บทที่ 290.2 ส่งหัวคนไกลพันลี้

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 290.2 ส่งหัวคนไกลพันลี้
โดย
ProjectZyphon
คราวนี้มีอาจารย์กระบี่วัยกลางคนช่วยถ่วงรั้งเด็กหนุ่มคนนั้นไว้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังมีผู้ฝึกลมปราณเชี่ยวชาญวิชาไม้ที่อยู่ในป่าเขาแห่งนี้ก็เหมือนได้รับเงื่อนไขและสิ่งแวดล้อมที่ดีเป็นพิเศษ เขาสามารถบังคับให้ต้นไม้โบราณแต่ละต้นทะยานขึ้นมาจากพื้นดิน แล้วเดินหน้ามาประหนึ่งคนแก่ที่เดินกะโผลกกะเผลก ชายฉกรรจ์ควักยาเม็ดสีชาดออกมาหนึ่งเม็ด โยนเข้าใส่ปาก กล้ามเนื้อบนใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน

เขาจะอัญเชิญเทพลงมาอีกครั้ง!

กิ่งของต้นไม้ใหญ่เหมือนแส้เส้นยาวหลายเส้นที่ฟาดโบยลงมาบนร่างของเฉินผิงอันอย่างรุนแรง ระหว่างที่เบี่ยงตัวหลบพวกมัน เฉินผิงอันยังต้องคอยเบี่ยงหลบแสงกระบี่สีเขียวสองเส้นที่อันตรายอย่างถึงที่สุด ชั่วขณะนั้นเขาพลันตกอยู่ในอันตรายที่รายล้อมรอบด้าน

ยังดีที่เพียงไม่นานลู่ไถก็ส่งเสียงทางจิตมาบอกว่าควรจะรับมือกับต้นไม้โบราณพวกนั้นอย่างไร หลังจากนั้นทุกหมัดของเฉินผิงอันจึงต่อยลงบนตัวอักษรตัวเล็กๆ ที่ร้อยเรียงกันและถูกอำพรางไว้บนต้นไม้ใหญ่ให้แตกละเอียดได้อย่างแม่นยำ มีเพียงเฉินผิงอันต่อยคาถาเหล่านั้นให้แหลกสลายได้สำเร็จ ถึงจะมีภาพที่ประกายแสงสีเงินแตกพร่าง แล้วต้นไม้ใหญ่ก็ล้มลงตามไป อีกทั้งต้นไม้ที่เดิมทีเป็นสีเขียวชอุ่มก็ยิ่งแห้งเหี่ยวลงในบัดดล

ลู่ไถยังเตือนเฉินผิงอันว่า เวลาชั่วดีดนิ้วยี่สิบครั้งที่นักพรตพรรคมหายันต์ซึ่งเป็นคนกักกระบี่บินทั้งสองเล่มบอกไว้อาจไม่จริงเสมอไป มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นสามสิบครั้ง หรืออาจจะนานยิ่งกว่านั้น

เฉินผิงอันสีหน้าไร้อารมณ์ น่าจะเป็นเพราะไม่สามารถวอกแวกได้ หลังจากที่เขาทำลายต้นไม้โบราณประหลาดจนหมด ชายฉกรรจ์ที่ทิ้งแส้เหล็กไปแล้วก็อัญเชิญเทพได้สำเร็จ ดวงตาของเขาเป็นสีขาวหิมะ ไม่เหมือนสายตาของมนุษย์เลยแม้แต่น้อย แต่เหมือนองค์เทพองค์หนึ่งที่หลุบตามองต่ำลงมายังโลกมนุษย์อย่างเย็นชาเสียมากกว่า

แต่ในใจลู่ไถกลับรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

เพราะเขาสังเกตได้ว่า หลังจากฟังคำเตือนของเขาจบ ทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอันกลับไม่มีริ้วคลื่นใดๆ กระเพื่อมไหว เห็นได้ชัดว่าคุ้นชินกับแผนการของนักพรตเฒ่าอยู่แล้ว จิตใจของเขาถึงได้สงบนิ่งขนาดนี้

