กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 624
คำพูดของฮวาฉี่หลัวได้พัดพาความมืดมนที่ปิดผนึกของแม่ทัพใหญ่เซี่ยวเป็นเวลาหลายปีออกไป

เขามองดูท้องฟ้าสีครามพร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าจากนั้นก็ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ใช่สิ ผ่านมาสิบกว่าปีแล้วจะเอ่ยไปใย ผู้ที่ตายไปแล้วไม่มีวันหวนกลับมาควรหวนแหนขณะนี้จะเป็นการดีกว่า”

“ก็ใช่หน่ะสิ ท่านพี่หน่วนท่านไม่ได้กลับเผ่าน้ำแข็งมานานเท่าใดแล้ว หรือไม่พวกเราก็กลับเผ่าน้ำแข็งตอนนี้เลย”

ฮวาฉี่หลัวยิ้มอย่างไร้เดียงสาไร้พิษสง ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายแจ่มชัดเสียจนไร้ซึ่งร่องรอยมลทินแม้แต่น้อย

กู้ชูหน่วนจู่ๆก็อิจฉาการไร้ซึ่งความกังวลและไร้พิษภัยของนาง

“รอให้ข้าจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อยแล้วข้าค่อยไปยังเผ่าน้ำแข็ง”

“เช่นนั้นท่านจัดการเรื่องราวเรียบร้อยต้องใช้เวลานานเท่าใด?”

ลมหายใจแห่งความเศร้าโศกในอากาศมากขึ้นบางส่วนแล้วกู้ชูหน่วนก็ฝืนยิ้มขึ้น “น่าจะเร็วๆนี้”

“น่าจะเร็วคือเร็วเพียงใด ท่านพี่หน่วนหากท่านกลับไปพี่น้องที่เผ่าน้ำแข็งจะต้องมีความสุขมากเป็นแน่ หากว่าข้าพาท่านกลับมาพวกนางก็จะต้องยกย่องว่าข้าเก่งกาจมีความสามารถ”

“ท่านพี่หน่วนท่านว่าพวกเราต้องแจ้งพวกนางล่วงหน้าสักคำหรือว่าทำให้พวกนางกระทำสิ่งใดไม่ถูกจนพวกนางตกใจเจียนตาย”

ตลอดทางมีแต่เสียงเจี๊ยวจ๊าวของฮวาฉี่หลัว

บนใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มซึ่งตั้งหน้าตั้งตารอภาพของการกลับเผ่า

แม้ว่าแม่ทัพใหญ่เซี่ยวจะไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้าแต่ในใจก็รู้สึกขื่นขม อาลัยอาวรณ์บุตรชายหญิงทั้งหลายและต้องการที่จะปลดคำสาปโลหิตของเผ่าหยกโดยเร็ว

ในใจของกู้ชูหน่วนนั้นหนักอึ้งยิ่งนัก

ไม่ว่าทักษะทางการแพทย์ของนางจะสูงส่งเพียงใดนางกไม่สามารถเปลี่ยนหัวใจของแม่ทัพเซี่ยวได้ เนื่องจากหัวใจของแม่ทัพเซี่ยวนั้นเน่าเปื่อยอย่างสมบูรณ์ไปตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว หัวใจในตอนนี้เป็นเพียงการกลั่นออกมาของไข่มุกมังการลูกที่เจ็ดเพื่อทดแทนการเต้นของหัวใจเดิมของเขาก็เท่านั้น

ย้อนเวลาไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วนางอาจจะยังมีพลังยุทธ์

ทว่าในตอนนี้……

ตลอดทางเดินคุยกันไปซึ่งไม่นานนักพวกเขาก็ถึงยังในเมือง

ตรงหน้าได้พบกับเซี่ยวอวี่เซวียน

เซี่ยวอวี่เซวียนถือพัดเล่มหนึ่งและโบกมือให้กับพวกเขาจากระยะไกลไม่หยุด

“ท่านพ่อ แม่สาวอัปลักษณ์ พวกท่านไปที่ใดกันมา ข้าตามหาพวกท่านตั้งนานก็หาไม่พบ”

แม่ทัพใหญ่เซี่ยวกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าบอกให้เจ้าปิดประตูสำนึกผิดไม่ใช่หรือ? เจ้าออกมาได้อย่างไร?”

