 

เขายังคงไม่ลุกขึ้น ยังคงนั่งพูดอยู่เช่นเดิม ท่าทางก็ยังคงไม่จริงจังเหมือนก่อนหน้า เชื่อว่าที่ผู้คุ้มกันเงาที่อยู่ที่นี่ตายไปแล้ว ทางฝั่งนั้นคงรู้แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ส่งคนมามอบบัตรเชิญด้วยตัวเองแบบนี้

 

“งานนี้พวกเราจะต้องไปอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสใหญ่รับบัตรเชิญมา บนใบหน้ายังประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม เหมือนกับถูกตบหน้า แต่ยังคงต้องยิ้มรับ

 

“อืม งั้นข้าขอตัว” ตัวแทนลุกขึ้น เดินวางมาดออกไปข้างนอก ไม่แปลกใจเลยว่าพวกนั้นจะต้องไม่ตัดใจจากพวกเขา

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า งานเลี้ยงนี้ต้องไม่เรื่องดีอย่างแน่นอน