อายุยังน้อย แต่กลับเป็นคนเก่าคนแก่ในยุทธภพนี่นา

ลู่ไถใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งค้ำยันลำต้นของต้นไม้ เมื่อเทียบกับเฉินผิงอันที่เข่นฆ่ากับผู้กล้าของแต่ละฝ่ายอุตลุดแล้ว ทางฝ่ายของเขากลับน่าเบื่ออย่างมาก

‘เจินเจียน’ กระบี่บินของเขาสังหารอาจารย์คุมทัพผู้นั้นไม่ได้แล้ว วิญญาณควันดำที่โผล่ออกมาจากในหม้อดินเผาก็ทำอะไรลู่ไถไม่ได้เหมือนกัน

แล้วนับประสาอะไรกับที่ลู่ไถยังเอาเชือกห้าสีเส้นหนึ่งออกมารัดไว้ที่ข้อมือ แม้ว่าวัตถุชิ้นนี้จะเทียบกับสายรัดเอวหลากสีของชุดสตรีไม่ได้ ห่างชั้นกันถึงหนึ่งแสนแปดพันลี้ แต่สำหรับผู้ฝึกลมปราณทั่วไปแล้ว นี่ถือเป็นสมบัติอาคมที่ไม่เลว เชือกห้าสีที่รัดพันอยู่ตรงข้อมือแบ่งออกเป็นเชือกซู่มิ่งซิน สามารถเพิ่มระดับการดูดซับปราณวิญญาณ เชือกพี่ปิงเจิง ฟันแทงไม่เข้า แน่นอนว่าไม่ใช่อาวุธทุกชนิดที่ไม่อาจเข้าใกล้ได้ หาไม่แล้วระดับขั้นก็ต้องเป็นอาวุธกึ่งเซียน ไม่ใช่สมบัติอาคมแล้ว เชือกปี้เสียซั่ว ตรงปลายของเชือกเส้นนี้จะเหมือนงูตัวเล็กเฉลียวฉลาดที่ผงกศีรษะขึ้น สามารถปัดเป่าให้ไอความชั่วร้ายสลายไปได้ เชือกถู่เจี้ยนซือ สามารถบินแยกออกไปเพียงลำพัง ค่อนข้างคล้ายคลึงกับกระบี่บินเล่มหนึ่งที่อาจารย์กระบี่เป็นผู้ควบคุม สุดท้ายคือเชือกพันธนาการปีศาจเส้นเล็กจิ๋ว

ความแข็งแกร่งของสมบัติอาคมชิ้นนี้ของลู่ไถอยู่ที่ว่ามันครอบคลุมรอบด้าน ได้ทั้งรุกและรับ

แต่เอาเข้าจริงแล้ว ขอแค่ไม่ใช่ขอบเขตโอสถทองที่มีขอบเขตสูงกว่าคนปกติทั่วไปหนึ่งถึงสองระดับ ไม่ว่าใครก็กลัวเสียเวลา กลัวมดกัดช้างตายกันทั้งนั้น

ยังดีที่วันนี้เฉินผิงอันช่วยถ่วงกำลังหลักของศัตรูเอาไว้ ลู่ไถที่ ‘อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ’ จึงเกิดความละอายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คราวนี้เขาประมาทเกินไปจริงๆ คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะใจกล้าขนาดนี้ ถึงขั้นรวมตัวกันมาล้อมโจมตีพวกเขา อีกทั้งยังตัดสินใจกันอย่างเด็ดเดี่ยว ยอมติดตามพวกเขามาไกลถึงหนึ่งพันลี้

สนามรบทางทิศเหนือ ดูท่าผู้ฝึกตนลัทธิมารคนนั้นคงเสียดายควันดำที่สลายไปอย่างต่อเนื่อง จึงหันไปตะโกนเสียงดังใส่นักพรตเฒ่าว่า “ยังมียันต์บ่อแห้งอีกหรือไม่ ถ้ามีก็รีบโยนออกมาอีกแผ่น ขอติดไว้ก่อน วันหน้าข้ากับเขาจะช่วยกันใช้หนี้ให้เจ้าเอง!”