เซี่ยวอวี่เซวียนไร้ซึ่งความยินดีเมื่อครู่นี้และบ่นด้วยความคับข้องใจอย่างรู้สึกไม่ยุติธรรมอยู่บ้าง “ข้ากลัวว่าพวกท่านจะตกอยู่ในอันตรายดังนั้นจึงได้แอบหนีออกมาหาพวกท่านไง”

เขากระพริบตาอันน่าสงสารและออดอ้อนต่อแม่ทัพใหญ่ว่า “ท่านพ่อ ลูกก็เป็นห่วงท่านพ่อหน่ะสิ ลูกสาบานว่าต่อไปท่านให้ข้าปิดประตูสำนึกผิดข้าจะคิดทบทวนตนเองให้ดีเป็นแน่และจะไม่หนีออกมาอีกแล้ว ท่านก็ยกโทษให้ข้าสักครั้งเถอะนะ”

แม่ทัพใหญ่เซี่ยวยกมือขึ้นเพื่อต้องการปัดผมที่ถูกลมพัดให้ตรง เซี่ยวอวี่เซวียนรีบบังศีรษะอย่างรวดเร็วพร้อมซ่อนตัวไปทางด้านหนึ่งและกล่าวอย่างร้อนรน

“ท่านพ่อ ข้าเป็นห่วงท่านพ่อจริงๆนะ แม่สาวอัปลักษณ์กระทำสิ่งใดก็เกินเลย ข้ากลัวว่านางจะทำเรื่องราวเกินเลยอันใดต่อท่านข้าจึงได้แอบหนีออกมา”

ในใจของแม่ทัพใหญ่เซี่ยวและกู้ชูหน่วนเข้าใจดี

เขาไม่ได้เป็นกังวลต่อแม่ทัพใหญ่เซี่ยวเขาเป็นกังวลต่อกู้ชูหน่วน

เมื่อเห็นลักษณะท่าทางของเขาแม่ทัพใหญ่เซี่ยวก็อดรู้สึกขื่นขมใจไม่ได้

หลายปีที่ผ่านมานี้เขานั้นเข้มงวดกับเขาเกินไปใช่ไหม

ดังนั้นบุตรชายของเขาถึงได้เกรงกลัวเขาถึงเพียงนี้

“เจ้าถึงจะกระทำเกินเลย ภายหน้าเรียนรู้กับพระชายาหานให้มากๆและใกล้ชิดกับนางให้มากขึ้นด้วย”

“อะไร……อะไรนะ……ท่านพ่อ ท่านกล่าวผิดหรือเปล่า เมื่อก่อนท่านเกลียดชังนางที่สุดไม่ใช่หรือ?”

“มีหรือ?”

“ไม่……ไม่มี ท่านเป็นคนกล่าวเองนะ งั้นต่อไปข้าจะต้องใกล้ชิดนางให้มากขึ้นหน่อย ท่านอย่าได้สนอกสนใจข้าอีกนะ”

ลักษณะท่าทางของแม่ทัพใหญ่เซี่ยวเป็นที่เคารพและสุภาพเรียบร้อย ไม่ได้เย่อหยิ่งเฉยชาดังก่อน เขากล่าวกับกู้ชูหน่วนว่า “ทำให้พระชายาหานขบขันแล้ว เจ้าลูกสุนัขถูกเอาใจตั้งแต่เด็กจนนิสัยเสีย ต่อไป……ยังต้องขอให้พระชายาหานดูแลเซวียนเอ๋อร์ให้ดีด้วย ในบรรดาลูกๆมากมายเหล่านี้ผู้ที่ข้าเป็นห่วงมากที่สุดก็คือเซวียนเอ๋อร์”