นักพรตเฒ่าโมโจจนเต้นผาง สบถด่า “มีกับบิดาเจ้าสิ!”

ผู้ฝึกตนลัทธิมารโมโหอยู่ในใจ แต่ตอนนี้ได้แต่สะกดกลั้นเอาไว้ คิดเอาว่าวันเวลายังอีกยาวไกล วันหน้าจะต้องคิดบัญชีกับเจ้านักพรตเฒ่าจมูกวัวหน้าเหม็นคนนี้ให้จงได้

เดิมทีนักพรตเฒ่าก็ดูแคลนผู้ฝึกตนลัทธิมารที่จะคนก็ไม่ใช่จะผีก็ไม่เชิงผู้นั้นอยู่แล้ว และราวกับกลัวว่าเวลาชั่วดีดนิ้วมือยี่สิบครั้งจะสิ้นสุดลง จึงสะบัดชายแขนเสื้ออย่างเงียบเชียบคล้ายเตรียมการอะไรบางอย่าง

ยิ่งนานแรงสั่นสะเทือนของยันต์สองแผ่นที่กักกระบี่บินไว้ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

นักพรตเฒ่ามีความลำบากใจที่ยากจะเอื้อนเอ่ย

ตอนแรกที่เขาพูดเสียงดังว่าสามารถกักกระบี่บินได้แค่ชั่วเวลาดีดนิ้วมือยี่สิบครั้งนั้น ก็เป็นอย่างที่ลู่ไถคาดเดาไว้ เขาจงใจหลอกเฉินผิงอัน หวังให้เขาเข้าใจผิดคิดว่าเมื่อผ่านชั่วเวลาดีดนิ้วมือยี่สิบครั้งไปแล้วจะสามารถเอากระบี่กลับคืนไปได้ เป็นเหตุให้เฉินผิงอันเปิดฉากสังหารอย่างเต็มที่ แต่ตอนนี้นักพรตเฒ่าเป็นเหมือนคนใบ้กินหวงเหลียนที่ต่อให้ขมแค่ไหนก็บอกใครไม่ได้ ที่แท้ยันต์วิเศษสองแผ่นที่มีมูลค่าควรเมืองนั้น สามารถกักกระบี่บินไว้ได้แค่ชั่วดีดนิ้วมือยี่สิบครั้งจริงๆ ไม่ใช่สี่สิบครั้งอย่างที่คาดการณ์เอาไว้!

ยันต์มีชื่อว่ายันต์บ่อแห้ง

สามารถสยบกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตได้

ใช้ไม้ที่ถูกสายฟ้าผ่ามาทำเป็นตะปูเล็กๆ เจ็ดตัว วาดเรียงเป็นรูปดาวไถ ใช้เวทลับสลักเข้าไปในกระดาษยันต์พิเศษ ผสมกับดินที่หล่นลงมาจากช่วงปลายของลมพายุอีกหนึ่งตำลึง ต้องเป็นลมตะวันตกเฉียงเหนือหนึ่งในลมแปดทิศด้วย บนยันต์วาดเป็นภาพที่กระบี่ถูกกักขังอยู่ในบ่อ ด้านหลังกระดาษเขียนสองคำว่า ‘ไม่ขยับ’ นี่ถึงจะเป็นลำต้นหลัก ส่วน ‘กิ่งก้าน’ ที่เหลือของยันต์ยังต้องใช้ขั้นตอนอีกมาก