เซี่ยวอวี่เซวียนเยฃบะปากและบ่นพึมพำว่า “ท่านพ่อ คำพูดนี้ของท่านเหตุใดถึงได้ฟังดูราวกับคำพูดฝากฝังเช่นนั้นหล่ะ? แล้วยังฝากฝังกับแม่สาวอัปลักษณ์ พวกท่านทั้งสองคนมีความสัมพันธ์อันดีนี้กันตั้งแต่เมื่อใด?”

ฮวาฉี่หลัวกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ท่านพี่หน่วนของข้าเป็นคนดีที่สุดในใต้หล้า ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องดีต่อท่านพี่หน่วน ท่านแม่ทัพใหญ่เซี่ยวก็ไม่ยกเว้น”

กู้ชูหน่วนกำหมัดพร้อมกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “แม่ทัพใหญ่วางใจได้ เซี่ยวอวี่เซวียนเป็นพี่น้องของข้า เพียงแค่ข้ากู้ชูหน่วนยังอยู่วันหนึ่งก็จะไม่ให้ผู้ใดทำร้ายเขาได้”

แม่ทัพใหญ่เซี่ยวบังเกิดรอยยิ้มบนใบหน้าอันแก่ชราและมองยังกู้ชูหน่วนด้วยความซาบซึ้ง

จากนั้นเขาก็คุมเชือกม้าและด้านหนึ่งจากไปทาง…อีดด้านหนึ่งกล่าวกับเซี่ยวอวี่เซวียนว่า “ต่อไปเชื่อฟังพระชายาหานให้ดี ข้าจะกลับไปยังค่ายทหารรอบหนึ่งก่อนสักครู่เจ้ากลับไปเองเถอะ”

เพิ่งกล่าวจบแม่ทัพใหญ่เซี่ยวก็หายตัวไปพร้อมกับม้าอย่างไร้ร่องรอย

ในสมองของเซี่ยวอวี่เซวียนมืดมนพร้อมกับแววตาทั้งคู่ที่ลึกราวกับสระน้ำเย็นอายุพันปี ดูไม่ออกว่าอารมณ์ความรู้สึกเป็นความดีใจ ความโกรธ ความเศร้าโศกหรือความสุขและทายความคิดในใจของเขาไม่ออก

เป็นเวลานานเขาถึงได้กล่าวอย่างจริงจังกับกู้ชูหน่วนว่า “แม่สาวอัปลักษณ์ เจ้ารู้อยู่แล้วว่าเพียงแค่เป็นคนหรือเรื่องที่เจ้าใส่ใจไม่ว่าข้าจะเกลียดชังหรือไม่ข้าก็ใส่ใจเช่นเดียวกัน ข้าไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับท่านพ่อมีความลับอันใดกัน หวังว่าเจ้าจะไม่ทำร้ายท่านพ่อของข้า”

สีหน้าของกู้ชูหน่วนแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อยทว่าในใจเต้นแรงขึ้นมากมาย

รู้จักกับเซี่ยวอวี่เซวียนมานานเช่นนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดกับนางอย่างจริงจัง

การแสดงออกที่เคร่งขรึมนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเซี่ยวอวี่เซวียนที่นางรู้จัก

นางต้องการมองดูเขาให้ละเอียดถี่ถ้วน

เซี่ยวอวี่เซวียนได้กลับมาเป็นลักษณะท่าทางเสเพลนิสัยตามเดิม ถือพัดเล่มหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างเกียจคร้านและยิ้มอย่างไร้เยื่อใย “เมื่อครู่ข้าแค่ล้อเล่นกับเจ้า เจ้าจะทำร้ายท่านพ่อของข้าได้อย่างไร”

“เหตุใดเจ้าถึงได้เชื่อใจข้ามากเช่นนี้?”