นี่คือยันต์ลับชั้นสูงชนิดหนึ่งของสำนักนอกรีตของพรรคมหายันต์ในใบถงทวีป แม้ว่าจะเทียบกับ ‘ยันต์ฝักกระบี่’ และ ‘ยันต์ผนึกภูเขา’ ที่ลู่ไถกล่าวถึงไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจดูแคลน เพราะมันคือยันต์คุ้มกันกายที่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางใช้รับมือกับผู้ฝึกกระบี่โดยเฉพาะ มูลค่ามากเท่าทองพันชั่ง

การศึกษายันต์บ่อแห้งที่มีรายละเอียดยิบย่อยทั้งเสียเวลาและยิ่งเสียเงิน

ขอแค่เรียกยันต์ชิ้นนี้ออกมา เมื่อเจอกระบี่บินในรัศมีสิบจั้งก็จะสามารถทำให้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่เหมือนคนที่ยืนอยู่ในบ่อ ไม่สามารถขยับตัวกระดุกกระดิกได้

ระดับยันต์สูงหรือต่ำก็ต้องดูที่ว่าสามารถกักกระบี่บินไว้ได้นานแค่ไหน

หากคิดจะคลายผนึกก็จำเป็นต้องท่องคาถาสะบัดแขนเสื้อลมโชย กระบี่บินที่ ‘อยู่ในบ่อ’ จึงจะจากไปได้อย่างอิสระ

คนอื่นใช้เวลาสิบปีในการขัดเกลาหนึ่งกระบี่ แต่นักพรตเฒ่ากลับใช้เวลาสิบปีศึกษาหนึ่งยันต์ ไม่ว่าจะทะนุถนอมและเห็นค่าแค่ไหนก็ไม่เกินเลยสักนิด

สนามรบทั้งสองแห่ง ศึกใหญ่กำลังปะทุอย่างดุเดือด

ในป่าลึกกลางภูเขามีคนสองคนมองมายังที่แห่งนี้อยู่ไกลๆ

นั่งดูไฟชายฝั่ง

คนผู้หนึ่งก็คือลูกค้าที่แย่งชิงสัตว์มันแพะกับลู่ไถในร้านค้าของสำนักฝูจง ร่างเตี้ยม่อต้อ รูปโฉมไม่สะดุดตา บนใบหน้ามีแววลำพองใจเล็กน้อย

อีกคนหนึ่งคือมือกระบี่ชุดแดงที่ตรงเอวห้อยกระบี่ยาว เรือนกายเพรียวบาง ท่วงท่าน่าเกรงขาม เวลานี้กำลังจับด้ามกระบี่มองสถานการณ์การต่อสู้ของของทางฝั่งนั้นพลางยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ทุกคนล้วนคิดว่าเจ้าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ แม้แต่ข้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ตอนนี้มาลองดูแล้ว โชคดีที่เจ้ารู้จักระมัดระวังตัว ช่วยลดปัญหาให้ข้าได้ไม่น้อย”

บุรุษชุดแดงคือมือกระบี่ที่มีวิถีวรยุทธ์ขอบเขตหกขั้นสูงสุดคนหนึ่ง

เมื่ออยู่ในยุทธภพล่างภูเขาของใบถงทวีปก็ถือว่าเป็นปรมาจารย์ใหญ่วิถีกระบี่สมชื่อแล้ว แม้จะมีอายุถึงเจ็ดสิบปี แต่ใบหน้าก็ยังเยาว์วัยหล่อเหลา ตลอดหลายสิบปีมานี้เขาขี่กระบี่ทะยานไปหลายสิบแคว้น น้อยครั้งที่จะพบคนที่มีฝีมือพอจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้

แล้วนับประสาอะไรกับที่กระบี่ยาวที่เขาพกไว้ตรงเอวคือสมบัติของตระกูลเซียนชิ้นหนึ่งที่คมกริบอย่างถึงที่สุด เป็นเหตุให้ผู้ฝึกยุทธ์มือกระบี่คนนี้กล้าพูดว่าเมื่อตนเจอกับ ‘ขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินโอสถทอง หนึ่งกระบี่ทำร้ายศัตรู ต่ำกว่าประตูมังกร หนึ่งกระบี่ปลิดชีพ’ อีกทั้งไม่ว่าจะคนบนภูเขาหรือล่างภูเขาก็น้อยนักที่จะมีใครกังขาในตัวเขา

ชื่อเสียงบารมีเลื่องลือ อีกทั้งยังรูปงามไร้ผู้ใดจะทัดเทียม ไม่รู้ว่ามีสตรีมากน้อยแค่ไหนที่เลื่อมใสศรัทธาเซียนกระบี่แห่งยุทธภพที่ไม่หวังเป็นอมตะท่านนี้ ถึงขั้นมีข่าวลือเล็กๆ บอกว่าฮองเฮาสกุลจ้าวของแคว้นอวิ๋นลู่ก็ยังมีความสัมพันธ์กับคนผู้นี้ ส่วนพวกเทพธิดาและจอมยุทธ์หญิงมีชื่อเสียงในยุทธภพที่เลื่อมใสเซียนกระบี่ชุดแดงผู้นี้ก็ยิ่งมีมากจนนับไม่ถ้วน

ชายฉกรรจ์ที่หน้าตาไม่โดดเด่นเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ความระมัดระวังตัวของข้าผู้แซ่หม่าเป็นไปเองตามความเคยชิน ตอนยังหนุ่มเคยลำบากและเสียเปรียบคนอื่นมาหลายครั้ง ดังนั้นจึงจำเรื่องหนึ่งไว้ขึ้นใจ นั่นคือเมื่อรับมือกับเซียนซือที่มีชาติกำเนิดดีพวกนี้ พวกเราที่อยู่ในยุทธภพต้องทำตัวเหมือนสิงโตจับกระต่าย จับได้แล้วต้องกินพวกเขาให้หมดในคราวเดียว หาไม่แล้วต่อให้โชคดีเอาชนะได้ก็เป็นชัยชนะแบบอเนจอนาถ ผลเก็บเกี่ยวไม่มากพอ”

มือกระบี่ชุดแดงคลี่ยิ้ม “หม่าว่านฝ่า ก่อนหน้านี้ตกลงกันไว้แล้วว่าจะช่วยพวกเจ้าคุมท้ายขบวนเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน กระบี่เล่มที่เด็กหนุ่มชุดขาวสะพายอยู่ด้านหลังเป็นของข้าตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้เหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นแล้ว ต้องให้ข้าลงมือสังหารศัตรูด้วยตัวเองจริงๆ ถ้าเช่นนั้น…”

บุรุษพยักหน้ารับ “น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไม่สามารถมอบให้เจ้าได้ อีกทั้งเจ้าเองก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่บนร่างของเจ้าเด็กหนุ่มสองคนนี้ อย่างน้อยก็มีวัตถุฟางชุ่นหนึ่งชิ้น ของที่อยู่ข้างใน ข้าต้องเอาออกมาเป็นส่วนแบ่ง เจ้าสามารถเอาวัตถุฟางชุ่นไปได้ ตกลงไหม?”

มือกระบี่ชุดแดงยิ้มตาหยี “ประเสริฐ”

ชายฉกรรจ์ลังเลเล็กน้อย “แม้ว่าสถานการณ์โดยรวมจะมั่นคงแล้ว แต่พวกเราก็ยังต้องระวัง เด็กหนุ่มชุดขาวนั่นน่าจะกระดิกตัวได้ยากแล้ว แต่เจ้าคนที่หน้าหวานเหมือนสตรีผู้นั้นอาจจะยังพอเหลือกำลังให้รับมืออยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นเจ้าจัดการกับเจ้าหมอนี่ก่อนดีไหม? อีกคนก็หนีรอดไปไหนไม่ได้แล้ว”