“เพราะว่าเจ้าเป็นแม่สาวอัปลักษณ์ของข้าไง ใต้หล้านี้ผู้ใดก็อาจจะทำร้ายท่านพ่อของข้ามีเพียงเจ้าผู้เดียวที่ทำไม่ได้ ไปเถอะสุราในหอจุ้ยชุนกลิ่นหอมยิ่งนักพวกเราไปดื่มที่นั่นกันสักสองสามจอก”

กู้ชูหน่วนจู่ๆก็รู้สึกเจ็บปวดใจ

ใต้หล้าผู้ใดก็อาจจะทำร้ายท่านพ่อของข้า มีเพียงเจ้าผู้เดียวที่ทำไม่ได้

เซี่ยวอวี่เซวียนนั้น……เชื่อใจนางมากเช่นอย่างนั้นเลยหรือ?

หอจุ้ยชุน? มีสุราชั้นดี? มีอาหารอันโอชะหรือไม่? ท่านพี่หน่วนข้าอยากกิน” ฮวาฉี่หลัวไม่รู้แน่ชัดแค่ได้ยินว่ามีของกินอร่อยๆก็ตื่นเต้นขึ้นเป็นคนแรก

ทันใดนั้นในอากาศได้เกิดความอันตรายลอยมาเป็นพัก รัศมีสังหารอันเยือกเย็นก็กวาดมาทางกู้ชูหน่วน

ทุกคนต่างตื่นตกใจกัน

โดยเฉพาะฮวาฉี่หลัวและเซี่ยวอวี่เซวียน

ความว่องไวที่รวดเร็วยิ่งนัก

ประกายมีดอันรวดเร็วนัก

พวกเขาอยู่ใกล้กับกู้ชูหน่วนยิ่งนักแต่กลับไม่ได้รู้สึกถึงกลิ่นไอสังหารนั้น

ด้วยความไวที่รวดเร็วเช่นนี้พวกเขาต้องการขวางก็ขวางเอาไว้ไม่อยู่

กู้ชูหน่วนหัวเราะเยาะเย้ยเสียงหนึ่งและมองไปยังตำแหน่งที่ดาบกระบี่พุ่งตรงมาเพื่อเอาชีวิตของนาง จากนั้นบังเกิดรอยยิ้มอันเย็นยะเยือกที่มุมปาก

เซี่ยวอวี่เซวียนและคนอื่นๆไม่รู้ชัดแต่กลับเห็นอาวุธลับเส้นหนึ่งพุ่งออกไปดังชู่ว์ทำให้ดาบกระบี่เบนทิศไปเล็กน้อย

ทันใดนั้นเงาดำประกายหนึ่งปรากฏพร้อมต่อสู้กับมือสังหารขึ้นมา

ทั้งคู่แต่งกายด้วยชุดสีดำโดยที่ความเร็วต่อสู้กันกับความเร็ว ความหนักหน่วงสู้กับความหนักหน่วง

ชั่วระยะเวลาหนึ่งพวกเขามองไม่ออกว่าพวกเขาเป็นใครและมองกระบวนท่าของพวกเขาไม่ออก เห็นเพียงแค่ร่างสีดำเป็นวงๆพร้อมกับเสียงดาบกระบี่ฟาดฟันกันดังชิ้งๆๆ

เซี่ยวอวี่เซวียนกล่าวด้วยความตกใจ

“แม่สาวอัปลักษณ์ ผู้ที่ลอบสังหารเจ้าผู้นั้นเป็นใครกัน? เจ้าไปทำให้ผู้ใดขุ่นเคืองอีก? ผู้ที่เมื่อครู่ช่วยชีวิตเจ้าใช่ฝูกวงหรือไม่?”

ฮวาฉี่หลัวโกรธเคืองและเข้าร่วมการสู้รบในทันทีพร้อมกับด่าทออยู่ในปาก