มือดาบชุดแดงส่ายหน้า “เจ้าคนที่อยู่บนต้นไม้มีสมบัติอาคมคุ้มกันกายรัดอยู่ที่ข้อมือ แถมยังมีกระบี่บินคอยป้วนเปี้ยนอยู่รอบกายอย่างลับๆ อยากที่ข้าจะแอบโจมตีอย่างเงียบเชียบได้สำเร็จในครั้งเดียว กลับเป็นเด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้นที่ข้าสามารถสังหารได้ด้วยกระบี่เดียว เมื่อไม่มีสหาย เจ้าเด็กหนุ่มที่บอบบางยิ่งกว่าสตรีผู้นั้นต้องสติหลุดเป็นแน่ ถึงเวลานั้นจะให้ข้าเป็นคนสังหาร หรือเจ้าจะลงมือด้วยตัวเองก็ไม่สำคัญแล้ว”

ชายฉกรรจ์คิดตามแล้วก็พยักหน้าตอบรับ “เป็นอย่างนี้ย่อมดีที่สุด”

จากนั้นเขาก็คลี่ยิ้ม “ยันต์บ่อแห้งสองแผ่นของนักพรตเฒ่าใกล้จะประคองตัวไม่ไหวแล้ว เจ้าจะลงมือตอนไหน?”

“ตอนนี้แหละ!”

ร่างของมือกระบี่ชุดแดงหายวับไป ตรงจุดเดิมที่เขาเคยยืนอยู่หลงเหลือเพียงเสียงที่ยังดังไม่ขาดคำ

กิ่งไม้ที่เขาเหยียบไว้ก่อนหน้านี้ไม่มีความเคลื่อนไหว

นี่แสดงให้เห็นถึงความเร็วและวรยุทธ์ที่สูงส่งของปรมาจารย์ใหญ่ในยุทธภพท่านนี้

บนสนามรบทางทิศใต้ เฉินผิงอันโรมรันอยู่กับชายร่างกำยำที่อัญเชิญเทพมาสิงร่าง เพราะฝ่ายหลังมีคนสองคนคอยให้ความช่วยเหลือ การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายจึงยากจะแยกแยะ ดูท่าสถานการณ์วุ่นวายนี้คงดำเนินไปอีกนาน

เส้นแสงสีแดงเส้นหนึ่งพุ่งลงมาจากฟากฟ้า รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ พริบตาเดียวก็ฉีกกระชากสนามรบ ปราณกระบี่ที่เยียบเย็นอัดแน่นเต็มไปทั้งฟ้าดิน

กระบี่ที่พุ่งออกจากฝักแทงไปยังหว่างคิ้วของเด็กหนุ่มชุดขาว

จ้วงแทงตรงไปอย่างไร้ซึ่งความลังเล

มุมปากของมือกระบี่ชุดแดงตวัดโค้ง นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าสนใจและก็น่าเบื่อไปในคราวเดียวกัน

ได้สังหารผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนอีกคนหนึ่งแล้ว

แต่นาทีถัดมา มือกระบี่ชุดแดงก็ต้องถอยกรูดไปด้านหลัง แม้แต่กระบี่ประจำกายซึ่งเป็นสมบัติอาคมตระกูลเซียนเล่มนั้นก็ยังต้องละทิ้งไปก่อน

เพราะชีวิตสำคัญยิ่งกว่า

ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นปากอ้าตาค้าง การบุกเข้ามาของปรมาจารย์วิถีกระบี่ท่านนี้มาพร้อมกับพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่เกินไป ทุกคนจึงหยุดนิ่งด้วยไม่อยากวาดงูเติมหาง (ทำสิ่งที่เกินความจำเป็น) หลีกเลี่ยงไม่ให้หลังจากปรมาจารย์ใหญ่สังหารเด็กหนุ่มด้วยกระบี่เดียวแล้วอาจจะตวัดกระบี่มาจ้วงแทงพวกเขาเอาง่ายๆ หลังจบเรื่องก็พูดเอาดีเข้าตัวว่าสังหารพลาดโดยไม่ได้ตั้งใจ

ถึงเวลานั้นคนที่จะได้รับส่วนแบ่งน้อยลงไปอีกคนหนึ่ง ก็หมายความว่าคนที่เหลือจะได้รับส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วน คนที่มีชีวิตอยู่ ใครบ้างจะไม่ยินดี?

แต่ภาพที่เกิดขึ้นในอันดับถัดมากลับเป็นภาพที่ทุกคนยากจะลืมเลือนไปได้ชั่วชีวิต

หลังจากมือกระบี่ชุดแดงแทงกระบี่เข้าใส่หว่างคิ้วของเด็กหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านหมดจดที่สวมชุดขาวหิมะ

จากตำแหน่งปลายกระบี่ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางได้มีริ้วคลื่นแสงที่ทำให้คนตาพร่ากระเพื่อมขึ้นเป็นระลอก เผยให้เห็นรูปโฉมที่แท้จริงของชุดคลุมยาวสีขาวหิมะ

มันกลายมาเป็นชุดสีทอง!

ดั่งทะเลเมฆสีทองที่มีเจียวหลงตัวแล้วตัวเล่าดำผุดดำว่าย

เฉินผิงอันไม่ได้จงใจสะกดกลั้นพลังอำนาจของชุดคลุมอาคมที่เป็นสมบัติตกทอดของเซียนนอกมหาสมุทรเอาไว้อีก ไม่จงใจเปิดเผยช่องโหว่หลายครั้งจนตัวเองได้รับบาดเจ็บ ปล่อยให้เลือดโชกจนตัวเองกระเซอะกระเซิงอีกต่อไป

ดังนั้นกระบี่เล่มนี้แทงเข้ามายังชุดคลุมสีทองก็จริง แต่กลับไม่สามารถทำลายมันได้แม้แต่นิดเดียว

ลู่ไถไม่ได้บอกพูดอะไร

แต่เฉินผิงอันกลับรอคอยช่วงเวลานี้มาตลอดเวลา

รอให้ยอดฝีมือที่หลบซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังออกมาเป็นผู้ตัดสินคนสุดท้าย

ไม่มา เฉินผิงอันก็ไม่เสียเปรียบ

มาแล้ว เฉินผิงอันก็ได้กำไรก้อนโต

ตลอดทางมานี้ นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูไปยังสำนักศึกษาต้าสุย จนไปถึงครั้งที่สองที่ออกจากบ้านเกิดไปยังภูเขาห้อยหัว

ไม่เคยมีนาทีใดที่เขาไม่ระวังตัว คอยแสวงหาแต่คำว่า ‘ไร้ข้อผิดพลาด’ วันแล้ววันเล่า และในที่สุดเฉินผิงอันก็ได้รับการตอบแทน

ชั่วพริบตานั้น

มือกระบี่ชุดแดงเพิ่งจะปล่อยด้ามกระบี่ก็เห็นว่าเด็กหนุ่มที่เดินก้าวอาดๆ เสือกตัวใส่ปลายกระบี่ของเขายื่นมือไปชักกระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังออกจากฝัก

หนึ่งกระบี่ฟันฉับตัดหัว

ต่อให้เป็นลู่ไถก็ยังอ้าปากค้าง จากนั้นก็กวาดตามองรอบด้าน ยิ้มหวานให้กับคนพวกนั้นที่ขวัญหนีดีฝ่อกันไปหมดแล้ว “พวกเจ้าน่ะ เอาหัวมาส่งไกลถึงพันลี้ นี่เรียกว่าของขวัญเบาบาง แต่น้ำใจหนักอึ้งอย่างแท้จริง”

เฉินผิงอันพลิกมือกลับสอด ‘ปราณยาว’ กลับเข้าฝักกระบี่ เดินไปข้างหน้าหลายก้าว มืออีกข้างกุมกระบี่ยาวเล่มนั้นไว้หลวมๆ แล้วหยุดยืนนิ่ง

ท่าทางที่เขาจับกระบี่กลับหัว

มองดูแล้วก็สง่างามอยู่นิดๆ

 

—–